The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับสาลวโนทยานสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

Metaphysical problems regarding   Salwanodhayan is the place of Buddha's Nirvana

บทนำ
๑.ความมีอยู่ของกุสินารา
๒.สถานที่ปรินิพพานของศากยมุนีพุทธเจ้า 

บทนำ สาลวโนทยานที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน

                 ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับสาลวโนทยานสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้านั้น โดยทั่วไปแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มาเป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้วจากตำราเรียนพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยต่าง  ๆ   ทั่วโลก การแสดงพระธรรมเทศนาของเจ้าอาวาสในวัดต่าง ๆ  ทั่วโลกทั้งเถรวาทและมหายาน  เมื่อได้ยินแล้ว  ชาวพุทธทั่วโลกก็ยอมรับความจริงเรื่องนี้โดยปริยาย  และไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ได้ยินมา       แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราอย่าเชื่อทันทีควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ   เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้   เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ   

            ดังนั้น   เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องสาลวโนทยานเป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแล้ว    ผู้เขียนจึงไม่เชื่อทันทีว่าเป็นความจริงและควรสงสัยไว้ก่อน      จนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ  ไว้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้    และหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนี้ให้ชัดเจนเป็นความรู้ที่สมเหตุสมผล ไม่ต้องสงสัยข้อเท็จจริงอีกต่อไป    หากผู้เขียนไม่มีหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ข้อเท็จจริงจากพยานเพียงปากเดียว    ขาดความนาเชื่อถือ ถือว่าเป็นปัญหาอภิปรัชญาเรื่องหนึ่งที่น่าศึกษา   เพราะเป็นหนึ่งในสังเวชนียสถานทั้ง๔  เมือง โดยทั่วไปแล้วตามหลักวิชาการทางปรัชญานั้น      เมื่อนักปรัชญากล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด    ๆ     ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและนักปรัชญาทรงสอนว่าเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใด  อย่าเชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นทันที่ว่าเป็นความจริง     จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานแอย่างเพียงพอ     เพื่อเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลหาเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ปรากฏว่าข้อเท็จจริงไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร    ?    นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงในเรื่องนั้นต่อไป  ดำเนินการสอบสวนและหาหลักฐานเพิ่มเติม    เพื่อวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในเรื่องอย่างมีเหตุผล  เพื่อให้ได้ความจริงอันเป็นที่สิ้นสุด ดังนั้นความจริงตามหลักวิชาการทางอภิปรัชญานั้น แบ่งออกเป็น  ๒        ประเภท กล่าวคือ ๑. ความจริงที่สมมติขึ้น ๒.สัจธรรม หรือความจริงขั้นปรมัตถ์  ซึ่งเราสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังต่อไป 

            ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น   โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์อาศัยอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ล้อมรอบพวกเขานั้น    เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นแล้ว      มันคงตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและเสื่อมสลายไป    แต่ก่อนที่จะหายไปจากสายตาของมนุษย์นั้น   แต่มนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ในร่างกายที่เป็นสะพานเชื่อมกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ     หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตัวอย่างของปรากฏกรณ์ทางธรรมชาติ  เช่น หิมะตกทางตอนเหนือของเวียดนาม  ฝนตกลงมาในพื้นที่ทะเลทรายในตะวันออกกลาง  หรือภูเขาถล่มทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นต้น       ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วสลายตัวไปถือว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้น     ส่วนเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น  เช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงเล็งเห็นถึงปัญหาจัณฑาลที่ถูกสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากถิ่นที่ฐานไปตลอดชีวิต     ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนแม้ในวัยชรา ความเจ็บป่วยและนอนตายข้างถนน เป็นต้น   พระองค์ทรงมีจิตเมตตากรุณาช่วยจัณฑาลให้พ้นจากความทุกข์          พระองค์ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่อง       การมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร  และรวบรวมพยานหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิต ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า แม้พวกพราหมณ์จะให้การยืนยันการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสถามความเป็นมาพระพรหมและพระอิศวร  แต่ไม่มีใครตอบพระองค์ได้ทำให้พระองค์ทรงสัยความมีอยู่ของเทพเจ้า  ดังนั้นการมีอยู่ของเทพเจ้าจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น  เป็นต้น  
             สาลวโนทยานเป็นสถานที่ปรินิพานของพระพุทธเจ้า  เมื่อเกิดขึ้น  ก็มีอยู่เป็นอุทยานสาลวโนทยานมาระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมสลายไป  เพราะสร้างขึ้นเป็นวัดมหาปรินิพพานในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  และเสื่อมสลายไป   สาลวโนทยานคือสิ่งที่เกิด  ตั้งสถานะเป็นวัดอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมสลายไป  สาลวโนทยานจึงความจริงโดยสมมติ   ในยุคต่อมา วัดมหาปรินิพพานสร้างเป็นวัดแล้ว     ดำรงสถานะความเป็นวัดอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง  ก็เสื่อมสลายไป     เกิดจากปัจจัยที่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา เพราะกลัวเภทภัยจากสถานการณ์ทางการเมือง เป็นต้น ดังนั้น     เมื่อสาลวโนทยานเป็นอุทยานหลวงของกษัตริย์มัลละ และเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน    มันคงตั้งสถานะความเป็นอุทยานหลวงอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง        และเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ        และบันทึกไว้เป็นหลักฐานไว้ในพระไตรปิฎกหลายฉบับ  ตามหลักปรัชญา      ถือว่าการมีอยู่ของสาลวโนทยาน เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัส   ที่สั่งสมอยู่ในจิตของมนุษย์ และเป็นความจริงที่สมมติขึ้น  เป็นต้น

