The Truth problems concerning the development of Life Potential Development in Buddhaphumi's Philosophy
บทนำ ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของชีวิต ตามหลักปรัชญาแดนพุทธภูมินั้น ถือว่าเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจและควรศึกษาอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง ตามแนวคิดญาณวิทยาว่าด้วยที่มาของความรู้ของมนุษย์ ตามทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยม ได้กำหนดกฎเกณฑ์การตัดสินความรู้ที่แท้จริงว่า"ที่มาของความรู้ของมนุษย์ต้องรับรู้ผ่านอวัยวะอินทรีย์ ๖ อย่างและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์เท่านั้น" จึงจะถือว่าคนนั้นมีความรู้ที่แท้จริงและสามารถให้การยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้ และตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มนุษย์มีจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายและใช้อวัยวะอินทรีย์ ๖ เชื่อมต่อกับอารมณ์ของโลกเกี่ยวกับต่าง ๆ และวิญญาณเก็บอารมณ์ของความรู้ต่าง ๆ สั่งสมไว้ในจิตใจ แต่เนื่องจิตของมนุษย์อ่อนแอ เพราะขาดกำลังของสมาธิจึงให้ความสนใจสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แตกต่างกันเพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่ตนชื่นชอบหรือหลงใหลมากกว่า จะสนใจสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน ชีวิตของตนเอง ทำให้เกิดปัญหาของชีวิตเพราะไม่มีความรู้ช่วยเหลือตนเองในการแก้ปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
คำว่า "มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน" อธิบายว่าบุคคลผู้มีศรัทธาเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้าหรือผู้มีชีวิตที่เข้มแข็ง คำว่า"ศรัทธา" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามว่าคำนามแปลว่า ความเชื่อ,ความเลื่อมใส ส่วนคำกิริยาแปลว่าเชื่อ, เลื่อมใส เป็นต้นกล่าวคือ มนุษย์ทุกคนมีชีวิตประกอบด้วยร่างกายและจิตใจเช่นเดียวกันทุกคนหากเรามีศรัทธาในตัวเองว่า เรามีความสามารถที่จะกระทำได้เหมือนที่คนอื่นทำได้แล้ว เราก็จะเกิดแรงบันดาลใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป ถ้าเราเอาสิ่งที่ไม่มีเหมือนคนอื่นมาเป็นข้อจำกัดในชีวิตให้ท้อถอยและปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เพราะเขาชอบฟังความคิดที่มีเหตุผลของคนอื่นที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่ฟัง เพราะชอบตามอารมณ์ของคนอื่นที่กล้าแต่ขาดสติปัญญายากที่เราจะประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตได้ ตัวอย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์มีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองประเทศตามวรรณะที่พระองค์ทรงประสูติมา ทรงสำเร็จการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ถึง ๑๘ สาขาวิชาด้วยกัน ทรงใช้อย่างมีความสุขกับบริวารถึง ๔๐,๐๐๐ คนและมีปราสาทอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ถึง ๓ หลังด้วยกัน แต่ในที่สุดของความสุขของมนุษย์คือความเบื่อหน่ายในความสุขระดับประสาทสัมผัสเท่านั้นและตัดสินพระทัยเสด็จเยี่ยมเยือนประชาชนในพระนครกบิลพัสดุ์ทรงพบปัญหาของประชาชนที่เกิดจากการบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะทำให้ประชาชนหลายล้านคนออกมาใช้ชีวิตข้างถนนแม้ในวัยชรา ยามเจ็บป่วยและในยามตายเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตเพราะถูกพรหมทัณฑ์จากสังคมด้วยการขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่อาศัยของตน เมื่อเห็นปัญหาของประเทศทรงตั้งสติระลึกปัญหาของประชาชนเกิดจาการแบ่งวรรณะ เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมด้วยการบัญญัติกฎหมายผ่านรัฐสภาแต่ระบบรัฐสภาไม่อนุมัติ ตามที่พระองค์เสนอร่างกฎหมาย แต่พระองค์ไม่ท้อถอยที่จะช่วยเหลือผู้อื่นตามหลักเมตตาธรรมด้วยความเลื่อมใสในพระองค์เองว่ามีสติปัญญา (ชีวิตที่มีความเข้มแข็ง) ดังนั้นระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรมของรัฐศาสนาพราหมณ์เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปสังคม ในโลกปัจจุบันเราเป็นคนไทยต้องเลื่อมใสในชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ของตนเอง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตนเองในการแสดงถึงความเมตตาถึงความเป็นมิตรช่วยเหลือผู้อื่นในยามเดือดร้อนร่วมกันแสดงความสามัคคีที่เราสามารถตัวตนเราชัดเจนในการรับประทานอาหาร การแสดงออกทางวัฒนธรรม ความน้อมนอมถ่อมตนต่อผู้อื่นโดยการเคารพกราบไหว้
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธาเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน บุคคลผู้มีความเพียรเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้าบุคคลผู้มีความเกียจคร้านเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน บุคคลผู้มีสติตั้งมั่นเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า บุคคลผู้มีสติหลงลืมเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน บุคคลผู้มีปัญญาดีเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า บุคคลผู้มีปัญญาทรามเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน (ยังมีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น