The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับตัวตนตามหลักปรัชญาพุทธภูมิ

 The epistemology problems: Self according to Buddhaphumi's Philosophy


บทนำ   สภาพปัญหา 

     โดยทั่วไป อภิปรัชญาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในแวดวงวิชาการว่าเป็นความรู้ของมนุษย์และศึกษาปัญหาเกี่ยวกับมนุษย์ว่ามีตัวตนอยู่จริงและมนุษย์สามารถรับรู้มนุษย์ด้วยกันได้ผ่านอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ตัวตนของตนเองและของผู้อื่น นอกจากนี้จิตใจของพวกเขามักมีความลำเอียงต่อผู้อื่นด้วยความไม่รู้ว่าเมื่อกระทำความชั่วทางกายไป  ทางวาจา และมโนกรรม ยอมเป็นอารมณ์สั่งสมไว้ในจิตใจของตนเองและห่อหุ้มจิตใจอย่างนั้น เมื่อตายลงไป  ดวงวิญญาณก็จะไปชดใช้กรรมในนรก เป็นต้น    

      ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์ ต้องเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นบุคคลดังกล่าวจึงควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นพยานที่สามารถให้หลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้นๆ ได้ หากบุคคลใดไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส ข้อมูลของบุคคลนั้น  ก็ไม่สามารถถือเป็นหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ ได้ เช่น นายก.ไม่เห็นนายข.ฆ่านายค.ตาย นายก.นั้นจะให้การยืนยันว่าเห็นนายข.นั้นฆ่านายค.ตายไม่ได้ เพราะนายก. ไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองจึงไม่สามารถเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีความรู้ประสบการณ์นิยมมีแนวคิดว่า บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์จะต้องเป็นความรู้จากประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น  จึงถือเป็นความรู้ที่สามารถยืนยันความจริงในเรื่องนั้นได้ 

       ในโลกปัจจุบันมนุษย์ได้ก้าวหน้าไปในด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต สามารถสร้างแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่แบ่งปันข้อมูลหรือรวบรวมหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ๔๕ เล่ม อรรถกถา ๙๐ เล่ม  คัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น  นอกจากนี้นักเขียนหลายคนยังเขียนตำราวิชาการสำหรับการศึกษาในระดับต่าง ๆและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้นั้นได้  เมื่อเผชิญอุปสรรคในชีวิตที่ไม่สามารถหาเหตุผลในการแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ เราต้องอาศัยความคิดของผู้อื่นในการแก้ไขปัญหา นอกจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ   ตำราพระพุทธศาสนา ยังมีองค์ความรู้จากคัมภีร์ต่าง    ๆ  ในพุทธศาสนามหายาน และตำราที่นักวิชาการพุทธศาสนาเขียนขึ้น เพื่อใช้ในการแสดงพระธรรมเทศนาตามสถานที่ต่าง ๆ  ความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์จากการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ของนักเขียนแต่ละคน ก็มีรูปแบบการเขียนที่แตกต่างกัน  ส่วนพระพุทธศาสนาประเภทใดที่ผู้อ่านชอบศึกษา ไม่ใช่แค่ศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อสั่งสมความรู้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตตามลักษณะของแต่ละคนได้ด้วย   เพราะชีวิตมนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องประสบกับความทุกข์ ทุกคนจึงแสวงหาสิ่งที่ตนขาดไป  เพื่อดับทุกข์แห่งความปรารถนาในชีวิตของตนเอง 

