Epistemological problem of The Kesariya Stupa in Tripitaka
![]() |
ภาพโดยก้าวตามธรรมFollow the Dharma |
บทนำ
โดยทั่วไปแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกคงเคยได้ยินข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสถูปเกสเรียมาแล้วว่าเป็นสถานที่แสดงกาลามสูตร หรือนักปราขญ์ชาวพุทธศาสนาบางคนกล่าวว่า สถูปเกสเรียเป็นสถานที่ซึ่งนักปรัชญาถูกสร้างขึ้น เมื่อชาวพุทธส่วนใหญ่ทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พวกเขาเชื่อโดยปริยายว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่สืบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ เป็นข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผล แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่สืบทอดกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนกลายเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี เป็นต้น แต่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าอย่าเพ่งเชื่อข้อเท็จจริงทันที เราควรสงสัยก่อนนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานเพียงพอ มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นดังนั้นเมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่าสถูปเกสเรียว่า เป็นสถานที่แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องกาลามสูตรแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เชื่อทันที ผู้เขียนสงสัยในตอนแรก แต่ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสถูปเกสเรียต่อไป ผู้เขียนก็จะสืบสวนข้อเท็จจริงประวัติความเป็นมาของสถูปแห่งนี้และรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอเสียก่อน เพื่อให้ข้อมูลวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของเรื่องนั้น
๑.ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา สนใจศึกษาปัญหาการกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความริงของพระพุทธเจ้าและความสมเหตุสมผลของความรู้ ญาณวิทยาจึงมีหน้าที่ตอบคำถามที่ว่า "เราจะได้อย่างไรว่าเป็นความจริง" เมื่อเราศึกษาหลักอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ จากพยานเอกสารเช่น ตำราปรัชญาเบื้องต้น พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ อรรถกถา ตำราพระพุทธศาสนาแล้ว เราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์แล้ว ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา ดังนั้น ญาณวิทยาก็เป็นความรู้ของมนุษย์ด้วย
๑.๑ เมื่อญาณวิทยาสนใจที่จะศึกษาปัญหาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ ผู้เขียนสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นจริง ? เป็นธรรมชาติของมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจรวมตัวกันในครรภ์มารดาเป็นเวลา ๙ เดือนแล้วจึงคลอดออกมาเป็นมนุษย์คนใหม่ ในระหว่างมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์นั้น จิตใจอาศัยร่างกายของมนุษย์รับรู้เรื่องราว ทั้งเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ๆ ที่เข้ามาในชีวิตและสั่งสมเป็นหลักฐานต่าง ๆ ในจิตใจของตนเอง มนุษย์จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร ? เมื่อธรรมชาติของจิตใจมนุษย์นอกจากรับรู้และสั่งสมหลักฐานทางอารมณ์แล้ว ยังมีหน้าที่วิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ในใจของตนเอง โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงในเรื่องนั้นหรือพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น เป็นต้น เมื่อมนุษย์รับรู้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งดีและร้ายที่ผ่านประสาทสัมผัสของตนเองเข้าในชีวิตแล้ว ดังนั้น ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์คืออวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของมนุษย์นั้นเอง
๑.๒ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์มีอวัยะอินทรีย์ทั้ง ๖ อวัยวะในร่างกายของตนเอง มีสามารถจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หรือแรงจูงใจในการกระทำความผิด เป็นต้น นอกจากนี้จิตใจของมนุษย์ยังมีแนวโน้มที่จะมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตอยู่ในมืดมิด จึงไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาได้ ทำให้เกิดตัดสินใจที่ผิดพลาดทำให้เกิดการละเมิดต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมไปทั่วโลกได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใดสืบทอดกันมายาวนาน สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี ตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนา เป็นต้น เมื่อความรู้คือสิ่งที่สั่งสมในจิตใจของตนเอง มาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ เป็นต้น ดังนั้น องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ เกิดขึ้นเมื่อ (๑) มนุษย์ (๒) ได้รับรู้ (๓) สิ่งสั่งสมอยู่ในจิตใจจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติการและทักษะ เป็นต้น
