Introduction :
A Study of Civilized Era during the time of Buddha according to Buddhaphumi philosophy
๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
แนวคิด "ยุคศิวิไลซ์" เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยทั่วโลก โดยนำเสนอแนวคิดเชิงทฤษฎีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่แท้จริงของยุคศิลวิไลซ์ยังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความหมาย และขอบเขตของความรู้เกี่ยวกับ "ยุคศิวิไลซ์" ซึ่งนำเสนอต่อสังคมจึงมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามบริบท ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ ข่าวลือ หรือความเห็นคิดเกี่ยวกับการกระทำของผู้คนในสังคมและผลที่ตามมาจากการกระทำเหล่านั้น สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เห็นเหตุการณ์ เข้าใจเหตุการณ์ในชีวิตมนุษย์ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายข้อเท็จจริง หรือคาดคะเนความจริงของเรื่องได้อย่างชัดเจนและครบถ้วน เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาและวิเคราะห์ยุคศิวิไลซ์ตามหลักปรัชญา จึงต้องพิจารณาถึงความจริงของเรื่องนี้ในทุกแง่มุม ตั้งแต่ความหมายของคำว่า "ยุคศิวิไลซ์" ที่มาของแนวคิด ไปจนถึงความสำคัญของงานวิจัยในปัจจุบัน
การศึกษาในสมัยก่อนพุทธกาล ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการมุขปาฐะจากครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นพราหมณ์เป็นนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา มักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมนุษย์ โลก และการมีอยู่ของเทพเจ้า โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของตนเอง เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้
๒. ความหมายและที่มาของคำว่า "ยุคศิวิไลซ์"
ยุคศิวิไลซ์มักถูกใช้เพื่ออ้างถึงสังคมมนุษย์ ที่ก้าวหน้าในหลากหลายด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม ความหมายที่แท้จริงของ "ยุคศิวิไลซ์" ยังคงไม่ชัดเจนจึงมีการใช้การเปรียบเทียบ และลำดับชั้นระหว่างสังคมต่าง ๆ สังคมที่พัฒนาแล้วถือเป็นสังคมที่ผู้คนมี "ความศิวิไลซ์" มากกว่า หรือมีความศิวิไลซ์มากกว่า
แนวคิดเรื่อง"ยุคศิวิไลซ์" มีรากฐานจากแนวคิดทางปรัชญาของนักปรัชญาตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคอาณานิคมในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก เมื่อชาวยุโรปใช้แนวคิดนี้โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของชีวิตมนุษย์ เพื่อใช้อำนาจอธิปไตยของพวกเขาในการปกครองและควบคุมสังคมในดินแดนต่าง ๆ หรือแสดงความคิดเห็นว่าสังคมเหล่านั้นว่า "ป่าเถื่อน" หรือไร้อารยธรรม โดยประเทศต่าง ๆ ในยุโรปจึงได้สร้างอาวุธสมัยใหม่สำหรับการทำสงคราม เพื่อยึดอำนาจอธิปไตยของประชาคมการเมืองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เมื่อผู้นำของประเทศในยุโรปควบคุมผู้นำของประเทศเหล่านั้นได้แล้ว พวกเขาก็จะบังคับผู้นำประเทศเหล่านั้นใช้อำนาจอธิปไตย ออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประะเทศของตน กดขี่ประชาชนในประเทศนั้นให้อยู่ภายใต้การปกครองของตน และทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของประชาคมการเมืองของประเทศนั้น ๆ
ดังนั้น ในปัจจุบันแนวคิดเรื่อง "ยุคศิวิไลซ์" ถูกตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเพราะเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมือง การเหยียดเชื้อชาติและการสร้างความเลื่อมล้ำ การศึกษาและวิเคราะห์ยุคศิวิไลซ์ จึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้แนวคิดแบบลำดับชั้น และต้องพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และสังคมอย่างรอบคอบ เป็นต้น
๓.ความสำคัญของการศึกษาในยุคศิวิไลซ์ตามปรัชญาพุทธภูมินั้น มีประเด็นสำคัญหลายประการ ดังนี้
๓.๑ การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์สังคมมนุษย์ การศึกษาช่วยให้ผู้คนทั่วโลกเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับมนุษยชาติ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยี่ รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสังคมมนุษย์ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและจากนโยบายทางการเมืองของผู้นำประเทศในขณะนั้น