 
            ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์             คือความจริงอันเป็นที่สุดไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้    เป็นความรู้ที่ข้ามขีดจำกัดของประสาทสัมผัสของมนุษย์     โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้งหกในร่างกายของมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนเองและมักมีอคติต่อคนอื่น   ทำให้มนุษย์ตกอยู่ในความมืดมิด เพราะไมแยกแยะว่าสิ่งไหนดี ทำให้ชีวิตของมนุษย์  แต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า       อาจให้การเป็นพยานเท็จ  เพื่อยืนยันความจริงของคำตอบ        เพื่อแก้ปัญหาการเป็นพยานเท็จจริงตามญาณวิทยาที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า"ทฤษฎีความรู้"      ได้กำหนดว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์  จะต้องเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้น จึงจะเป็นพยานน่าเชื่อถือได้และให้การยืนยันข้อเท็จจริงนั้น        ดังนั้นเมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎก  อรรถกถา คัมภีร์ต่าง ๆ    และบันทึกของพระภิกษุจีนที่เดินทางไปแสวงบุญในอนุทวีปอินเดีย           ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าพระพุทธเจ้าทรงประทับในฤดูฝนครั้งสุดท้าย          ที่พระนครเวสาลีแห่งแคว้นวัชชี  พระพุทธองค์ทรงประชวรหนักและทรงพิจารณาถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอด ๔๕ ปีที่ผ่านมา   และทรงเห็นว่าขณะนี้พระพุททธศาสนาได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวชมพูทวีปแล้ว     สาวกของพระองค์ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์จำนวนมาก     ทำหน้าที่พัฒนาศักยภาพชีวิตของผู้คนในยุคนั้นให้ฟื้นจากความมืดมิด    และหาทางออกของชีวิตได้ด้วยการพึงตนเองผู้คนนับล้านคนยอมสละสมบัติของมนุษย์    เพื่อการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘         เพื่อบรรลุความรู้ระดับอภิญญา  ๖   นอกจากนี้การวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา   เพื่อตีความเนื้อหาทางพระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล เพื่อยืนยันความคิดเห็นทางวิชาการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งว่า    เป็นความรู้ที่แท้จริง การให้เหตุผลเป็นเครื่องมือสำคัญของปรัชญาในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปิดเผยความจริงของพระพุทธศาสนา        เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า    สาลวโนทยานซึ่งเป็นพระอุทยานของเจ้ามัลละกษัตริย์เป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า       แต่ปรากฏเรื่องราวขึ้นในใจของผู้เขียนไม่ชัดเ จนเนื่องจากยังไม่ทราบประวัติของสถานที่แห่งนี้ มันทำให้ผู้เขียนสงสัยในเรื่องนี้ว่า เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วกว่า ๒๕๖๔ ปี มีหลักฐานใดที่แสดงว่า เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้    การศึกษาข้อมูลสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าที่สาลวโนทยาน มีบ่อเกิดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองเช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์     ในการเขียนบทความนี้     เราจึงเริ่มด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานเอกสารได้แก่พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ   อรรถกถา ส่วนพยานวัตถุได้แก่พระพุทธรูปปางไสยาสน์ในวัดนิรวารณาและสถูปโบราณ        พยานบุคคลได้แก่ความเห็นของนักโบราณคดีชาวอินเดียทำการขุดค้นโบราณสถาน  และพยานเอกสารดิจิทัลได้แก่   แผนที่โลกกูเกิลและแผนที่ ๑๖ แคว้นของอินเดียโบราณ เป็นต้น   เพื่อหาเหตุผลของคำตอบในประเด็นที่ผู้เขียนสงสัยและใคร่อยากรู้จำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ ได้ดังนี้ 

