Metaphysical Problems Concerning the Kesariya Stupa
โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง และสั่งสมเรื่องราวทางอารมณ์ในจิตใจตลอดเวลาเมื่อชีวิตมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ จึงไม่รู้จักแยกแยะว่าเรื่องราวใดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ? เพราะร่างกายของมนุษย์มีอายตนะภาย ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ นอกจากนี้ มนุษย์ยังมีคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความชอบส่วนตัว ความเกลียดชัง และความกลัว เป็นต้น เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์เช่นนี้ การได้ยินความคิดเห็นของพยานเพียงคนเดียว จะขาดความน่าถือ เพราะมนุษย์อาจกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงไม่สามารถยอมความคิดนั้น เป็นความจริงในเรื่องนั้นได้
๒.อภิปรัชญาสาขาหนึ่งของปรัชญา
นักปรัชญาที่สนใจศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความเป็นจริงของมนุษย์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ โลก และการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น เมื่อธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาพร้อมความไม่รู้ และความกลัวในจิตใจ จึงชอบอยู่ร่วมกันเป็นสังคมการเมือง เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและหาที่พึ่ง (สรณะ) ของตนเอง ในอดีดชาวสักกะมักแสวงหาความรู้จากผู้อาวุโสของประเทศ เช่น พระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่แห่งราชวงศ์ศากยะ มักสอนเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าซึ่งเป็นที่พึ่ง (สรณะ) ของผู้คนในยุคนั้น โดยใช้เหตุผล มาอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าเหล่านี้ เมื่อคนในสังคมได้ยินคำอธิบายเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน จนสั่งสมฝังลึกอยู่ในจิตใจ พวกเขาจึงเชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้าโดยให้เหตุผลว่า พราหมณ์ปุโรหิตในกาลก่อน เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน หากไม่มีเทพเจ้าอยู่จริงมนุษย์จะอ้างได้ อย่างไรว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์เองและวรรณะให้คนทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น ตามหลักปรัชญานั้น เมื่อผู้ใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น ถือว่าไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นจริงในเรื่องนั้น เพราะพยานในเหตุการณ์นั้นมีอคติต่อผู้อื่นและอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของเขา มีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านประสาท ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของพวกเขา ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาจึงไม่ถือว่าเป็นความจริงในเรื่องนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ในสมัยพราหมณ์รุ่งเรือง พวกพราหมณ์อารยันได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบวชที่ถูกต้องตามกฎหมาย คำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เมื่อเป็นกฎหมายแล้ว ย่อมมีสภาพบังคับใช้ โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามประชาชนแต่งงานข้ามวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ๆ แต่คนในยุคนั้นไม่สามารถระงับกิเลสของตนได้ พวกเขาจึงกระทำความผิดข้อหาฐานละเมิดคำสอนของศาสนาและกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง จึงถูกคนในสังคมสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงพอ เป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานและหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบตามข้อหล่าวหานั้น เมื่อพยานหลักฐานพิสูจนน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง ก็จะถูกคนในสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่เดิม ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อน บนท้องถนนแม้ในวับชรา เจ็บป่วยและนอนตายอยู่ข้างถนน