           เทอมนี้  ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้สอนวิชาพระพุทธศาสนาในระดับปริญญาตรี จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการสอนเพื่อช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น  การศึกษาของนิสิตไม่ได้เป็นเพียงการเรียนรู้ศึกษาเพื่อสั่งสมความรู้ในจิตใจของตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ที่จะประยุกต์ความรู้ไปใช้ในชีวิต เพราะชีวิตมนุษย์นั้น ไม่สมบรูณ์แบบ ทุกคนต่างดิ้นรนหาสิ่งที่ขาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะการแสวงหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน การศึกษาพระพุทธศาสนาด้วยความเข้าใจ จะเกิดประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาศักยภาพของตนเองได้ และใช้ความรู้ที่มีอยู่ในจิต  ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น คำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์  การศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาให้เข้าใจนั้น    เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ไม่สนใจที่จะเรียนรู้ หรือผู้ที่ต้องการศึกษาพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเรา   เพราะเป็นการค้นหาเพื่อตัวเราเอง  ไม่ใช่เพื่อผู้อื่น ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง เข้าใจความต้องการของตนเองและพัฒนาศักยภาพของตนเอง    ดังนั้น การแสวงหาตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า   จึงประเสริฐกว่าการแสวงหาผู้อื่น 
ตามทฤษฎีความรู้ของญาณวิทยาว่าด้วยต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์นั้น "มนุษย์ต้องรับรู้สิ่งต่าง ๆ    ผ่านประสาทสัมผัสเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น" แม้ชีวิตมนุษย์จะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกมาช้านาน มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ มนุษย์ก็ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เนื่องจากมนุษย์ไม่สนใจที่มาของชีวิต     แต่สนใจแต่โลกธรรม ๘ ประการ(หรือคุณสมบัติทางโลก ๘ ประการ) ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกชีวิตที่สามารถสร้างความสุขให้จิตใจได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น  ความสุขนั้นก็หายไปและไม่มีอะไรแน่นอน 

        เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานคำว่า "โลกธรรม ๘" ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๓  พระสุตัตปิฎกเล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกายจตุกกนิบาต [๕] ภิกษุทั้งหลายโลกธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมหมุนไปตามโลกและโลกก็หมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ โลกธรรม ๘ ประการอะไรบ้างคือ ๑.ลาภ ๒.เสื่อมลาภ  ๓.ยศ   ๔.เสื่อมยศ  ๕.นิททา ๖. สรรเสริญ  ๗.สุข  ๘.ทุกข์  ภิกษุทั้งหลายโลกธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมหมุนไปตามโลกและโลกก็หมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการนี้ ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ  นิททา สรรเสริญ สุข และทุกข์ ธรรมเหล่านี้ในหมู่มนุษย์ ล้วนไม่เที่ยง ไม่มั่นคง มีความแปรผันเป็นธรรมดาแต่ท่านผู้มีปัญญาดี มีสติ รู้ธรรมเหล่านี้แล้วย่อมพิจารณาเห็นว่ามีความแปรผันเป็นธรรมดาอิฏฐารมย์ (อารมณ์ที่ปรารถนา) จึงย่ำยีจิตของท่านไม่ได้ ท่านย่อมไม่ยินดียินร้ายต่ออนิฏฐารมย์ (อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา) ความยินดีหรือความยินร้าย ท่านขจัดปัดเป่าจนไม่มีอยู่ ท่านรู้ทางที่ปราศจากธุลีไม่มีความเศร้าโศก เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ย่อมรู้แจ้งชัดโดยถูกต้อง [๑] และตามพจนาราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามความหมายของคำว่า "โลกธรรม"  ไว้ว่า เป็นคำนาม, เรื่องของโลก ธรรมดาของโลก เป็นต้นเมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกข้างต้น ผู้เขียนตีความว่า มนุษย์ทุกคนมีตัณหาซ่อนเร้นอยู่ในใจ  ทุกคนจะแสดงการกระทำของตนเองออกมาในรูปของกรรม  ซึ่งผู้เขียนสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมได้ดังต่อไปนี้  