๑.ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า  

     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ได้ยินข้อเท็จจริงว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่สาลวโนทยาน พระนครกุสินารา แคว้นมัลละ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลากว่า ๒๕๖๐ ปีแล้ว และพยานบุคคลที่เห็นการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็เสียชีวิตลงและวิญญาณก็ไปจุติในภพอื่นในสังสารวัฏแล้วเหลือเพียงหลักฐานที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน ที่บันทึกข้อเท็จจริงเป็นลายลักษณ์อักษร และขยายเนื้อความของพระไตรปิฎกมาพัฒนาเป็นตำราพุทธประวัติ บันทึกของนักโบราณคดี และการวิจัยของนักปรัชญ์ชาวพุทธยอมรับฟังข้อเท็จจริงว่า ศากยมุนีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาดับขันธปรินิพพานที่สาลวโนทยา ดังหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก  มหาวรรค ๓. มหาปรินิพพานสูตรตอนเสด็จไปควงไม้สาละคู่ ข้อ [ ๑๙๘] ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกพระอานนท์มาตรัสว่า"มาเถิดอานนท์ เราจะข้ามไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดี ตรงสาลวันของพวกมัลละอันเป็นทางเข้ากรุงกุสินารากัน แล้วรับสั่งเรียกพระอานนท์มาตรัสว่าอานนท์ เธอช่วยตั้งเตียงระหว่างต้นสาละทั้งคู่ หันด้านศรีษะไปทางทิศเหนือเราเหน็ดเหนื่อยจะนอนพักพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วตั้งเตียงระหว่างต้นสาละทั้งคู่ หันพระเศียรไปทางทิศเหนือครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาสยา  โดยพระปรัศว์เบื้องขวาทรงซ้อนพระบาทเลื่อมพระบาททรงมีสติสัมปชัญญะ"  

       เมื่อผู้เขียนศึกษาแหล่งข้อมูลในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ  ข้างต้นผู้เขียนตีความได้ว่า สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเรียกว่า"สาลวัน"       หรือเรียกว่า"สาลวโนทยาน" ตั้งอยู่ในพระนครกุสินารา แคว้นมัลละของมัลละกษัตรย์       แม้ว่าพระไตรปิฎกจะยืนยันข้อความว่าเป็นความจริงและยอมรับว่าสาลวโนทยานเป็นสถานปรินิพพานของศายมุนีพุทธเจ้าแต่ยังมีปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่า ยังมีหลักฐานทางวัตถุเช่นโบราณสถานซึ่งตั้งในสาลวโนทยานที่เหลืออยู่จนถึงปัจจุบันให้เราศึกษาหรือไม่    เนื่องจากตามแนวคิดทางญาณวิทยาเรื่องบ่อเกิดความรู้ที่แท้จริงนั้น ต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์ผู้ให้เหตุผลของคำตอบเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่เป็นความจริง   การรับรู้ความมีอยู่ของเมืองกุสินาราว่าเป็นสถานปรินิพพานของพระพุทธเจ้าต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น        การให้เหตุผลของคำตอบจึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง  แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะหาพยานวัตถุที่อยู่ในสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเพื่อวิเคราะห์เนื่องจาก ๒,๖๐๐ ปีผ่านไป  พยานทั้งหมดที่เกิดในยุคนั้นได้เสียชีวิตไปแล้วแม้จะมีเอกสารหลักฐานเบื้องต้นจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ แต่พยานวัตถุแสดงถึงที่ตั้งของสาลวโนทยานในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ไหน    เนื่องจากทุกสิ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ  ตั้งอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และดับไปไม่ได้คงอยู่ในสภาพเดิมเช่นสมัยพุทธกาล    เมื่อนึกถึงปัญหานี้ เราจำเป็นต้องหาหลักฐานได้แก่   พยานเอกสาร พยานวัตถุ  และพยานบุคคลที่เป็นสหวิชาชีพ     ความเห็นของนักโบราณคดีมาวิเคราะห์ข้อมูลหาเหตุผลของคำตอบในเรื่องสถานที่ปรินิพพานนี้