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นปัญหาเรื่องจัณฑาล พระองค์ทรงสงสัยประวัติความเป็นมาของจัณฑาล จึงทรงตัดสินพระทัยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ อย่างเพียงพอด้วยพระองค์เอง มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบ พวกปุโรหิตยืนยันข้อเท็จจริงต่อเจ้าชายสิทธัตถะว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์จริงและพราหมณ์รุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อพระองค์ตรัสถามประวัติความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวร ก็ไม่มีพราหมณ์คนใดตอบคำถามได้ เมื่อผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง และวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้แล้วหลักฐานไม่เพียงพอที่จะหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า พระองค์ทรงดำริปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ ทรงเสนอตรากฎหมายยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะการเสนอยกเลิกกฎหมายประกาศบังคับใช้แล้ว ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประพณีสูงสุดของประเทศ เป็นต้น
๓.ประเภทของความจริงตามหลักอภิปรัชญา
เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา เมื่อเราแยกแยะข้อเท็จจริงของเรื่องราวเหล่านั้น ก็มีทั้งข้อเท็จจริงที่สามารถรับรู้ได้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส เช่น ชีวิตมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสังคม เป็นต้น และข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะเป็นความรู้นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ เช่น การมีอยู่ของเทพเจ้าที่มนุษย์สามารถอธิบายได้จากการได้ฟังความคิดเห็นของนักปรัชญา เป็นต้น ตามหลักปรัชญาเราสามารถแบ่งปัญหาเกี่ยวกับความจริงของสรรพสิ่ง ตามการรับรู้ของอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของมนุษย์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.ความเป็นจริงสมมติ
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์เรียกว่า "สัจธรรม"
๓.๑ ความจริงที่สมมติขึ้น (Appearance)
โดยทั่วไปแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของมนุษย์นั้น ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว กำหนดเงื่อนไขเป็นระยะเวลาหนึ่ง และสลายไปในอากาศ แต่ก่อนที่สภาพนั้น จะหมดไปจากสายตายของมนุษย์ มนุษย์มีอวัยะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของตัวเอง สามารถรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองและมนุษย์ก็เก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานอยู่ในจิตใจเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เช่น ในสมัยอินเดียโบราณ นักปรัชญาพราหมณ์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมสร้างมนุษย์ และวรรณะให้กับมนุษย์ โดยอ้างพยานหลักฐานเป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ มายืนยันคำให้การของข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่า พราหมณ์ในรุ่นก่อน ๆ จะเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวรแล้วก็ไม่มีใครตอบพระองค์ได้คำให้การของปุโรหิตขาดความน่าเชื่อ เพราะไม่มีความรู้จากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของพวกเขา จึงไม่สามารถอธิบายความจริงในเรื่องนี้ได้ หรือการมีอยู่ของมนุษย์นั้นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ด้วยกันสามารถรับรู้ได้ จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมเป็นอารมณ์อยู่ในจิตใจของตนเอง แต่มนุษย์เป็นสิ่งไม่เที่ยงเกิดขึ้นจากครรภ์มารดา ดำรงชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนเสื่อมสลายไปด้วยความตาย ดังนั้นมนุษย์เป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
๓.๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ โดยทั่วไปแล้ว ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นความจริงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป เรียกอีกอย่างว่า "ความจริงขั้นสูงสุด" ต้นกำเนิดของความรู้เกี่ยวกับความจริงขั้นปรมัตถ์นั้น เกิดขึ้นเมื่อมหาราชาแห่งแคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะ ทรงเชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ โดยพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์ และสร้างวรรณะสำหรับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาสามารถเข้าถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทวดา ผ่านการบูชาของพราหมณ์เท่านั้น