         ๑.ลาภ คำว่า "ลาภ"ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า"เป็นคำนาม, สิ่งที่มักจะได้มาโดยไม่คาดคิด"  ตัวอย่างเช่น ในการเสี่ยงโชคซื้อลอตเตอรี่ไม่คาดหวัง แต่ถูกรางวัลที่ ๑ จำนวน ๒๐ ล้านบาทโดยไม่คาดคิด ถือว่า "มีลาภ" ส่วนคำว่า "เสื่อมลาภ" เมื่อได้ลาภจากการถูกลอตเตอรี่มาก็หมดไปเพราะถูกขอและให้ลาภคนอื่นไปอย่างรวดเร็ว ก็เรียกว่า "เสื่อมลาภ" ก็ได้  อดีตพระลาสิกขาเพราะถูกลอดเตอรี่รางวัลที่ ๑ จบชีวิตด้วยอุบัติเหตุ หรือผัวเมียถูกรางวัลที่๑เป็นเงินก้อนใหญ่พอได้มา ก็เลิกกันก็ถือว่าความเสื่อมของชีวิตก็ได้เช่นกัน หรือ ได้รับลาภจากทรัพย์มรดกเป็นเงิน ๒๐ ล้านบาทของพ่อแม่ติดการพนันจนหมดตัวเอง  มีลาภก็เสื่อมลาภ  เป็นต้น  
 
         ๒.มียศ เสื่อมยศ  เมื่อรับราชการในตำแหน่งที่ดีมีอนาคตในวงราชการถือว่ามียศ แต่พออายุ ๖๐ ปีก็ต้องเกษียณออกจากราชการถือเสื่อมยศ ไม่ได้รับการยกย่องในหน้าที่การงานของหน่วยงานนั้น ๆ อีกต่อไป เพราะไม่มีส่วนได้เสียหรือให้คุณแลโทษให้กับผู้อื่นอีกต่อไป หรือการกระทำความผิดเพราะละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ถูกสอบสวนและไล่ออกจากหน้าที่ราชการ ถูกถอดยศ ฯลฯ  

          ๓.นิททา  ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔  ได้นิยามความหมายของคำว่า  "นินทา"หมายถึง"ถูกติเตียนลับหลัง" คำว่า"ติเตียน"ได้รับการนิยามเช่นกันว่ายกโทษขึ้นพูด กล่าวร้าย  เป็นต้น  เป็นเรื่องของมนุษย์มีอคติต่อกัน   เนื่องจากความลำเอียงเพราะเกลียดชัง จึงต้องใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียหาย เป็นต้น   สรรเสริญเป็นโลกธรรมอย่างหนึ่งตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้คำนิยามว่ากล่าวคำยกย่อง เชิดชู เทิดทูน เช่นสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้ากล่าว คำชมด้วยความนิยมพอใจ หรือเยินยอคุณความดี เช่นสรรเสริญคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ  เป็นต้น 

        ๔.สุข  เป็นโลกธรรมอย่างหนึ่ง ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔  ได้ให้คำนิยามว่า ความสบายกายสบายใจ  ส่วนทุกข์ก็เป็นโลกธรรมอย่างหนึ่ง พจนานุกรม ฯ ได้นิยามไว้ว่า ความยากลำบาก,   ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ,  ความทนได้ยาก,  เมื่อมนุษย์สนใจแต่แสวงหาอารมณ์แห่งโลกธรรม ๘ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะมัวหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ วิญญาณของพวกเขาจึงสั่งสมกิเลสที่เกิดจากการกระทำของตนอยู่ตลอดเวลา แต่อารมณ์แห่งโลกธรรม ๘ ที่มนุษย์ได้รับรู้นั้นไม่เที่ยงและเสื่อมลงในที่สุด ตัวอย่างเช่น ความรักที่มนุษย์ที่เติมเต็มซึ่งกันและกันและแต่งงานเพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสามีภริยากันสุดท้ายความสุขจากความรักกลับกลายเป็นความทุกข์ยาก จะแยกจากกันไม่ว่าจะดีหรือร้ายได้หรือรักกันจนนาที่สุดท้ายก็ตายจากกันกลายเป็นความทุกข์เช่นเดิมดังนั้นความสุขจากความรักเป็นสิ่งไม่เที่ยงดังนั้น  บุคคลใดมีความรักก็ย่อมมีความทุกข์ด้วยเพราะเหตุปัจจัยของความไม่เที่ยงกันทั้งนั้นทรัพย์สมบัติที่แสวงหามาตลอดชีวิต  อาจจะหมดไปเพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ  ก็ได้ 