๒.พระเจ้าอโศกมหาราชและคณะผู้แสวงบุญชาวปัฏตาลีบุตร 

              หลังจากเสร็จสิ้นในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ที่พระนครปัฏตาลีบุตร ในการตรวจสอบพระธรรมวินัยในครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชทรงศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องการแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งว่า เมื่อพุทธสาวกได้เดินทางไปแสวงบุญที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔แห่งด้วยศรัทธาแล้วเมื่อถึงแก่ความตาย จะได้ไปจุติจิตในโลกสวรรค์ต่อไป  ดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ๓. มหาปรินิพพานสูตร  ข้อ ๒๐๒. พระอานนท์กราบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อก่อนภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาในทิศทั้งหลายมาเข้าเฝ้าพระตถาคตข้าพระองค์ทั้งหลายย่อมได้พบได้ใกล้ชิดภิกษุทั้งหลาย  ผู้เป็นที่เจริญใจก็  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จล่วงลับข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ได้พบไม่ได้ใกล้ชิด ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นที่เจริญใจอีกพระผู้มีพระภาคตรัสว่า"อานนท์สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้เป็นสถานที่ที่กุลบุตรควรไปดู สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งอะไรบ้างคือ 
 
           ๑. สังเวชนียสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดู ด้วยระลึกว่า "ตถาคตประสูติในที่นี้      
           ๒. สังเวชนียสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดู ด้วยระลึกว่า "ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมสัมโพธิญาณในที่นี้" 
      ๓.สังเวชนียสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดูด้วยระลึกว่า"ตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยมในที่นี้  
          ๔. สังเวชนียสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดูด้วยระลึกว่า        "ตถาคตได้เส็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้" อานนท์สังเวชนียสถานทั้ง ๔    แห่งนี้เป็นสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดู ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสถ อุบาสิกา ผู้มีศรัทธาจะมาดูด้วยศรัทธา  ด้วยระลึกว่า "ตถาคตประสูติในที่นี้....ว่า "ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมสัมโพธิญาณในที่นี้" ..ว่า  "ตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยมในที่นี้.......ว่า "ตถาคตได้เส็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้อานนท์ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งจาริกไปยังเจดีย์จักมีจิตเลื่อมใสตายไปชนเหล่านั้น ทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดสุคติโลกสวรรค์นอกจากนี้ยังมีมูลจากพระนางติษยรักษ์พระมเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสั่งให้ข้าราชบริพารได้ตัดต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๑      นั้น จนเหลือแต่ตอไปเป็นมูลเหตุให้พระองค์ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงตั้งระลึกถึงปัญหาของการทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์     และทรงนึกคิดต่อไปอีกว่าจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า และความทรงจำของมนุษย์ในสังเวชนียสถานทั้ง ๔  แห่งและพุทธสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนาจะสูญหายไปพร้อมกับความตายของมนุษย์      เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธเจ้า เป็นต้นทุนของชีวิตอยู่แล้วและได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้วเมื่อสวรรคต      พระองค์ทรงมีความปรารถนาสู่โลกสวรรค์และทรงตั้งปนิธานในการค้นหาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แล้วทรงค้นพบ ๓ แห่งยังคงเหลือเพียงสถานที่ปรินิพพานอีกเพียง ๑ แห่งเท่านั้น 
 
