
สถานที่ตั้งของหมู่บ้านชิรากาวาโกะ
ตามแนวคิดทางอภิปรัชญานั้น บ่อเกิดความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ ต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ จึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง ดังนั้นบ่อเกิดความรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านชิรากาวาโกะ ต้องรับรู้โดยประสาทสัมผัสของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเท่านั้นจึงถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง แม้ในโลกปัจจุบัน นักวิชาการทางเทคโนโลยี่และอินเตอร์จะสร้างเครือข่ายโทรศัพ์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จนสามารถแบ่งปันความรู้ของผ่านระบบอินเตอร์เน็ตไปทั่วทุกมุมโลกได้ก็ตาม แต่ความรู้เหล่านั้นยังคงมีข้อจำกัดไม่ครอบครัวไปทุกเรื่อง เพราะขาดกลิ่น รส และที่สำคัญมนุษย์ยังสงสัยว่า ภาพนิ่ง วิดีโอการเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ เป็นจริงหรือเท็จ หมู่บ้านชิราวาโกะที่เป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมนั้น เป็นหมู่บ้านยังเก็บรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้มายาวนานหลายปีแล้ว เพื่อป้องกันธรรมชาติเกิดจากอากาศเย็นในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ชาวบ้านชิราการาโกะที่อาศัยอยู่กลางหุบเขาต้องขาดการติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลานานในแต่ละปี ในช่วงอากาศหนาวเย็นและมีหิมะปกคลุมอย่างน้อย ๖ เดือน ชาวบ้านไม่สามารถหาอาหารและเพาะปลูกข้าวได้จากความรู้ผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสทำให้ชาวบ้านคิดหาทางเอาตัวรอดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติ
ในการสร้างบ้านต้องหาวิธีสร้างหลังคาบ้านที่ทำจากหญ้าหนาประมาณ๑ เมตรเพื่อป้องหิมะและลมหนาวเย็น เข้าบ้านทำให้บ้านอบอุ่นในฤดูหนาวมาช้านานจนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่มนุษย์ควรอนุรักษ์ไว้ให้ผู้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป ต้องรู้จักปลูกพืชระยะสั้นเพื่อเป็นอาหารบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวบ้านชิรากาวาโกะทุกบ้าน ต้องปลูกข้าวไว้ในนาเล็กๆข้างบ้าน สร้างยุ้งฉางใกล้บ้านเพื่อเก็บข้าวไว้ใช้ในฤดูกาลที่ยาวนาน เก็บฟืนไว้ก่อไฟหุ้งข้าวและทำอาหาร วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๐ ผู้เขียนนั่งรถทัวร์จากเมือง Hashima City ไปยังหมู่บ้านมรดกโลกที่เรียกว่า "Shirakawa-go Village " ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๑๓๙ กิโลเมตรใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ๓๔ นาที คณะของเราเดินทางสู่หมู่บ้าน Shirakawa ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยภูเขาทุกด้าน
๑.๑ ทางตอนเหนือของหมู่บ้านมีภูเขา Ningyo.
๑.๒ ทางตอนใต้ของหมู่บ้านมีภูเขา Gozen.
๑.๓ ทางตอนตะวันตกของหมู่บ้านมีภูเขา Oizurugatake,
๑.๔ ทางตอนตะวันออกของหมู่บ้านมีภูเขา Oizrugata.
