Imagination is more important than knowledge in Buddhaphum's philosophy
บทนำ มโนภาพสำคัญกว่าความรู้
โดยทั่วไปแล้วชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากการปฏิสนธิจิตวิญญาณในครรภ์มารดา ส่งผลให้เกิดปัจจัยทางร่างกายและจิตมารวมกันในครรภ์มารดา เป็นมนุษย์ใหม่ที่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตบนโลกตามกฏธรรมชาติ นี่คือข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถหลีกหนีจากกฎธรรมชาตินี้ได้ แม้ว่าชีวิตมนุษย์จะก้าวหน้าไปพร้อมกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ ถึงขนาดการที่ปฏิสนธินอกร่างกาย สามารถทำได้โดยการผสมเทียมนอกมดลูก แต่ต้องอาศัยมดลูกของมารดา เพื่อเลี้ยงดูลูกจากสายเลือดแม่ แต่ปัจจัยที่จะเกิดเป็นมนุษย์ต้องไม่ขาดทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าร่างกายของมนุษยตายไป จิตใจไม่สามารถพึ่งพาร่างกายในการรับรู้สิ่งต่างๆ โลก มนุษย์ และจักรวาลได้เพราะร่างกายไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป จิตใจจะต้องปล่อยร่างกายให้กลับสู่ธรรมชาติเพื่อไปเกิดในภพภูมิอื่น ดังนั้นเมื่อชีวิตมนุษย์มีองค์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ธรรมชาติของจิตคือการรับรู้ อาศัยการรับรู้ของร่างกายมนุษย์เกี่ยวโยงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของโลก เช่น ภูเขา แม่น้ำ ทะเล น้ำตก และพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกมาทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นต้น แต่ธรรมชาติของจิตใจ เมื่อตระหนักรู้แล้วจะต้องรวบรวมหลักฐานเป็นอารมณ์และสั่งสมไว้ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจใช่เพียงจะมีหน้าที่รู้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์สั่งสมไว้ในจิตใจเท่านั้น แต่ธรรมชาติของจิตใจยังมีหน้าที่ในการคิดด้วย เมื่อรู้สิ่งใดแล้ว ก็จะคิดวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หากผลของการวิเคราะห์ข้อมูลแล้วพบว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นไม่ชัดเจน เนื่องจากขาดองค์ประกอบในเรื่องใด นักปรัชญาที่ชอบแสวงหาความรู้ ก็จะหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริง เป็นต้น เช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล พระองค์ทรงสงสัยความเป็นมาของจัณฑาล ทรงสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ จากปุโรหิตซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะในเรื่องกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี เมื่อปุโรหิตยืนยันความจริงว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะเพื่อให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดและยืนยันว่าเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามถึง ประวัติของพระพรหมก็ไม่มีใครตอบพระองค์ได้ ทำให้พระองค์ทรงไม่เชื่อคำให้การของปุโรหิตและสงสัยในความมีอยู่ของพระพรหม และเจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิรูปสังคมด้วยระบบการเมืองของอาณาจักรสักกะ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันโดยเสนอกฎหมายยกเลิกวรรณะจารีตประเพณี แต่รัฐสภาไม่อนุมัติเนื่องจากขัดต่อหลักอปริหานิยธรรมซึ่งถือเป็น "ธรรมของกษัตริย์" และเป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศ ในยุคนั้นเทียบได้กับกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้เขียนสงสัยว่าเมื่อ เจ้าชายสิทธัตถะทรงทราบถึงปัญหาของจัณฑาลแล้ว พระองค์ทรงจินตนาการอย่างไรในพระทัยของพระองค์ เพื่อปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ (Sakka Country) เพื่่อให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในการทำงาน การศึกษา และสักการะตามเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ แต่ผู้เขียนชอบศึกษาเรื่องจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ในปรัชญพุทธภูมิต่อไป จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจากพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ หนังสือวิชาการต่าง ๆ ข้อเท็จจริงจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาในการค้นหาความจริงในเรื่องนี้ บทความที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้้ จะเป็นประโยชน์สำหรับพระภิกษุที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงทางพระพุทธศาสนาไปบรรยายแก่ผู้แสวงบุญชาวพุทธในสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ส่วนวิธีพิจารณาความความจริงของพระพุทธเจ้า จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลในการทำการวิจัยระดับปริญญาเอกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น