แต่ผลประโยชน์จากเครื่องบูชานั้น สร้างรายได้มหาศาลให้กับพราหมณ์นิกายอารยัน และนิกายมิลักขะด้วยความละโมบของพราหมณ์อารยันและความมั่นทางการเมืองของพวกอารยัน เมื่อพราหมณ์อารยันได้การแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต บัญญัติคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมาย มีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างร้ายแรง แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่พระองค์ทรงไม่สามารถประกอบพิธีบูชายัญ เพื่อขอพระองค์ทรงช่วยยกเลิกวรรณะ ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้นได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ที่มีข้อกำหนดห้ามวรรณะอื่นมิใช่พราหมณ์ประกอบพิธีกรรมบูชายัญได้ เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้น่าสงสัย ทำให้พระองค์ทรงไม่เชื่อข้อเท็จจริงในเรื่อง การมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เป็นต้น มนุษย์สามารถบรรลุความจริงได้ โดยการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ภาวะนิพพานของมนุษย์เป็นความอยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ นั้น
![]() |
ภาพโดยก้าวตามธรรม(Follow dharmma) |
โดยทั่วไป ชีวิตมนุษย์ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า "เบญจขันธ์" แม้ว่าจิตใจของมนุษย์จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และสั่งสมเรื่องราวเหล่านั้นไว้ในจิตใจของตนเอง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานทางอารมณ์นั้น ๆ เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องการมีอยู่ของสิ่งนั้น แม้ว่าผู้เขียนจะรับรู้ถึงความมีอยู่ของสถูปเกสเรียแห่งนี้ผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมมาในจิตใจของตัวเองเป็นเวลาหลายปี เพราะตั้งแต่ปี ๒๐๐๒-๒๐๑๑ ผู้เขียนอาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี รัฐอุตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดียเป็นเวลาหลายปีในฐานะนักศึกษาต่างชาติ จึงมีโอกาสเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองเวสารี รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย และไปเยี่ยมชมสถูปแห่งนี้หลายครั้ง เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางการแสวงบุญ เป็นเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ ฐานก่อด้วยอิฐิโบราณ ที่ทำจากดินเหนียวในแม่น้ำคงคา วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ยอดเจดีย์มีลักษณะคล้ายทางชามคว่ำที่พบได้ทั่วไปในอินเดีย ระหว่างชั้นต่าง ๆ ของเจดีย์ จะแบ่งออกเป็นช่อง ๆ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีซากปรักหักพังของพระพุทธรูปอยู่หลายแห่ง แสดงให้เห็นว่าสถูปแห่งนี้สร้างขึ้น เพื่อเป็นสถานสักการะบูชาตามศรัทธาของชาวพุทธในยุคนั้น จึงได้จัดสร้างสถูปขึ้นเป็นอนุสรณ์ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตัดสินพระทัยละทิ้งวรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศากยะไปตลอดชีวิต เสด็จออกผนวชเพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต ส่งผลให้พระองค์ทรงเสียสิทธิและหน้าที่ในการปกครองแคว้นสักกะตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติ ทรงละทิ้งปราสาททั้งสามหลัง ที่ประทับอยู่อย่างเป็นสุขและสบายในชีวิต ทรงละทิ้งข้าราชบริพารที่เคยรับใช้พระองค์อย่างน้อย ๔๐,๐๐๐ คนและทรงละทิ้งเจ้าหญิงพิมพาและเจ้าชายราหุล พระราชโอรสของพระองค์ และสมาชิกแห่งพระราชวงศ์ศากยะเพื่อพระราชดำเนินไปแสวงหาบุญเพื่อแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิต เมื่อพระองค์ทรงไม่สามารถปฏิรูปประเทศได้ผ่านสถาบันการเมืองของประเทศได้ และพระองค์ทรงเห็นว่าคำสอนทางศาสนาพราหมณ์ กฎหมายวรรณะจารีตประเพณี และกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปสังคมแต่เมื่อพระองค์ทรงสงสัยในความมีอยู่จริงของพระพรหม แม้ว่าพราหมณ์ปุโรหิตจะเป็นพยานบุคคลที่เชื่อถือได้ เพราะเป็นผู้ประกอบพิธีบูชายัญและติดต่อกับเทพเจ้าเป็นประจำและสามารถหาเหตุผลมาอธิบายการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ โดยยืนยันข้อได้ว่า พราหมณ์รุ่นก่อน ๆ จะเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะก็ตาม เป็นต้น
ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่า"เราจะรู้ได้อย่างไรเป็นสถูปเกสเรีย แม้ว่าผู้เขียน จะได้รับรู้การมีอยู่ของสถูปเกสรียาโดยตรงผ่านประสาทสัมผัส และเป็นมโนภาพสั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง แต่มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าความเป็นมาของสถูปแห่งนี้คือสถูปเกสเรีย ผู้เขียนก็จะสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องนี้ต่อไป เมื่อผู้เขียนค้นคว้าพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ฟังข้อเท็จจริงได้ว่าพระพุทธองค์พร้อมพระอริยสาวก ได้เสด็จพระดำเนินจากเมืองเวสารีไปที่เมืองกุสินารา โดยมีชาวเมืองเวสารีส่งเสด็จเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อถึงเขตชายแดนทรงตรัสแก่ชาวเวสารีให้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนให้ตามส่งเสด็จเพียงแค่เขตแดนนี้ ชาวเวสาลีจำนวนมากก็พากันร้องไห้ด้วยความเสียใจ ด้วยจิตของพวกเขาอาลัยในคุณของพระพุทธองค์จึงไม่อยากกลับไป เพราะพวกเขาตั้งใจจะส่งเสด็จถึงสาลวโนทยานของมัลละกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราให้ได้เมื่อพระพุทธองค์ได้ยินข้อเท็จจริงถึงความตั้งใจของพวกเขา และทรงเห็นว่าชาวเวสาลีศรัทธาในพระองค์มาก ทรงตัดสินพระทัยมอบบาตรไว้เป็นที่ระลึกให้กับชาวเวสารี เมื่อเห็นบาตรของพระพุทธองค์ครั้งใด ชาวลิจฉวีเมืองเวสารีจะได้ตั้งพุทธานุสสติเพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเสมอ เพื่อจะได้นำธรรมะของพระพุทธองค์ไปใช้ประพฤติวัตร และปฏิบัติธรรมให้เกิดความสงบสุขในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ
๔.๑ การเผยแผ่ศาสนาในแคว้นโกศล (Kosala country)นอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นโกศลแล้ว ผู้นำศาสนาอื่น ๆ ก็ได้เผยแผ่คำสอนของศาสนาของตนว่า แก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ มาจากพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์ในแคว้นโกศลเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เรื่องนี้เห็นได้จากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎกเล่มที่๑๒ อังคุตตรนิกาย เอกก-ทุก-ติกนิบาต หน้าที ๒๓๐-๒๗๕ ข้อ ๖๖. กล่าวว่า สูตรที่ ๕ เกสปุตติสูตร ว่าสมัยพระผู้มีพระภาคได้เสด็จไปแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงตำบลพวกกาลามะชื่อว่า "เกสปุตตนิคม" เมื่อผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ที่กล่าวข้างต้นนั้นข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังแคว้นโกศล พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาถึงตำบล "เกสปุตตนิคม"ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของพวกกาลามะ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องเกสปุตติสูตร หรือที่เรียกกันว่ากาลามสูตร เมื่อไม่มีข้อความจากพระสูตรอื่นใดหยิบยกขึ้นมาโต้แย้ง หักล้างข้อเท็จจริงในกาลามสูตรของพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ อีกต่อไป ไม่ก่อให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับความจริงอีกต่อไป ผู้เขียนมีความเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องกาลามสูตรในแคว้นโกศล มิใช่ที่สถูปเกสริยาซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนแห่งแคว้นวัชชีแต่ประการใด
๔.๒ มีประเด็นที่น่าสงสัยว่า สถูปเกสริยาอยู่ในแคว้นโกศลหรือไม่ มีเหตุผลมากน้อยเพียงใดที่อธิบายเรื่องนี้ ? เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในแผนที่โบราณหลายฉบับ ที่แชร์บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตและข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า อาณาเขตแคว้นโกศลด้านตะวันออกติดกับเขตแดนแคว้นมัลละ ด้านตะวันออกของเขตแดนแคว้นมัลละติดกับแคว้นวัชชี แสดงว่าทั้งสองแคว้นไม่มีอาณาเขตติดต่อกันแต่อย่างใด เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้เช่นนี้ และไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะนำข้อเท็จจริงขึ้นมา หักล้างข้อเท็จจริงในแผนที่โบราณ ให้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า อาณาเขตของแคว้นโกศลนั้น ไม่มีส่วนใดของอาณาเขตเชื่อมต่อกับแคว้นวัชชีเพราะมีแคว้นมัลละอยู่ตรงกลางของแคว้นทั้งสอง และสถูปเกสเรียนั้นตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของแคว้นมัลละ จึงไม่ได้อยู่แคว้นโกศลดั่งที่คนทั่วไปเข้าใจกัน เมื่อเราศึกษาค้นคว้าข้อมูลผ่านGoogle Maps ต่อไป สถูปเกสริยาห่างจากเมืองกุสินารา ๑๒๖ กิโลเมตรและห่างจากเมืองสาวัตถีของแคว้นโกศล ๓๖๒ กิโลเมตร เมื่อพระนครสาวัตถีแคว้นโกศล ไม่มีอาณาเขตทางทิศใด ๆ มีเนื้อที่ติดต่อกับชายแดนของแคว้นวัชชีแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าสถูปเกสริยามิใช่สถานที่แสดงกาลามสูตรแต่อย่างใด ดั่งนักวิชาการท่านได้วิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบไว้แต่อย่างใด เพราะมิได้ตั้งอยู่ในแคว้นโกศลแต่อย่างใด
