The Epistemological problem of the ancient Bagan State
ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับรัฐพุกามโบราณ

บทนำ
โดยทั่วไป นักศึกษาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มักได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำรงเอกราชของอาณาจักรพุกามโบราณ จากการบรรยายของอาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วโลกและจากเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต หรือคำบอกเล่าของนักท่องเที่ยว ที่เคยไปเยี่ยมชมเมืองพุกามโบราณ และเขียนบทวิจารณ์บนเว็บไซต์ของอาณาจักรพุกามโบราณ บนแผนที่โลกของกูเกิล (Google Map) เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณ นักศึกษาประวัติศาสตร์เมืองพุกามโบราณ มักเชื่อโดยปริยายว่า เมืองพุกามโบราณมีอยู่จริง
อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากตำราหรือคัมภีร์ทางศาสนา จากคำสอนของครูบาอาจารย์ เป็นต้น เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง เราควรสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะได้สอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็จะนำมาหลักฐานใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐาน หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ อย่างสมเหตุสมผล เมื่อนั้นก็จะไม่มีข้อสงสัยในความจริงอีกต่อไป
"เราจะรู้อย่างไรว่าอาณาจักรพุกามโบราณมีอยู่จริง" โดยทั่วไป เมื่อมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองและมักมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตมีความมิดมน ขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จึงมีความเห็นเข้าข้างฝ่ายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำให้จิตใจไม่บริสุทธิยุติธรรม หรือมีความเชื่อโดยความไม่รู้ของตนเอง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของเอง มีมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาทต่อปี แม้ว่านักปรัชญาและนักตรรกะ พยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมเพราะความโง่เขลาของคนในสังคม จะให้คำตอบกับสังคมแล้วก็ตามแต่หลักฐานไม่เพียงพอ มีเหตุผลย้อนแย้งกับคำตอบที่ให้ไว้ในหลายครั้งไม่เหมือนกันสักครั้ง ผู้คนก็เกิดความสงสัย ญาณวิทยาสนใจศึกษาปัญหาของต้นกำเนิดของความรู้ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ วิธีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ ญาณวิทยามีหน้าที่ตอบคำถามที่ว่า "เรารู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นความจริง"
กล่าวคือ โดยทั่วไปแล้ว แม้ว่าเราจะได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรพุกามโบราณ ในฐานะรัฐอธิปไตยที่ก่อตั้งขึ้นเป็นอิสระชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วถูกทำลายโดยจักรวรรดิมองโกล ซึ่งเข้ามาทำสงคราม เพื่อยึดอำนาจอธิปไตยของอาณาจักรพุกามมาปกครองเอง เมื่ออาณาจักรพุกามโบราณก่อตั้งขึ้น เป็นอิสระชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วถูกทำลายจนเหลือเพียงซากปลักหักพังทางประวัติศาสตร์ เช่น พระราชวังโบราณ ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าอาณาจักรพุกามโบราณ เป็นสิ่งไม่เที่ยง เราไม่ควรยึดติดกับความมีอยู่ของอาณาจักรพุกามแห่งนี้ แม้ว่าเราจะยอมรับความจริงของการมีอยู่อาณาจักรโบราณพุกามตามหลักอภิปรัชญาโดยปริยายก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนและมนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ถึงความเป็นจริงของอาณาจักรพุกามโบราณ เพราะมนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอดีต เช่น การเกิดขึ้นของอาณาจักรพุกามโบราณหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในที่ไกลออกไป หรือเหตุการณ์ที่ผู้เขียนไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น ดังนี้ กล่าวคือ
๑. ปัญหาเรื่องต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์โดยทั่วไป ความรู้ในวิชาต่าง ๆ เช่น ศาสนาพราหมณ์ พระพุทธศาสนาและปรัชญาเป็นของมนุษยชาติ ผู้เขียนก็เกิดความสงสัยว่าความรู้ของมนุษย์มีต้นกำเนิดจากอะไร? เมื่อศึกษาเรื่องนี้จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ พบข้อเท็จจริงว่าเดิมทีชาวอนุทวีปอินเดียเชื่อว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นสร้างมนุษย์ขึ้นจากร่างกายของพระองค์ และบัญญัติกฎหมายวรรณะขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมานั้นเพื่อให้มนุษย์เหล่านั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเองเกิดมา ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพราะมนุษย์ไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาลถูกลงโทษโดยคนในสังคมที่อ้างว่าพระพรหมลงโทษพวกเขา เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เนื่องจาก กฎหมายวรรณะกำหนดเงือนไขห้ามบุคคลจากวรรณะอื่น ประกอบพิธีบูชายัญขอพรเทพเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะประสูติวรรณะกษัตริย์จึงไม่สามารถ
การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าทำให้รู้ว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกพระพรหมสร้างขึ้นมาจากร่างกายของพระองค์อย่างใด แต่พระองค์ทรงมีดวงตาทิพย์เห็นวิญญาณของมนุษย์ที่ตายแล้ว ออกจากร่างกายไปเกิดใภพภูมิอื่นต่อไป ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ ปัจจัยทั้งสองนี้ มีส่วนทำให้เกิดการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเพราะธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสิ่งแวดล้อมที่อยู่ล้อมรอบตัวมนุษย์ อาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้น เช่น ชุมชนการเมืองของอาณาจักรพุกามโบราณที่เกิดขึ้น เป็นต้น เมื่อมนุษย์ได้รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจของมนุษย์ก็จะยอมรับเรื่องราวเหล่านั้นมาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ที่จะคิดจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หากผลการวิเคราะห์หลักฐานยังไม่ชัดเจน เพราะมนุษย์มักมีอคติต่อกันและมักมีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเอง ทำให้นักปรัชญาเกิดความสงสัยในข้อเท็จจริงและอยากแสวงหาความรู้ในเรื่องนั้นเพิ่มเติม ก็จะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในเรื่องนั้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของแผ่นดินไหว หรือ ภูเขาไฟระเบิดแล้ว จิตใจของมนุษย์ก็จะเก็บเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด มาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตนแล้ว ก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานที่มีอยู่ในจิตใจนั้น เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดนั้น แต่หลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ที่จะหาเหตุผลมา อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้น แล้วคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมลงไปจากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์ อีกทั้งมนุษย์เกิดมาโดยขาด จึงไม่สามารถอธิบายความจริงของสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นต้น
ดังนั้น ในการศึกษาปัญหาความจริงของอาณาจักรพุกามโบราณนั้น เป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่เกี่ยวพันกับชีวิตมนุษย์โดยตรง และ นักประวัติศาสตร์จะยอมรับความจริงเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณโดยปริยายก็ตาม อย่างไรก็ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อได้ยินความเห็นที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากตำราเรียนหรือความเห็นของครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อว่าเป็นความจริง เราควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็นำมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณ หากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง การรับฟังหลักฐานเพียงคนเดียวว่าเป็นความจริงนั้น มักจะขาดความน่าเชื่อเพราะมนุษย์มีจำกัดของอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์ในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกล ไม่เห็นเหตุการณ์ในเรื่องนั้น หรือให้ข้อเท็จจริงด้วยอคติต่อผู้อื่น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เพื่อป้องกันการโต้เถียงว่าข้อเท็จจริงจริงหรือเท็จ เพื่อตัดสินข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ และยุติธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาในความน่าเชื่อของหลักฐานซึ่งก็คือพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในเรื่องนี้หรือไม่ ? นักปรัชญาแก้ปัญหาโดยกำหนดทฤษฎีความรู้ต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อวิเคราะห์ที่มาความรู้ของมนุษย์ในเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ ที่มนุษย์ต้องเผชิญโดยตรงหรืออ้อมไมว่าจะเป็นจริงหรือเท็จตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อผู้ฟังได้ยินข้อเท็จจริงใด ๆ ไม่ควรเชื่อทันที ควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตสมผล
แต่ในการเขียนบทความนี้ ผู้เขียนได้ใช้ทฤษฏีความรู้เชิงประจักษ์มีแนวคิดว่า"ความรู้ที่แท้จริงจะต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้นจึงจะถือเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น" ตามทฤษฎีความรู้ข้างต้น ผู้เขียนตีความว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับความจริงของชีวิตนั้น ต้องเป็นผู้มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมในจิตใจเท่านั้น นักปรัชญาเห็นว่าบุุคคลนั้นจึงจะเป็นประจักษ์พยานที่จะสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ ความรู้ของผู้เขียนที่ใช้ในการเขียนบทความเกียวกับปัญหาญาณวิทยาของอาณาจักรพุกามโบราณ ไว้อย่างชัดเจน และน่าเชื่อถือได้ คือ ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจของตน กล่าวคือเกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนเดินทางไปในเมืองพุกามโบราณ ทำให้จิตใจของผู้เขียนใช้อายตนะภายในเชื่อมโยงกับโบราณสถาน ที่มีการสร้างเจดีย์หลายพันองค์ทั่วเมืองพุกามโบราณ และสั่งสมอารมณ์ของเจดีย์เป็นหลักฐานในจิตใจ และนำหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบว่าเป็นเจดีย์ในพระพุทธศาสนา แต่องค์ประกอบของโครงสร้างของความรู้ยังไม่สมบูรณ์จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องจริงได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะแรงจูงใจในสร้างรัฐโบราณล้วนน่าศึกษาหาความจริงทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปในวัฏจักร ที่ไม่สิ้นสุดนี้ทำให้ผู้เขียนสงสัยในสิ่งเห็นได้ แม้นักท่องเที่ยวจะเขียนบันทึก หรือบันทึกภาพนิ่ง หรือวีดีโอ แต่ความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานเหล่านี้ยังขาดองค์ประกอบที่สำคัญหลายอย่างของเหตุการณ์จริง เช่น สภาพของอากาศ อุณหภูมิ วิถีชีวิตของผู้คนและแรงจูงใจในการสร้างโบราณสถานนี้ เป็นต้น

ผู้เขียนให้การยืนยันว่า
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ผู้เขียนเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองบินไปยังสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์เวลา ๑๒.๓๐ น หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว กลุ่มของเราเดินทางโดยรถบัสไปยัง bagan ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของอาณาจักรพุกามโบราณระยะทาง ๑๘๒.๙ กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ๒๕ นาทีและถึงที่พักเวลา ๒๑.๐๐ น. ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน ผู้เขียนได้เห็นทิวทัศน์ของเขตมัณฑเลย์ ทั้งสองฝั่งถนนที่สร้างขึ้นใหม่ ภูมิทัศน์ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยทุ่งนาอันกว้างใหญ่ ในเขตปกครองมัณฑะเลย์ หลังจากเดินทางได้สักพัก รถบัสที่พากลุ่มนักท่องเที่ยวของเรา ไปตัดถนนชนบทผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ในชนบทของมัณฑะเลย์ ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา มีโรงงานอุตสาหกรรมเพียงแห่งเดียว
ลักษณะสภาพพื้นดินในเขตพุกามค่อนข้างแห้งแล้ง แต่เต็มไปด้วยพืชพรรณไม้นานาชนิด เป็นป่าโปร่ง มีดินร่วนปนทราย ผู้เขียนเห็นระบบส่งน้ำชลประทานพร้อมคลองส่งน้ำ ให้ชาวนานใช้ทำนา มีนาข้าวท่รวงข้าวเริ่มสุก อีกไม่นานจะมีข้าวให้คนกิน แสดงให้เห็นว่าสหภาพเมียนมาร์ สามารถดำรงชีพด้วยเกษตรได้ พวกเขาอาศัยน้ำฝในการทำนา เมื่อเกือบค่ำแล้ว ก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ บรรยายกาศมืดครึ้ม มีเพียงแสงไฟหน้าบ้านของชาวบ้านไม่กี่ดวง เมื่อเปรียบเทียบชนบทของไทยกับของพวกเขา ผู้เขียนเห็นว่าประเทศของเรายังน้ำประปาและไฟฟ้าใช้ได้สะดวกกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเซียตะุวันออกเฉียงใต้ ผู้เขียนเห็นแม่น้ำอิระวดี (Irrawaddy River) ทางขวามือของผู้เขียนและรู้ว่า รถบัสกำลังพากลุ่มของพวกเรา ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า รถบัสขับไปตามถนนลาดยางสักพัก คนขับจึงเลี้ยวเข้าถนนชนบทที่ยังไม่ได้ลาดยางซึ่งเป็นทางลัด ไม่ใช่ถนนไฮเวย์สร้างอย่างดีอย่างเหมือนที่เห็นทั่วไปในประเทศไทย ทำให้ผู้เขียนได้เห็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของท้องทุ่งนา ไม่มีสิ่งปรุงแต่งแต่อย่างใด ผู้คนใช้ชีวิตแบบชนบทของทุ่งนาธรรมชาติที่สวยงาม อากาศบริสุทธิ์มากไม่มีปัญหาสุขภาพจากการดื่มกินดื่มสุราเพื่อลืมความทุกข์ที่เกิดจากความไม่พอใจในอารมณ์ทางโลกที่กระทบต่อชีวิต มีการปลูกต้นตาลริมนาข้าวของชาวบ้าน
ในตอนกลางของสหภาพเมียนมาร์ แม้จะมีแม่น้ำอิรวดีหรือเอยาวดี (Ayavati) ไหลผ่าน แต่คนเขาบอกว่าเมืองร้อนมากในฤดูร้อน และฤดูหนาว อากาศไม่หนาวเท่าที่อื่น การเดินทางครั้งนี้ ร่างกายของฉันเหนื่อยล้ามาก เพราะออกจากโคราช ตั้งแต่ตีสอง จำวัดในรถทั้งคืน แต่ไม่รู้สึกว่าตนเองลำบากอะไร เพราะหลายปีที่ผ่านมา ต้องเจอเรื่องทุกข์ยากมาเยอะ บางครั้งความทุกข์ยากก็เป็นเสน่ห์ของชีวิต ทำให้เราไม่ลืม เป็นอุทาหรณ์ที่ดีในการสอนจิตใจของเรา ความอยากรู้อยากเห็นทำให้คนเอาชนะความกลัวความทุกข์ยากได้ แม้ว่าชีวิตจะเหนื่อยล้าก็ตาม เพราะการเดินทางไกลตั้งแต่ตีสองจากจังหวัดนครราชสีมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อนำความรู้ไปสอนคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ๆ แม้แต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะรู้ธรรมชาติที่แท้จริงนั้นและความเท่าเทียมของมนุษย์ก็มิใช่เรื่องง่าย เราต้องหาหนทางของการได้มา ซึ่งความรู้ของมนุษย์โดยการทดลองและค้นหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ที่หลากหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น