The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2566

ปัญหาญาณวิทยาของรัฐพุกามโบราณ

  The Epistemological issues of the  Ancient Bagan State
ปัญหาญาณวิทยาของรัฐพุกามโบราณ

 บทนำ                   

          โดยทั่วไป  นักศึกษาประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้  มักได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณจากการบรรยายของอาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วโลก จากเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต  หรือจากคำบอกเล่าของนักท่องเที่ยวที่เคยไปเยือนเมืองพุกามโบราณแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมาจากบทวิจารณ์บนเว็บไซต์อาณาจักรพุกามโบราณ  และแผนที่ของกูเกิล (Google Map)อีกด้วย เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณ  นักศึกษาประวัติศาสตร์มักเชื่อโดยปริยายว่าเมืองโบราณแห้งนี้เคยมีอยู่จริง 

             อย่างไรก็ตาม     ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น   ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ปัจจัยทั้งสองนี้พึ่งพาอาศัยกัน หากขาดร่างกายและจิตใจ      ชีวิตมนุษย์ก็อาจไม่ดำรงอยู่ต่อไปได้และต้องตายไปตามกฎธรรมชาติ    ขณะมีชีวิตอยู่นั้น  จิตใจมนุษย์ต้องอาศัยอายตนะภายในร่างกาย เพื่อรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการรับรู้และบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เท่านั้น  แต่ยังเป็นนักคิดโดยกำเนิด     เมื่อจิตใจรับรู้สิ่งใด จิตใจของพวกเขามักจะคิดจากสิ่งนั้น     ยกตัวอย่างเช่น  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า       เมื่อเราได้ยินเรื่องราวที่เล่าที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันจากคัมภีร์ทางศาสนา     และคำสอนของครูบาอาจารย์ เป็นต้น   เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง เราควรสงสัยเสียก่อน      จนกว่าเราจะได้สอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ เราสามารถนำมาหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์    โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานหรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  โดยเราใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างมีเหตุผลและปราศจากข้อสงสัยใด ๆ   ในข้อเท็จจริงเรื่องนั้นอีกต่อไป   

๒.ปัญหาญาณวิทยา : เรารู้ได้อย่างไรว่าอาณาจักรพุกามโบราณมีอยู่จริง"   
               ก่อนสมัยพุทธกาล  แม้แต่ผู้คนในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งมีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต มักมีความคิดที่อคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว  ความเกลียดชังและความรัก ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในความมิดมน ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น     และความจริงขั้นปรมัตถ์  เมื่อใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาก็ให้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง บางครั้งไม่ถูกต้อง    บางครั้งพวกเขาก็ให้เหตุผลในลักษณะนี้หรือแบบนั้น      เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  ความคิดเห็นของมนุษย์ก็เชื่อถือไม่ได้  ทำให้ง่ายต่อการตัดสินความจริงผิดพลาด   ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งประเมินว่ามีมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี  แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดจากความไม่รู้ของสาธารณชน แต่แม้จะมีคำตอบแล้ว  แต่หลักฐานก็ยังไม่เพียงพอ และมักมีเหตุผลที่ขัดแย้งสำหรับคำตอบที่ให้ไว้ ผู้คนยังคงเคลือบแคลงสงสัย    ดังนั้น นักญาณวิทยาจึงสนใจที่จะศึกษาปัญหานี้เพิ่มเติม

           ๒.๑.ต้นกำเนิดของความรู้  
           ๒.๒.องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์  
           ๒.๓.วิธีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ 
           ๒.๔.ความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ 

            ญาณวิทยาสนใจศึกษาปัญหาที่ว่า "เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง"  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  เมื่อเราได้ยินความจริงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของอาณาจักรพุกามโบราณในฐานะรัฐอธิปไตย ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นรัฐเอกราช  รักษาเอกราชไว้ได้ช่วงระยะหนึ่ง และเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ   อาณาจักรพุกามสูญเสียอำนาจอธิปไตยเมื่อกองทัพจักรวรรดิมองโกลรุกราน   และยึดครองอาณาจักรพุกามโดยใช้อำนาจอธิปไตยเป็นของตน เพื่อปกครองอาณาจักรพุกามเอง  หลังจากอาณาจักรพุกามโบราณสถาปนาขึ้น   ดำรงเอกราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วเสื่อมสลายลงตามกฎหมายธรรมชาติ ถือว่าอาณาจักรนี้เป็นความจริงที่สมมติขึ้น 

            ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อาณาจักรพุกามโบราณนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็คงอยู่ในสภาพของความเป็นรัฐนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ   ดังนั้นอาณาจักรพุกามโบราณจึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น เราไม่ควรยึดติดกับการมีอยู่ของอาณาจักรพุกามโบราณแห่งนี้ แม้ว่าเราจะยอมรับความจริงของการดำรงอยู่ของอาณาจักรพุกามโบราณตามหลักอภิปรัชญาโดยปริยายก็ตาม   อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนและมนุษย์ทุกคนเกิดมา โดยความไม่รู้ความเป็นจริงของอาณาจักรพุกามโบราณ เพราะมนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอดีต เช่น การเกิดขึ้นของอาณาจักรพุกามโบราณ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในที่ห่างไกลหรือเหตุการณ์ที่ผู้เขียนไม่เห็นว่าเกิดขึ้น  เป็นต้น ดังนี้ กล่าวคือ

          ๒.๑. ต้นกำเนิดของความรู้มนุษย์      โดยทั่วไป ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ  เช่น ศาสนาพราหมณ์ พระพุทธศาสนาและปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์  ปัญหาว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ได้อย่างไรหรือมนุษย์เป็นต้นกำเนิดความรู้ได้อย่างไร   เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องมนุษย์เจ้าของความรู้ด้านปรัชญาและพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้เขียนมิได้เชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ทันที  ผู้เขียนสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานของเรื่องนี้ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ความรู้ของมนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากไหน ?  เมื่อศึกษาประเด็นนี้จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย    ผู้เขียนพบความจริงว่า แต่เดิมชาวอนุทวีปอินเดียเชื่อว่าพระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง รัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะได้บัญญัติกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับวรรณะ เพื่อให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตน  ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีสภาพบังคับสำหรับพลเมืองให้ปฏิบัติตามกฎหมาย กล่าวคือ ห้ามการแต่งงานข้ามวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ทำให้ประชาชนไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้   ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล ที่พวกเขาถูกพระพรหมลงโทษ โดยพระองค์ทรงสั่งให้สังคมขับไล่พวกเขา ออกจากบ้านเรือนไปตลอดชีวิต เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เนื่องจากพระองค์ทรงไม่สามารถสื่อสารกับพระพรหมผ่านพิธีบูชายัญได้ กฎหมายวรรณะกำหนดเงือนไขห้ามบุคคลจากวรรณะอื่นมิใช่พราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญขอพรเทพเจ้าได้ เจ้าชายสิทธัตถะประสูติวรรณะกษัตริย์มิใช่พราหมณ์ พระองค์จึงทรงไม่สามารถทำพิธีบูชายัญได้  

          การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าทำให้รู้ว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกพระพรหมสร้างขึ้นมาจากร่างกายของพระองค์อย่างใด แต่พระองค์ทรงมีดวงตาทิพย์เห็นวิญญาณของมนุษย์ที่ตายแล้ว ออกจากร่างกายไปเกิดใภพภูมิอื่นต่อไป  ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ ปัจจัยทั้งสองนี้ มีส่วนทำให้เกิดการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเพราะธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสิ่งแวดล้อมที่อยู่ล้อมรอบตัวมนุษย์ อาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้น   เช่น ชุมชนการเมืองของอาณาจักรพุกามโบราณที่เกิดขึ้น  เป็นต้น เมื่อมนุษย์ได้รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจของมนุษย์ก็จะยอมรับเรื่องราวเหล่านั้นมาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ที่จะคิดจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หากผลการวิเคราะห์หลักฐานยังไม่ชัดเจน เพราะมนุษย์มักมีอคติต่อกันและมักมีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเอง  ทำให้นักปรัชญาเกิดความสงสัยในข้อเท็จจริงและอยากแสวงหาความรู้ในเรื่องนั้นเพิ่มเติม  ก็จะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในเรื่องนั้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของแผ่นดินไหว หรือ ภูเขาไฟระเบิดแล้ว จิตใจของมนุษย์ก็จะเก็บเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด มาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตนแล้ว  ก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานที่มีอยู่ในจิตใจนั้น เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดนั้น แต่หลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ที่จะหาเหตุผลมา อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องเหล่านี้ได้  เพราะมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้น  แล้วคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมลงไปจากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์  อีกทั้งมนุษย์เกิดมาโดยขาด  จึงไม่สามารถอธิบายความจริงของสิ่งเหล่านี้ได้  เป็นต้น    