๓.๒ การวิเคราะห์แนวคิดเรื่อง "การเจริญเติบโต" และความก้าวหน้าในทุกแง่ทุกมุมของสังคมมนุษย์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมซึ่งมนุษย์ได้รับประโยชน์ในเชิงปริมาน และเชิงประเมินค่าไม่ได้ การศึกษาประเด็นเหล่านี้ทำให้เราสามารถตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเรื่อง "การเจริญเติบโตและความก้าวหน้า" ของแต่ละประเทศโดยพิจารณาถึงผลกระทบโดยรวมของแนวความคิดเหล่านี้ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรมในทุกแง่มุม
๓.๓ การสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืน การศึกษาช่วยให้เราเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างถูกต้องและส่งเสริมสังคมที่เท่าเที่ยม ยุติธรรมและยั่งยืน
๓.๔ การแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน การศึกษาช่วยให้เราเข้าใจความปรารถนาของมนุษย์ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาต่าง ๆ ในสังคมปัจจุบัน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
เมื่อเรากล่าวให้เข้าใจความจริงเรื่องการศึกษายุควิไลซ์โดยย่อ การศึกษาเชิงวิเคราะห์ในยุคศิวิไลซ์ โดยใช้หลักปรัชญาเป็นงานวิจัยที่สำคัญและจำเป็น เพื่อทำความเข้าใจต้นกำเนิดของความรู้ของยุคศิวิไลย์ องค์ประกอบของความรู้ในยุคศิวิไลซ์ วิธีพิจารณาความจริงของยุคศิวิไลย์ และความสมเหตุสมผลของวามรู้ในยุควิวิไลซ์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต โดยการหลีกเลี่ยงความเลื่อมล้ำ การกดขี่และให้ความสำคัญกับการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ "ยุคศิวิไลซ์" จากนักปราชญ์ นักบวช ฆราวาส และนักโหราศาสตร์ ซึ่งทำนายอนาคตของมนุษยชาติว่า "คนชั่วจะพินาศ" โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้อธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้และเผยแพร่ออกไปในโซเชียลมีเดีย ส่วนความคิดเห็นที่ว่าคนชั่วทุกคนจะพินาศนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นที่แสดงออกมาตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลหรืออนุมานความรู้ (คาดคะเนความจริง ) จากสิ่งที่ได้ยินมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์ก็มักมีอคติต่อกันเนื่อง จากความไม่รู้ของตนเองชีวิตมนุษย์จึงตกอยู่ในความมืดมน ไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้อธิบายความจริงเกี่ยวกับยุคศิวิไลซ์ได้อย่างสมเหตุสมผล
ดังนั้น เมื่อบุคคลเหล่านี้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของ "ยุคศิวิไลซ์" พวกเขาอาจใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างถูกต้อง บ้างครั้งผิดบ้าง บ้างครั้งเป็นอย่างนั้นบ้าง บางครั้งเป็นอย่างนี้บ้าง เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่ามีความเป็นมาอย่างไร วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ พระสารีบุตรและพระอรหันต์ ได้ยินความคิดเห็นของคำตอบในเรื่องนั้นแล้ว ย่อมเกิดความสงสัยและไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงของเรื่องนี้ เป็นต้น
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนเลว ใครจะจับกุมคนเลวเหล่านั้น คนเลวเหล่านั้นจะพินาศได้อย่างไร ไม่มีใครสามารถอธิบายความจริงข้อนี้ได้อย่างละเอียด อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ได้พัฒนาแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและศาสนา ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อสะท้อนปัญหาของประเทศ เพื่อให้รัฐบาลสามารถศึกษาข้อเท็จจริงจากหลักฐานต่าง ๆ และเห็นความทุกข์ยากของประชาชนในประเทศ เมื่อสังคมในประเทศเปลี่ยนแปลงไป เป็นเรื่องของผู้นำประเทศที่มีปัญญาหยั่งรู้ความจริงจากความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องการให้ผู้นำประเทศแก้ไขปัญหาของประชาชน เพราะเสียงของประชาชน คือเสียงจากสวรรค์ที่มีอำนาจในการคัดเลือกผู้นำเพื่อกำหนดชะตากรรมของประเทศ หากเราอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพราะไม่มีงานทำ ธุรกิจเอกชนก็ล้มเหลว เมื่อประชาชนต้องการปัจจัยสี่ประการ แต่ไม่มีกำลังซื้อ เราจะสร้างงานที่มั่นคง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างไร
