The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564

บทนำ: ยุคศิวิไลซ์ตามหลักปรัชญาพุทธภูมิ


Introduction to Civilized Era according to Buddhaphumi's philosophy

บทนำ       
       เมื่อผู้เขียนได้ศึกษายุคศิวิไลย์จากความคิดเห็นของพระภิกษุ อุบาสถ  โหราจารย์ นักทำนายดวงชะตาของมนุษย์และผู้ปฏิบัติธรรมที่ทำนายโลกอนาคตบนโซเชียลเน็ตเวิร์กผู้เขียนก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า   ถือเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์ทั่วโลกในยุคนี้คนชั่วทั้งหมดจะถูกทำลาย แล้วใครจะทำลายคนชั่ว มีวิธีการทำลายอย่างไรนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายความจริงเรื่องนี้โดยละเอียด เมื่อพวกเขาเผยแผ่ความคิดเห็นของเขาบนโซเชียลเน็ตเวิร์กพวกเขาก็ได้รับผู้ติดตามนับล้านคน  หรือทำหนังสือขายให้กับผู้สนใจ ก็จะกลายเป็นหนังสือขายดี    แต่เมื่อคนทั่วโลกอ่านหนังสือเกี่ยวกับยุคศิวิไลย์  แต่ประวัติศาสตร์ของยุคศิวิไลย์ยังไม่ชัดเจนผู้อ่านตีความข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยุคศิวิไลซ์ตามหลักฐานที่บันทึกไว้ เมื่อวิเคราะ์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ  แล้วเพื่อหาเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบ  ตามความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตน  ผู้อ่านใช้สติปัญญาพิจารณาและให้เหตุผล ตัดสินใจเชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ   เป็นต้น  บางคนก็คิดว่า   เป็นไม่ได้ที่คนชั่วจะถูกทำลายหมดเพราะมนุษย์เห็นแก่ตัว และไม่เคยแสดงตัวตนที่แท้จริงของตนให้ผู้อื่นเห็นมักจะแสดงสมบัติผู้ดีต่อสาธารณะชน    หรือทำเหมือนไม่รู้เรื่องนั้นการแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วของมนุษย์    ซึ่งทำได้ยากและบางครั้งก็ต้องใช้เวลา วิจารณญาณและสติปัญญามีความเหตุสมผล  มนุษย์มักกลัวต่อโลกธรรม ๘ ประการจึงไม่เคยแสดงตัวตนหรือธรรมชาติที่แท้จริงของตนให้ผู้อื่นเห็นในสังคม  

     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในโซเชียลเน็ตเวิร์กบนเว็บไซต์ และ YouTube และได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าในยุคศิวิไลซ์คนชั่วทุกคนจะถูกทำลาย   แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานได้เพียงพอแล้ว   วิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของยุคศิวิไลซ์  แต่เรื่องราวของคำตอบที่ผุดขึ้นในใจของผู้เขียนนั้น    ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยและไม่ชัดเจนว่าคนชั่วจะถูกทำลายได้อย่างไร?  แต่ผู้เขียนชอบค้นคว้าเรื่องยุคศิวิไลย์อีกต่อไป 
จำเป็นต้องมีการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม    เพื่อนำมาวิเคราะห์  เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบให้ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย         

     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต [๒.ทุติยปัณณาสก์] ๒.มหาวรรค ๕. เกสปุตตสูตร [๖๖].....ลำดับนั้น พวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  บางพวกถวายอภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่อันสมควร บางพวกสนทนาปราศัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประนมไหว้ ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้วนั่ง ณ ที่สมควร  บางพวกประกาศชื่อและโคตรแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกนั่งนิ่ง ณ ที่สมควร 

       พวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคม ผู้นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่าข้าพระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคมแสดงประกาศวาทะของตนเท่านั้น แต่กระทบกระเทียบ ดูหมิ่นกล่าวข่มวาทะของผู้อื่น ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ ... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความสงสัยลังเลใจในสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่า "บรรดาท่านสมณพราหมณ์เหล่านี้ ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ" พระผู้มีพระภาคตรัสว่ากาลามชนทั้งหลายก็สมควรที่ท่านทั้งหลายจะสงสัยสมควรที่จะลังเลใจ ท่านทั้งหลายเกิดสงสัย ลังเลใจในฐานะที่ควรสงสัยอย่างแท้จริงมาเถิด กาลามะทั้งหลาย 

     ท่านทั้งหลายอย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบ ๆ กันมา อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลืออย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำร่าหรือคัมภีร์ อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ(การคิดเอาเอง)อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้วอย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา กาลามะทั้งหลาย  เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่า "ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละ (ธรรมเหล่านั้น)เสีย  

      ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ข้างต้น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนชาวเกสปุตตะนิคมว่า เมื่อพราหมณ์ในนิกายอื่นได้เข้ามาเผยแผ่ธรรมะเกี่ยวกับความจริงของชีวิตมนุษย์แต่พูดแดกดัน ดูหมิ่นดูแคลน คำสอนของศาสนาอื่นทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ  เราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงโดยทันที เพราะมีการเล่าสู่กันฟังอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ฯลฯ ควรสงสัยว่าไม่เป็นความจริงจนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ

       ด้วยเหตุผลข้างต้น ผู้เขียนสนใจที่จะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคศิวิไลย์อีกต่อไป จึงได้เริ่มสืบหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ อรรถกถา เอกสารวิชาการอื่น ๆ และพยานเอกสารดิจิทัลจากอินเตอร์เน็ต เมื่อหลักฐานเพียงพอ   ผู้เขียนก็จะเขียนบทความเชิงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบเรื่องยุคศิวิไลซ์  บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่สนใจศึกษาปรัชญาเชิงวิเคราะห์ และพระวิทยากรใช้บรรยายธรรมในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง (The Four Holy Buddhist Places)และพุทธสถานทั่วโลก กระบวนการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตระดับปริญญาเอก ใช้เป็นแนวทางการเขียนวิทยานิพนธ์และบทความของนิสิตระดับปริญญาเอกสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา เพื่อให้ได้ความรู้ที่สมเหตุสมผล ไม่สงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไปและสามารถตรวจสอบกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลได้ เป็นต้น 

     

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