เมื่อเรามองภูมิทัศน์ของหมู่บ้านจากจุดชมวิวบนภูเขาสูงที่เรียกว่าหอดูดาวชิราคาวะ (Shirakawa-mu tenshu kaku observatory) ผู้เขียนและนักท่องเที่ยวอีกหลายคน เห็นภาพท้องนาของชาวบ้าน มีคันนาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลายร้อยแปลง มีทั้งแปลงเล็กและแปลงใหญ่ซึ่งมีความแตกต่างกัน แม้ผลิตผลข้าวไม่ได้มากมายแต่ก็พอยังชีพตนเองได้ ภาพจากจุดชมวิวแห่งนี้ ที่ผู้เขียนมองผ่านประสาทสัมผัสแล้วเห็นว่า เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก เห็นสภาพบ้านเรือน ปลูกทิวเรียงรายกันไป ข้างบ้านนั้นจะมีที่นาแปลงเล็กใช้น้ำบนภูเขาสูงจากของหิมะละลายในฤดูร้อนของเดือนพฤษภาคม ภาพของปลูกข้าวเป็นธรรมชาติที่สวยงามอีกรูปแบบหนึ่ง ในช่วงเวลาเย็นอากาศหนาวพัดจากเชิงเขามาทดแทนที่อากาศร้อนบนภูเขามา ผัสสะร่างกายของเราจะรู้สึกเย็นสบายดี ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี บรรยายกาศบนภูเขาช่างเหมาะชมทัศนียภาพของหมู่บ้านในยามค่ำคืน ตาเห็นแสงไฟฟ้าเล็ดลอดออกมาจากประตูหน้าต่างของอาคารบ้านเรือน เห็นลมเย็นจะทำให้ร่างกายเราได้รับความผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดของร่างกายมีมูลเหตุจากการทำงานได้เป็นอย่างดี
ในภาพนี้คือช่วงระยะเวลาของเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐ ผู้เขียนเดินเข้าไปดูภายในหมู่บ้าน ผู้เขียนเห็นบ้านแต่ละหลังมีนาข้าวอย่างน้อย๑ แปลงในนาปลูกข้าวแต่ละแปลงมีน้ำขังอยู่เต็มไปหมด เพราะเป็นช่วงที่หิมะกำลังละลายไหลลงมาจากภูเขาสูงทำให้ทุกหนทุกแห่งในหมู่บ้านแห่งนี้มีการทำเกษตรกรรมมากนาข้าวบางแปลงชาวนาชิราวาโกะปลูกข้าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้นข้าวสีเขียวกำลังเจริญเติบโตและงอกงามเต็มที่ระหว่างเส้นทางต่างๆถนนทุกสายในหมู่บ้านเป็นถนนคอนกรีต บนเส้นทางไปจุดชมวิวบนภูเขาสูง ประสาทหูของผู้เขียนได้รับรู้เสียงของกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราด ไหลผ่านร่องระบายน้ำจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตลอดเวลา เพราะหิมะละลายกลายเป็นกระแสน้ำไหลลงตามร่องระบายน้ำตลอดเวลา ชาวนาสามารถทดน้ำเข้าสู่นาข้าวใช้เพาะปลูกข้าวตลอดเวลาน้ำใสสะอาดมาก จนเห็นปลาเขาเลี้ยงไว้ตามธรรม ชาติ มันแหวกว่ายน้ำไปมามีหลายชนิดมาก ค่อนข้างเชื่องไม่ตกใจหรือแตกตื่นกลัวคน แม้จะได้เสียงคนเดินมาหรือจ้องมองมันในน้ำ เมื่อเป็นหมู่บ้านเป็นมรดกโลกจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและปรากฎในเวปไซด์ต่างๆเขาว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านปิดเพราะมีภูเขาล้อมรอบเป็นหลายปีจนกระทั่งรัฐบาลตัดถนน ผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้โลกรู้จักหมู่บ้านซิรากาวาโกะ การมีภูเขาหลายลูกตั้งล้อมรอบหมู่บ้านและมีการอนุรักษป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ ในฤดูหนาวมีหิมะปกคลุมเป็นเวลาหลายเดือนในแต่ละปี พอถึงช่วงระยะเวลาอากาศร้อนในเดือนเมษายนหิมะเริ่มละลายทำให้เกิดน้ำซับไหลรวมกันในท้องร่องน้ำตลอดเวลาทำให้พวกเขาทำการเกษตรกรรมได้เพราะอุณหภูมิสูงพอที่จะทำการเกษตรกรรมได้คือไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น