           ดังนั้น ในการศึกษาปัญหาความจริงของอาณาจักรพุกามโบราณนั้น เป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่เกี่ยวพันกับชีวิตมนุษย์โดยตรง และ นักประวัติศาสตร์จะยอมรับความจริงเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณโดยปริยายก็ตาม  อย่างไรก็ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อได้ยินความเห็นที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากตำราเรียนหรือความเห็นของครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อว่าเป็นความจริง เราควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน  เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว   ก็นำมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณ หากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง การรับฟังหลักฐานเพียงคนเดียวว่าเป็นความจริงนั้น   มักจะขาดความน่าเชื่อเพราะ มนุษย์มีจำกัดของอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์ในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกล              ไม่เห็นเหตุการณ์ในเรื่องนั้น หรือให้ข้อเท็จจริงด้วยอคติต่อผู้อื่น     เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เพื่อป้องกันการโต้เถียงว่าข้อเท็จจริงจริงหรือเท็จ  เพื่อตัดสินข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง บริสุทธิ์และยุติธรรมกับทุกฝ่าย      เพื่อแก้ปัญหาในความน่าเชื่อของหลักฐานซึ่ง ก็คือ  พยานผู้เห็นเหตุการณ์ในเรื่องนี้หรือไม่ ?      นักปรัชญาแก้ปัญหาโดยกำหนดทฤษฎีความรู้ต่าง ๆ ขึ้นมา  เพื่อวิเคราะห์ที่มาความรู้ของมนุษย์ในเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์      ที่มนุษย์ต้องเผชิญโดยตรงหรืออ้อมไมjว่าจะเป็นจริงหรือเท็จตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อผู้ฟังได้ยินข้อเท็จจริงใด ๆ ไม่ควรเชื่อทันที ควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตสมผล 

        แต่ในการเขียนบทความนี้  ผู้เขียนได้ใช้ทฤษฏีความรู้เชิงประจักษ์มีแนวคิดว่า"ความรู้ที่แท้จริงจะต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้นจึงจะถือเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น"  ตามทฤษฎีความรู้ข้างต้น   ผู้เขียนตีความว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับความจริงของชีวิตนั้น   ต้องเป็นผู้มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมในจิตใจเท่านั้น นักปรัชญาเห็นว่าบุุคคลนั้นจึงจะเป็นประจักษ์พยานที่จะสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้  ความรู้ของผู้เขียนที่ใช้ในการเขียนบทความเกียวกับปัญหาญาณวิทยาของอาณาจักรพุกามโบราณ ไว้อย่างชัดเจน และน่าเชื่อถือได้ คือ ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจของตน กล่าวคือเกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนเดินทางไปในเมืองพุกามโบราณ ทำให้จิตใจของผู้เขียนใช้อายตนะภายในเชื่อมโยงกับโบราณสถาน ที่มีการสร้างเจดีย์หลายพันองค์ทั่วเมืองพุกามโบราณ    และสั่งสมอารมณ์ของเจดีย์เป็นหลักฐานในจิตใจ และนำหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้     เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบว่าเป็นเจดีย์ในพระพุทธศาสนา แต่องค์ประกอบของโครงสร้างของความรู้ยังไม่สมบูรณ์จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องจริงได้อย่างเต็มที่  โดยเฉพาะแรงจูงใจในสร้างรัฐโบราณล้วนน่าศึกษาหาความจริงทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปในวัฏจักร  ที่ไม่สิ้นสุดนี้ทำให้ผู้เขียนสงสัยในสิ่งเห็นได้ แม้นักท่องเที่ยวจะเขียนบันทึก หรือบันทึกภาพนิ่ง หรือวีดีโอ แต่ความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานเหล่านี้ยังขาดองค์ประกอบที่สำคัญหลายอย่างของเหตุการณ์จริง เช่น  สภาพของอากาศ อุณหภูมิ วิถีชีวิตของผู้คนและแรงจูงใจในการสร้างโบราณสถานนี้  เป็นต้น  