        ในปี พ.ศ.๓๑๐ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเสด็จไปแสวงบุญกับข้าราชบริพารและชาวพุทธในเมืองปัฏตาลีบุตร และเป็นคณะแรกที่เดินทางไปยังเมืองกุสินาราโดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เป็นผู้ชี้สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าที่ตั้งอยู่ใต้ต้นสาละ๒ ต้นและทรงแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์สุดท้ายเรื่องความไม่ประมาทของชีวิต ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชสดับรับฟังแล้วทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ปรินิพพานเป็นที่บรรจุพระบรมสาริกธาตุของพระพุทธเจ้าตรงบริเวณสถูปนี้เคยที่เป็นตั้งของต้นสาละ ๒ ต้นระหว่างต้นสาละเป็นสถานที่ตั้งเตียงหันศรีษะไปทางทิศเหนือพระพุทธองค์ทรงบรรทมพักผ่อนพระอิริยาบถ เพราะพระพุทธองค์ทรงประชวรหนักหลังจากเสวยภัตตาหารที่นายจุณฑะได้จัดถวาย และพระวรกายเหน็ดเหนื่อยมากจากการเดินทางอันเร่งรีบให้มาถึงสาลวโนทยานให้ทันก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่ปรินิพพาน   พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาสโดยพระปรัศว์เบื้องขวาทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาททรงมีสติสัมปชัญญะและสร้างเสาหินพระเจ้าอโศกไว้เป็นเครื่องระลึกถึงการเสด็จมาของพระพุทธองค์ 
            
๓.วัดนิรวาณา 

       ในสมัยพุทธกาลเมืองกุสินารา เป็นเมืองหลวงของแคว้นมัลละ    ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าสมัยโบราณระหว่างแคว้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นสักกะ แคว้นโกฬิยะ แคว้นมัลละ แคว้นกาสีไปสู่แคว้นมคธ เมื่อเป็นเส้นทางการค้าสายที่สำคัญของชมพูทวีป พ่อค้าเมืองพาราณสีแห่งแคว้นกาสี ก็ขนส่งผ้าไหมกาสีไปขายที่แคว้นสักกะให้ชนวรรณะกษัตริย์ได้ใช้สวมใส่ผ้าแพรภัณฑ์ชั้นเลิศที่สุดแห่งยุคนั้น เส้นทางการค้านี้จึงมีชนวรรณะแพศย์          เป็นพวกเศรษฐีและมหาเศรษฐีส่งกองคาราวานส่งสินค้าไปขายต่างแคว้น        ต้องใช้เส้นทางผ่านพระนครกสินาราไปมาหลายหมื่นเที่ยว   ในแต่ละวันเมื่อมีคนพำนักอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เพื่อทำธุรกิจย่อมนำมาซึ่งเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจทำให้เมืองนี้ มีรายได้จำนวนมหาศาล      จากการใช้จ่ายของนักเดินทางแสวงหาโชคกองคาราวานเกวียนขนส่งสินค้าและค่าธรรมของสินค้า เป็นต้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานในเมืองแห่งนี้   เพื่อมัลละกษัตริย์ได้แบ่งพระบรมสาริกธาตุไปยังเมืองทั้ง ๘  แห่งและทรงยกพุทธสถานทั้ง ๔  แห่ง ที่เรียกว่าสังเวชนียสถานทั้ง ๔        เป็นสถานที่ชาวพุทธทั่วโลกควรเดินทางไปแสวงบุญด้วยศรัทธาสักครั้งหนึ่งของชีวิต   เมื่อปฏิบัติบูชาในสังเวชนียสถานทั้ง  ๔ วิญญาณจะไปเกิดในโลกสวรรค์           ในสมัยปัจจุบันนั้น สาลวโนทยานกลายเป็นโบราณสถานวัดนิรวารณา  (Nirvana temple) ที่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาแต่อย่างใด    แต่กลายเป็นสถานที่ปฏิบัติบูชาของชาวพุทธทั่วโลก  ที่เดินทางมาเป็นจำนวนไม่น้อยหลายหมื่นคนต่อปี ความสำคัญของเมืองกุสินารานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา กล่าวคือ      
               ๑) เป็นที่ตั้งของสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าจัดเป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ 
               ๒) เคยเป็นเมืองที่พระโพธิสัตว์เคยเวียนว่ายตายหลายครั้ง
               ๓) เคยเป็นเมืองปรินิพพานของผุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า 
            ๔) เคยเป็นเมืองที่นามว่ากุสาวดี   เป็นเมืองหลวงของพระเจ้ามหาสุทัสสนะปรากฎหลักฐานในสุทัสสนะสูตร
               ๕)  เมืองแห่งนี้ค้นพบ  โดยพระเจ้าอโศกมหาราชและพระอุปครุตติสสะเถระ       และเป็นผู้แสวงบุญกลุ่มแรกที่เดินทางมาสู่เมืองกุสินารา  
        ๖) เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาพุทธสาวกในยุคหลัง เดินตามรอยบาทพระศาสดาไปสู่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปปฏิบัติบูชา ณ.เจดีย์ปรินิพพานสักครั้งหนึ่งในชีวิตของตนพระพุทธเจ้าหวังว่าเมื่อพุทธสาวกได้เดินทางไปด้วยศรัทธาและปฏิบัติบูชาแล้วจิตของตนจะได้น้อมออกไปรับอารมณ์เรื่องราวของการปฏิบัติบูชาผ่านอินทรีย์ ๖ เก็บสั่งสมไว้ในจิตของตนและเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตจิตของพุทธสาวกได้ไปจุติจิตในโลกแห่งสวรรค์. 