     การค้นพบตนเองในพระไตรปิฎก ปัญหาต้องศึกษาว่าแก่นแท้ของ  "มนุษย์" คืออะไร ?  เมื่อผู้เขียนศึกษาตามแนวคิดอภิปรัชญาเรื่อง "ชีวิต" ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [มหาจุฬา ฯ ] ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๔.อัคคัญญสูตร ข้อ.๑๑๓ ครั้งนั้น วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วได้จงกรมตามเสด็จพระผู้มีพระภาคซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่  พระผู้มีพระภาคจึงมีรับสั่งเรียกวาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรมาตรัสว่าวาเสฏฐะและภารทวาชะ ........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้นวรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์  ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรสเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหมเกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหมเจ้าทั้งสองมาละวรรณะที่ประเสริฐที่สุด เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือสมณะโล้นเป็นคนรับใช้ เป็นคนวรรณะต่ำ (กัณหโคตร) เป็นเผ่าของมารเกิดจากพระบาทของพระพรหม ...........เมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นและวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะของตน  ดังปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [มหาจุฬา ฯ ] ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๔.อัคคัญญสูตร ข้อ.๑๑๕ วาเสฏฐะและภารทวาชะ  วรรณะ ๔ เหล่านี้คือ (๑) กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์ (๔) ศูทร เป็นต้น  

             เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  และได้ทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ พวกพราหมณ์สอนว่า ชาวอนุทวีปเชื่อว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์ และสร้างวรรณะให้ทำหน้าที่ตามวรรณะกำเนิดของตน นอกจากนี้ เทพเจ้ายังสามารถช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยการถวายของมีค่าที่พราหมณทำพิธี และเรียกร้องจากผู้สักการะนั้น เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว ของมีค่าเหล่านี้  ก็ตกเป็นของพราหมณ์นิกายนั้น การบูชาเทพเจ้า มีแต่สร้างความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์ทุกนิกาย ส่วนคนวรรณะอื่นไม่สามารถสวดมนต์อ้อนวอน เพื่อช่วยมนุษย์ประสบความสำเร็จได้  เมื่อพราหมณ์อารยัน    และพราหมณ์ดราวิเดียนได้รับผลประโยชน์เครื่องบูชาเป็นของมีค่าต่าง ๆ      ต่อมากลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ เมื่อพราหมณ์ทั้งสองเชื้อชาติพยายามหาทางรักษามั่งคั่งทางเศรษฐกิจของตนไว้โดยการรักษาศรัทธาต่อเทพเจ้าในนิกายของตนเองไว้ ดังนั้นเมื่อพราหมณ์อารยันได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิต เป็นพราหมณ์ที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ในทางนิติคือขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี เป็นต้น พวกเขาเสนอต่อรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะนำหลักคำสอนของพราหมณ์ในเรื่องพระพรหมสร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้น ทำงานตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา เป็นต้น  เมื่อบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะแล้ว และห้ามมิให้ยกเลิก เพราะบทบัญญัติของ "ธรรมกษัตริย์" ซึ่งเป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองแคว้นสักกะที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "หลักอปริหานิยธรรม" มาตรา ๓ ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้วดังนั้น   ในยุคศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรืองชาวอนุทวีปอินเดีย เชื่อตามคำสอนของพราหมณ์ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะของตน  โดยมีพยานหลักฐานตามคำให้การยืนยันข้อเท็จจริงของปุโรหิต เป็นพราหมณ์ที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ด้านกฎหมาย คือขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีว่าพระพรหมเป็นอยู่จริง เพราะเคยเห็นพระพรหมในอาณาจักรจริง เป็นผู้สร้างมนุษย์จากร่างของพระพราหม และวรรณะให้กับมนุษย์สร้างขึ้นตามวรรณะของตนเอง เป็นต้น  