ผู้เขียนให้การยืนยันว่า

             เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ผู้เขียนเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองบินไปยังสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์เวลา ๑๒.๓๐ น  หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว   กลุ่มของเราเดินทางโดยรถบัสไปยัง Bagan  ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของอาณาจักรพุกามโบราณระยะทาง ๑๘๒.๙ กิโลเมตร  ใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ๒๕ นาทีและถึงที่พักเวลา ๒๑.๐๐ น.  ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน   ผู้เขียนได้เห็นทิวทัศน์ของเขตมัณฑเลย์  ทั้งสองฝั่งถนนที่สร้างขึ้นใหม่ ภูมิทัศน์ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยทุ่งนาอันกว้างใหญ่ในเขตปกครองมัณฑะเลย์ หลังจากเดินทางได้สักพัก    รถบัสที่พากลุ่มนักท่องเที่ยวของเรา ไปตัดถนนชนบทผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ  ในชนบทของมัณฑะเลย์         ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา มีโรงงานอุตสาหกรรมเพียงแห่งเดียว   

        ลักษณะสภาพพื้นดินในเขตพุกามค่อนข้างแห้งแล้ง แต่เต็มไปด้วยพืชพรรณไม้นานาชนิด  เป็นป่าโปร่ง มีดินร่วนปนทราย  ผู้เขียนเห็นระบบส่งน้ำชลประทานพร้อมคลองส่งน้ำ ให้ชาวนานใช้ทำนา มีนาข้าวท่รวงข้าวเริ่มสุก  อีกไม่นานจะมีข้าวให้คนกิน แสดงให้เห็นว่าสหภาพเมียนมาร์ สามารถดำรงชีพด้วยเกษตรได้  พวกเขาอาศัยน้ำฝในการทำนา เมื่อเกือบค่ำแล้ว ก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้  บรรยายกาศมืดครึ้ม มีเพียงแสงไฟหน้าบ้านของชาวบ้านไม่กี่ดวง  เมื่อเปรียบเทียบชนบทของไทยกับของพวกเขา ผู้เขียนเห็นว่าประเทศของเรายังน้ำประปาและไฟฟ้าใช้ได้สะดวกกว่าประเทศอื่น ๆ  ในเอเซียตะุวันออกเฉียงใต้  ผู้เขียนเห็นแม่น้ำอิระวดี  (Irrawaddy River) ทางขวามือของผู้เขียนและรู้ว่า รถบัสกำลังพากลุ่มของพวกเรา   ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า รถบัสขับไปตามถนนลาดยางสักพัก    คนขับจึงเลี้ยวเข้าถนนชนบทที่ยังไม่ได้ลาดยางซึ่งเป็นทางลัด ไม่ใช่ถนนไฮเวย์สร้างอย่างดีอย่างเหมือนที่เห็นทั่วไปในประเทศไทย ทำให้ผู้เขียนได้เห็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของท้องทุ่งนา ไม่มีสิ่งปรุงแต่งแต่อย่างใด  ผู้คนใช้ชีวิตแบบชนบทของทุ่งนาธรรมชาติที่สวยงาม อากาศบริสุทธิ์มากไม่มีปัญหาสุขภาพจากการดื่มกินดื่มสุราเพื่อลืมความทุกข์ที่เกิดจากความไม่พอใจในอารมณ์ทางโลกที่กระทบต่อชีวิต  มีการปลูกต้นตาลริมนาข้าวของชาวบ้าน  

             ในตอนกลางของสหภาพเมียนมาร์  แม้จะมีแม่น้ำอิรวดีหรือเอยาวดี (Ayavati) ไหลผ่าน  แต่คนเขาบอกว่าเมืองร้อนมากในฤดูร้อน และฤดูหนาว อากาศไม่หนาวเท่าที่อื่น การเดินทางครั้งนี้ ร่างกายของฉันเหนื่อยล้ามาก  เพราะออกจากโคราช ตั้งแต่ตีสอง จำวัดในรถทั้งคืน แต่ไม่รู้สึกว่าตนเองลำบากอะไร  เพราะหลายปีที่ผ่านมา ต้องเจอเรื่องทุกข์ยากมาเยอะ  บางครั้งความทุกข์ยากก็เป็นเสน่ห์ของชีวิต ทำให้เราไม่ลืม เป็นอุทาหรณ์ที่ดีในการสอนจิตใจของเรา ความอยากรู้อยากเห็นทำให้คนเอาชนะความกลัวความทุกข์ยากได้ แม้ว่าชีวิตจะเหนื่อยล้าก็ตาม เพราะการเดินทางไกลตั้งแต่ตีสองจากจังหวัดนครราชสีมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อนำความรู้ไปสอนคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย  ๆ    แม้แต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะรู้ธรรมชาติที่แท้จริงนั้นและความเท่าเทียมของมนุษย์ก็มิใช่เรื่องง่าย เราต้องหาหนทางของการได้มา ซึ่งความรู้ของมนุษย์โดยการทดลองและค้นหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ที่หลากหลาย  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