. ความหมายของปรินิพพาน   

       การสิ้นสุดชีวิตของคนทั่วไปเรียกว่า "ตาย" ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ได้ให้คำนิยามของคำ"ตาย " หมายถึงสิ้นชีวิต สิ้นใจ ไม่เป็นอยู่อีกต่อไป สิ้นสภาพการมีชีวิตเช่นสภาวะสมองตายเป็นต้นนอกจากนี้ยังหมายถึงเคลื่อนไหวไม่ได้ เช่นมือตาย ตีนตายนี้คือความตายของมนุษย์ ผู้ที่ยังไม่ได้พัฒนาศักยภาพทางจิต  เพื่อให้จิตใจของตนมีความบริสุทธิ์  ปราศจากความเศร้าหมองเพราะกิเลสนั้น ผ่านประสาทสัมผัสเข้ามาสู่จิตของตนทำให้เกิดความโกรธ ความโลภและความหลง เป็นต้น 

            ๔.๑ ส่วนคำว่า "นิพพาน"        ตามพจนานุกรมแปลไทย - ไทย ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่าคือความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์      ในแง่ของคำกิริยาดับกิเลสและกองทุกข์[1] ตามความหมายของพจนานุกรมแปล-ไทย ของ อ.เปลื้อง ณ นคร     ให้คำนิยามคำว่านิพพานว่า       เป็นคำนามพระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่าจิตของเรานี้ห่อหุ้มกิเลสอย่างหนาแน่นคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ฯลฯ  และได้ทรงค้นพบว่ามีวิธีการอย่างหนึ่งที่จะสำรอกกิเลสออกจากจิตได้คือมรรค๘ ถ้าใครปฏิบัติมรรค ๘.  