๕.การปฏิบัติบูชาที่สถูปเกสรียา
เมื่อผู้เขียนมาถึงสถูปเกสริยาเป็นสถานที่บรรจุบาตรของพระพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานแก่ชาวเมืองเวสาลี ที่เดินทางไปส่งพระองค์ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคัณดัค และทรงรับสั่งให้ชาวเมืองเวสาลีกลับบ้านเกิด แต่ชาวเมืองเวสารีต้องการเดินทางไปส่งพระองค์ถึงสาลวโนทยานของกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละ ก่อนพระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำคัณดัก (Gandak River) พระพุทธเจ้าทรงได้พระราชทานบาตรเป็นเครื่องระลึกถึงคุณของพระองค์ ซึ่งทรงเป็นตัวอย่างการพัฒนาศักยภาพชีวิต จนบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ เพื่อ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในชีวิตว่าจิตวิญญาณคือ แก่นแท้ของชีวิตทุกคน เมื่อความตายมาเยือน ร่างกายจะกลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง แต่จิตวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ แต่จิตวิญญาณจะไปเกิดใหม่ที่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมที่แสดงเจตนาออกมา เมื่อได้ประสบกับอารมณ์แห่งตัณหา ก็เกิดความอยากเป็นในสิ่งที่ที่มนุษย์สมมติขึ้นในตำแหน่งของหน้าที่การงานต่าง ๆ เพื่อรับมอบหมายหน้าที่เพราะความไว้ใจ มีศักยภาพแห่งความรู้และความสามารถความเชี่ยวชาญ และความเป็นมืออาชีพในการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต จนประสบผลสำเร็จ มิใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยเจตนาทุจริต เมื่อลงมือกระทำมีเจตนาเป็นกุศลกรรมบ้าง หรืออกุศลกรรมบ้างย่อมรับผลของกรรมของเจตนาที่สั่งสมอยู่ในจิตของตนเอง เมื่อเรารู้ว่าอารมณ์มัวเมาแห่งกิเลสนั้น สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณดวงนี้เรามายาวนานที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติมนุษย์ที่ทุกชีวิตไม่มีใครอาจหลีกเลี่ยงได้ มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการปฏิบัติตามวิธีการของมรรคมีองค์ ๘ เมื่อนำมาตีความย่อให้เหลือเพียงหลักคำสอนเรียกว่า "ไตรสิกขา" ได้แก่หลักศีล สมาธิ และปัญญานั่นเอง การปฏิบัติบูชา ณ สถานที่แห่งนี้ ผู้เขียนสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกคุณของพระองค์ ที่ยอมสละวรรณะกษัตริย์ออกบวช เพื่อหาทางหลุดพ้นจากความมืดบอดของชีวิตที่ฝังรากลึกมายาวนานนั้นว่า พระพรหมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์และสร้างวรรณะไว้ให้แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้นเข้าถึงการงานตามวรรณะที่ตนเกิดมานั้น การตรัสรู้ของพระองค์ทำให้มนุษย์ตรัสรู้ว่า แก่นแท้ชีวิตมนุษย์นั้น มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริงที่เวียนว่ายเกิดในสังสารวัฏ หาใช่เทพเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดสร้างชีวิตขึ้นมาไม่ทุกชีวิตเป็นไปตามกรรมของตัวเองเท่านั้น หาใช่ใครลิขิตโชคชะตาตนเองแต่เป็นเพราะตัณหาที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตตนต่างหาก เป็นผู้ลิขิตชีวิตให้ตนเป็นไปตามใจปรารถนาของตนทั้งสิ้น ผลกรรมออกมาดีหรือชั่วขึ้นกับเจตนาที่อยู่ในใจตนเอง เมื่อระลึกได้ใช่นี้ มนุษย์ควรฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวันเพื่อให้อินทรีย์ตนแก่กล้าขึ้นมีความมั่นคงไม่หวั่นไหวต่อปัญหาการเงิน การงาน โลกธรรม ๘ ของสังคม การดูหมิ่น เกลียดชังซึ่งกันและกัน ที่ผ่านเข้ามาสู่ชีวิตได้อย่างเป็นผู้มีสติ ระลึกได้ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นอีกแล้วมองเห็นวิธีแก้ปัญหาให้หลุดพ้นอย่างไร ทำให้รู้จักปล่อยวางจากการยึดติดในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แก้ไขอะไรมิได้แล้ว เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น