         เมื่อข้อเท็จจริงของปรากฏการณ์ทางสังคมเป็นเช่นนี้ ชีวิตมนุษย์ดูเหมือนจะเป็นพรหมลิขิตมนุษย์ตามที่พรหมต้องการ เป็นต้น นอกจากนี้ การนำหลักคำสอนของพราหมณ์ไปปรับใช้เป็นกฎหมายจารีตประเพณี ทำให้หลายรัฐในชมพูทวีปกลายเป็นรัฐศาสนาของพราหมณ์ และการให้สังคมตรวจสอบคนกันเอง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาวอนุทวีปมีอคติเพราะความกลัวซ่อนอยู่ในจิตใจ  จึงยอมรับและปฏิบัติตามความเชื่อในคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นหลักศีลธรรมและกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม หากกระทำความผิดต้องได้รับการตรวจสอบจากสังคมและถูกลงโทษจากคนในสังคมไปตลอดชีวิต  และไม่สามารถกลับคืนสู่ถิ่นฐานและครอบครัวได้อีกต่อไป    

          คำว่า "พรหมทัณฑ์" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ แปลว่า "คำสาปแห่งพราหมณ์" หมายถึง การกระทำของพราหมณ์ที่ทำให้บุคคลที่แต่งงานข้ามวรรณะให้พบกับความวิบัติ เช่น บังคับให้ละวรรณะและขับไล่ออกจากสังคม ที่ตนเคยคบค้าสมาคมและถิ่นที่อยู่ต้องไปอยู่ไปข้างถนนในพระนครใหญ่ เช่น กบิลพัสดุ์ เทวทหะ เป็นต้น และกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ เมื่อบัญญัติไว้แล้วจะยกเลิกไม่ได้ เพราะบทบัญญัติที่กฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศที่เรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม"ถือว่าเป็นหลักนิติศาสตร์ในการบริหารปกครองของประเทศในสมัยอินเดียโบราณนั้นห้ามล้มเลิกกฎหมายบัญญัติไว้ดีแล้ว เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาล (outcast) ในสังคมในรัฐสักกะและตัดสินพระทัยในการปฏิรูปสังคม เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ การศึกษา การประกอบพิธีตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์และสิทธิเสรีภาพในการแต่งงาน เป็นต้น แต่สมาชิกรัฐสภาศากยวงศลงมติไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายจารีตประเพณียกเลิกการแบ่งชั้นวรรณะเพราะขัดต่อบทบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญนั่นเอง 

        "ตัวตน" แก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ตามหลักคำสอนทางพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตชีวิตมนุษย์ว่ามีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง ชีวิตมนุษย์จึงไม่ใช่มีแค่ร่างกายเท่านั้น จิตวิญญาณอาศัยร่างกายเชื่อมต่อกับเรื่องราวเกี่ยวกับโลก และแสดงเจตจำนงแห่งจิตวิญญาณทางกาย ทางวาจา ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนรักตนเอง ไม่พอใจ โกรธ โลภและหลง เป็นต้น ดังนั้นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ จึงมีแนวโน้มที่จะประพฤติในทางใดทางหนึ่ง แสดงออกผ่านการกระทำทางกาย วจีกรรม และมโนกรรม ย่อมได้รับผลกรรมที่ตามมา ซึ่งทำให้ชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย  แต่บางครั้งผลของการกระทำก็ตอบสนองผู้กระทำช้า หรือผู้เสียหายรู้สึกว่าผลของการกระทำนั้น ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือเพื่อความยุติธรรมการลงโทษนั้นไม่สมเหตุสมผล สำหรับการกระทำที่ร้ายแรงเกินกว่าจะยอมได้ หลายคนคิดว่ากรรมที่ทำแล้ว ไม่กระทบต่อผู้กระทำ เป็นต้น 

        ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การศึกษาค้นตัวแท้จริงของมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อมนุษย์มีความรู้และความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวตนแล้วก็จะมีความเข้าใจในความเป็นไปของชีวิตตนนั้นก็สามารถดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไปสู่ความหลุดพ้นจากปัญหาต่าง ๆ ได้  

      

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