           ๔.๒ ส่วนคำว่า"ปรินิพพาน"     ตามความหมายของพจนานุกรมแปลไทยเป็นไทยฉบับราชบัณฑิตให้คำนิยามว่า "การดับรอบ การดับสนิทการดับไม่เหลือ เรียกอาการตายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ เป็นต้น [2]    จากคำนิยามศัพท์ดังกล่าวเราแยกการตายมนุษย์ได้ดังนี้ความตายของบุคคลเรียกว่า "ตาย"    เพราะเป็นการสิ้นชีวิตของบุคคลทั่วไป    ที่ยังไม่ได้พัฒนาศักยภาพทางชีวิตขึ้นสู่จิตของพระอริยบุคคลการตายของพระพุทธเจ้าเรียกว่า "ปรินิพพาน" เป็นต้น          เมื่อศึกษาข้อมูลจากพยานเอกสารจากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณ ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ นั้นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น ทรงค้นพบว่าความเป็นไปของชีวิตมนุษย์นั้น   จิตของมนุษย์ห่อหุ้มด้วยกิเลสอย่างหนาแน่นคือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง  พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีการปฏิบัติธรรมที่จะสำรอกกิเลสออกจากจิตจนหมดสิ้นได้  กล่าวคือการปฏิบัติตามวิธีการของมรรคมีองค์  ๘        เป็นหลักคำสอนที่ทรงค้นพบที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ส่วนคำว่า "ปรินิพพาน" แปลว่าการดับสนิท  การดับรอบการดับไม่เหลือเรียกอาการตายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์    คำว่าการดับสนิท     มีหมายความว่ากิเลสที่ห่อหุ้มจิตไว้อย่างหนาแน่นแล้ว ถูกสำรอกออกมาด้วยวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘จนหมดสิ้นไปไม่เหลือกิเลสห่อหุ้มจิตอีกต่อไปแต่อย่างไร     เป็นต้น  ในทัศนะของผู้เขียนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทำให้มนุษย์รู้ว่า   ตนเองมีความไม่รู้ครอบงำจิต          ทำให้ไม่รู้ว่าชีวิตของตนตายแล้วไปมีชีวิตหลัง  ความตายว่าชีวิตไม่ได้ตายแล้วสูญ   เพราะนอกจากมีร่างกายเป็นปัจจัยทำให้เกิดชีวิตมนุษย์แล้ว      แต่มนุษย์ยังมีจิตเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ    เมื่อร่างกายของมนุษย์หมดสภาพการใช้งานไม่อาจดำรงธาตุขันธ์ให้มีชีวิตยืนยาว    เพื่อประโยชน์ในการบำเพ็ญบารมีของจิตอีกต่อไปจิตก็จะออกจากร่างกายไปจุติจิตในภพภูมิต่อไป   ซึ่งมีหลายภพภูมิด้วยกันส่วนว่าใครจะไปอยู่ในภพภูมิไหนแล้ว  แต่กรรมของผู้นั้นเป็นกรรมที่ห่อหุ้มจิตตนเองไว้มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพจิตของตนเองได้โดยอาศัยร่างกายนี้     โดยเฉพาะศักยภาพของจิตให้บรรลุถึงความรู้ขั้นสูงสุดของชีวิตได้ที่เรียกว่า "อภิญญา๖" ได้ 
ภาพสถานที่ปรินิพพานปี ๒๐๐๒
 
๕. ที่มาของความรู้สำหรับผู้เขียน ตามทฤษฎีความรู้"ทฤษฎีประจักษ์นิยม" ว่าด้วยบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์เรื่องความมีอยู่จริงของสาลวโนทยานนั้น มีแนวคิดว่ามนุษย์ต้องรับรู้จากประสาทสัมผัสของมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นความจริงเมื่อศึกษาทฤษฎีดังกล่าวข้างต้นนั้น   ผู้เขียนตีความได้ว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์คือประสาทสัมผัสของมนุษย์ถ้ามนุษย์รับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้     โดยมิได้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์แล้วให้เหตุผลของคำตอบถือว่า         เป็นความรู้ที่เป็นเท็จได้เพราะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงได้  ธรรมชาติของมนุษย์นั้น   มีจิตเป็นผู้นึกคิดหาเหตุผลของคำตอบเองได้       ไม่จำเป็นต้องผ่านประสาทสัมผัสของตนเองได้แต่การคิดหาเหตุผลตามอำเภอใจของตนนั้น     อาจได้ข้อมูลที่เป็นเท็จเป็นปรักปร่ำผู้อื่นให้ได้ความเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงได้เป็นเหตุผลของคำตอบไม่น่ารับฟังได้  

      เมื่อปีพ.ศ.๒๐๐๒ ผู้เขียนยอมรับว่าอำเภอกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดียว่า    เป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของผู้เขียนเอง         เมื่อผู้เขียนได้เดินทางไปแสวงบุญเป็นครั้งแรก      และได้รับทราบถึงประวัติความเป็นมาของวัดแห่งนี้ ฟังจากคำบรรยายของนิสิตปริญญาเอกรุ่นพี่  ในมหาวิทยาลัยแห่งเมืองพาราณสี      เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยทำให้ผู้เขียนเกิดแรงบันดาลใจอยากศึกษาและค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องเมืองกุสินารา เดิมผู้เขียนมีความรู้เรื่องเมืองกุสินาราว่าเป็นเพียงเมืองเล็กๆ   ของพวกมัลละกษัตริย์ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าโบราณตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลพวกมัลละกษัตริย์ได้หมุนเวียนกันเปลี่ยนกันเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมัลละแห่งนี้  สืบเนื่องติดต่อกันมายาวนาน       ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลเรื่อยมาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้        แต่เมื่อ ๖๐ กว่าปีที่ผ่านมานี้แคว้นต่าง ๆ  ในชมพูทวีปได้รับเอกราชจากอังกฤษมหาราชาที่ปกครองในแคว้นต่าง ๆ ในอนุทวีปได้ร่วมประชุมตกลงกันยอมสละอำนาจอธิไตยในด้านนิติบัญญัติ     อำนาจบริหาร   และอำนาจตุลาการให้กับรัฐบาลกลางของประเทศ        จัดตั้งประเทศขึ้นมาใหม่เรียกประเทศตนเองว่า "สาธารณรัฐอินเดีย" เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปในการบัญญัติกฎหมาย    อำนาจตุลาการและอำนาจบริหารแคว้นมัลละกลายเป็นอำเภอเล็ก   ๆ   ใน  ๗๒ ของรัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดียต่อไป
 