การเรียนรู้เกี่ยวกับความทุกข์ยากของประชาชน จะช่วยให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันทวงที แทนที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนในชีวิตประจำวันของผู้คนแนวคิดเรื่องยุคศิวิไลซ์นั้น แม้นักเขียนบางคนจะเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญาที่เขียนหนังสือเผยแพร่ความรู้ในเรื่องนี้ แต่กลับเป็นการแสดงความคิดเห็นความจริงในเรื่องนี้ตามปฏิภาณของตนเองและคาดคะเนความจริงเท่านั้น เมื่อนักเขียนบางคนเป็นนักตรรกะเป็นนักปรัชญามักจะมีการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องยุคศิวิไลซ์นั้น ทำให้ผู้อ่านสนใจในการอ่านกันและกลายเป็นหนังสือขายดีแต่การใช้เหตุผลของนักตรรรกะนักปรัชญาเหล่านั้น บางครั้งก็มีการใช้เหตุผลถูกบ้าง การใช้เหตุผลผิดบ้าง มีการใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้นบ้าง มีการใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้บ้าง แต่เมื่อวิญญูชนซึ่งเป็นผู้อ่านหนังสือเกี่ยวกับยุคศิวิไลย์แล้ว แต่ประวัติศาสตร์ของยุคศิวิไลย์ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร จึงพากันละทิ้งหนังสือเรื่องนี้ไม่สนใจที่จะติดตามอ่านอีกต่อไปหรือเมื่ออ่านแล้ว ก็ไม่นำความรู้ในเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัด เป็นต้น
เมื่อเราเห็นตัวตนของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย ต่างก็มีอวิชชาสั่งสมอยู่ในจิตใจ ที่ต้องพัฒนาความรู้และทักษะความสามารถในการคิดจากความรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และที่สั่งสมไว้ในจิตใจ โดยใช้สติปัญญาพิจารณา และใช้เหตุผลอธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น ๆ เช่น คาดคะเนอนาคตชีวิตมนุษย์ ตัดสินใจเชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น ว่าจริงหรือเท็จ เป็นต้น
บางคนคิดว่าคนชั่วยากจะจำกัดให้หมดสิ้นได้ เพราะมนุษย์เป็นพวกเห็นแก่ตัว ไม่เคยแสดงตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นเห็น มักแสดงสมบัติผู้ดีให้สาธารณะชนเห็นหรือแสร้างทำเป็นไม่รู้เรื่อง การแยกแยะคนดีและคนชั่วจึงเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาวิจารณญาณและปัญญากว่าจะเห็นตัวตนที่แท้จริง เพราะมนุษย์มักจะหวาดกลัวต่อโลกธรรม ๘ ประการ จึงไม่เคยแสดงตัวตนหรือธรรมชาติที่แท้จริงของตนให้ผู้อื่นในสังคมเห็น เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เว็บไซต์และ YouTube และได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าในยุคศิวิไลซ์ คนชั่วจะพินาศ แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ วิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของยุคศิวิไลซ์ แต่เรื่องราวของคำตอบที่ผุดขึ้นในใจของผู้เขียนนั้น ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยและไม่ชัดเจนว่าคนชั่วจะถูกทำลายได้อย่างไร ?แต่ผู้เขียนชอบค้นคว้าเรื่องยุคศิวิไลย์อีกต่อไป จำเป็นต้องมีการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อนำมาวิเคราะห์ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบให้ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้เขียนสนใจแสวงหาความรู้เกี่ยวกับยุคศิวิไลย์มากขึ้น จึงได้ค้นคว้าข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ อรรถกถา เอกสารวิชาการอื่น ๆ และหลักฐานเอกสารดิจิทัลจากอินเตอร์เน็ต เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้เขียนจะเขียนบทวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงของคำตอบเกี่ยวกับยุคศิวิไลซ์ บทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่สนใจศึกษาปรัชญาเชิงวิเคราะห์ และพระธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรใช้บรรยายธรรมในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง (The Four Holy Buddhist Places)และพุทธสถานทั่วโลก กระบวนการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตระดับปริญญาเอก ใช้เป็นแนวทางการเขียนวิทยานิพนธ์และบทความของนิสิตระดับปริญญาเอกสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา เพื่อให้ได้ความรู้ที่สมเหตุสมผล ไม่สงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไปและสามารถตรวจสอบกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลได้ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น