๖.บทวิเคราะห์ความมีอยู่จริงของสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเมื่อศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ ฉบับมหาจุฬา ฯ  ฑีฆนิกายมหาวรรค มหาปรินิพพานสูตรในข้อ ๑๗๗ ว่า อานนท์เมื่อมารบอกเล่าอย่างนี้ว่า เราได้ตอบมารผู้มีบาปอย่างนี้ว่า มารผู้มีบาปท่านอย่างกังวลเลยอีกไม่นาน  ปรินิพพานของตถาคตจากนี้ไปอีก๓เดือนตถาคตจะปรินิพพานอานนท์เมื่อวันนี้เมื่อกี้นี้เองเรามีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์และในข้อ๑๙๐. กล่าวว่าหลังจากเสวยกระยาหารของนายจุนทกัมมารบุตร มาเถิดอานนท์เราจะไปเมืองกุสินารากัน" เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้จากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกยืนยันว่า พระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ส่วนพยานวัตถุในยุคต่อมา  พระเจ้าอโศกมหาราช  และคณะผู้แสวงบุญได้เดินทางมาแสวงบุญที่เมืองกุสินาราเป็นครั้งแรก และทรงสร้างวัดนิรวารณาไว้เป็นอนุสรณ์สถานขึ้นมาไว้ เป็นพยานวัตถุในพระพุทธศาสนาและมีการขุดค้น  และค้นนักโบราณคดีชาวอังกฤษมีการบันทึกความเห็นว่า ไว้อย่างชัดเจนปราศจากข้อสงสัยอีกต่อไป เมื่อไม่มีพยานเอกสารอื่นใดได้ทำความเห็นแย้งให้เกิดข้อพิรุธสงสัยให้เป็นอย่างอื่นอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าวัดนิรวารณาคือสาลวโนทยานอันเป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าจริง จากข้อความในพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ต่อไปอีกว่าพระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า พระองค์เสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินาราการตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์ทรงค้นพบว่าจิตของพระองค์เคยไปจุติจิตในภพภูมิต่าง ๆ มาแล้วไม่น้อยกว่า ๔ อสงไขย ๒ แสนกัปดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่๓๓  พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๒๕ สุเมธกถาสูตร ได้กล่าวว่าสี่อสงไขยหนึ่งแสนกัป....เราเป็นพราหมณ์นามว่าสุเมธะ...เกิดในกรุงอมรวดี. ากข้อความดังกล่าวยืนยันว่าชีวิตของพระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่อสงไขยหนึ่งแสนกัป และเมืองกุสินาราเป็นสถานที่สุดท้ายที่พระพุทธเจ้าทิ้งร่างกายไว้เป็นครั้งสุดท้ายหลังจากที่พระองค์เวียนว่ายตายเกิดมายาวนาน ไม่มีภพใหม่ของพระพุทธองค์จะปฏิสนธิวิญญาณ หรือกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งเป็นเวลา ๔๕ พรรษาที่พระองค์เสด็จไปเผยแผ่หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาสู่แคว้นต่างๆ เพื่อวางรากฐานคำสอนให้พุทธสาวกดำรงตนในพระธรรมวินัยของพระองค์ ให้อิสระจากความคิดทำให้ตนมีความทุกข์พระองค์ ทรงให้ความรู้เกี่ยวกับหลักพุทธธรรมคือมรรคมีองค์ ๘ เพื่อสร้างโอกาสคนมีความทุกข์ทรมาณ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เพราะอวิชชาครอบงำจิตใจของพวกเขาทำให้จิตใจของพวกเขาไม่สามารถรู้ได้ของวิถีชีวิตในสังสารวัฏ 


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