๑.๓ วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า โดยทั่วไปแล้ว จิตใจของมนุษย์จะรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าในชีวิต แต่มนุษย์ไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวเหล่านี้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ เรื่องไหนเป็นกุศลหรืออุศล เพราะมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายของตน มีความสามารถจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้นและมักจะมีอคติต่อผู้อื่น อาจทำในสิ่งไม่ควรทำ ดังนั้นทำให้คำให้การของมนุษย์ขาดความน่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้ เว้นแต่ผู้นั้นจะได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์เป็นนี้ พระพุทธเจ้าทรงสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความจริงขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของพยานบุคคลที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้ โดยพระพุทธเจ้าทรงกำหนดวิธีพิจารณาความจริงว่า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ที่สืบทอดกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนกลายเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าอย่าเพ่งเชื่อข้อเท็จจริงทันที เราควรสงสัยก่อนจนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานเพียงพอ มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นดังนั้น
๒.ข้อเท็จจริง เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในปี ค.ศ. ๒๐๐๒-๒๐๑๑ ผู้เขียนไปจาริกแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งทุกปี เป็นเวลาเกือบ ๙ ปี กองโบราณคดีแห่งรัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย ได้ดำเนินการวิจัยและบูรณะโบราณสถานทางพระพุทธศาสนา ที่ถูกทิ้งร้างให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรัฐบาลของรัฐพิหารเริ่มเปิดโบราณสถานทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ๆ อีกหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในรัฐพิหาร เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกเดินตามรอยของพระพุทธองค์ ที่พระองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดียโดยอนุญาตให้ผู้แสวงบุญใช้พุทธสถานโบราณในแต่ละที่ เป็นสถานที่ปฏิบัติบูชาเพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตของชาวพุทธทั่วโลกในการนั่งสมาธิ เพื่อฝึกจิตใจเข้มแข็ง รักษาจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากอคติต่อผู้อื่นไม่มีความเศร้าหมองที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของพวกเขา มีจิตใจที่อ่อนโยนเหมาะสมกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมมีความมั่นคงต่ออุดมการณ์ของชีวิตตามหลักคำสอนของพระพุทธธองค์ และไม่หวั่นไหวต่อการปฏิบัติหน้าที่ต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ สามารถแก้ไขปัญหาที่ผ่านเข้ามาต่อตนเองและผู้อื่นด้วยสติและปัญญาของตนเอง
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ และทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อคนทั่วโลกมีความรู้ความเข้าใจในชีวิตของตนเองอย่างชัดเจนแล้ว ก็จะเรื่องง่ายต่อการปฏิรูปคนในสังคม เพื่อให้ยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีในแคว้นมคธ แคว้นสักกะและแคว้นโกศล เป็นต้น เมื่อประชาชนได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุความจริงของชีวิต ตัดสินใจสละวรรณะแม้จะเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิม และหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
ในปี ๒๐๐๕-๒๐๑๐ ผู้เขียนเดินทางแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง ผู้เขียนได้ตระหนักรู้ถึงการมีอยู่จริงของสถูปเกสเรียด้วยประสาทสัมผัสของตนเอง และได้นำคณะผู้แสวงบุญเยี่ยมชมสถูปเกสเรียแห่งนี้หลายครั้ง เพื่อไปแสวงบุญที่อำเภอเวสาลี รัฐพิหารของสาธารณรัฐอินเดีย แม้สถูปเกสรียาจะเหลือซากปรักหักพังของพุทธสถานโบราณ แต่ยังทรงคุณค่าของความรู้ที่แท้จริงที่ฝังรากลึกลงสู่จิตใจของผู้คนในแต่ละปี จึงมีผู้มาปฏิบัติบูชาที่สถูปเกสรียาจำนวนไม่น้อยเพื่อระลึกคุณของพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่สวดมนต์และภาวนาเพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตของชาวพุทธในการนั่งสมาธิ เพื่อฝึกจิตใจเข้มแข็ง รักษาจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากอคติต่อผู้อื่นไม่มีความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของพวกเขามีจิตใจที่อ่อนโยนเหมาะกับทำงาน มีความมั่นคงต่ออุดมการณ์ของชีวิต และไม่หวั่นไหวต่อภาระหน้าที่ต้องรับผิดต่อตนเองและผู้อื่นด้วยสติและปัญญาของตนเอง มีประเด็นต้องวิเคราะห์ดังต่อไปน้
๒.๑. ความเป็นมาของสถูปเกสเรีย เมื่อผู้เขียนรับรู้การมีอยู่จริงของสถูปเกสเรียผ่านประสาทสัมผัสของผู้เขียน และเป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตว่าตั้งอยู่ในเขตเมืองไวสารี แห่งรัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย ฐานเจดีย์แห่งนี้ มีลักษณะเหมือนเจดีย์ที่สร้างขึ้นทั่วไปในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อข้อเท็จจริงเป็นข้อยุติว่า ในสมัยพุทธกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จสู่ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้เสด็จมาจำพรรษาสุดท้ายที่ตำบลเวฬุคา เมืองเวสาลีแห่งแคว้นวัชชี ในระหว่างพรรษาทรงอาพาธอย่างรุนแรงแทบจะปรินิพพาน ทรงตั้งสติพิจารณาว่ายังมิได้ร่ำลาญาติโยมผู้อุปฐากทั้งหลาย ทรงตัดสินพระทัยปลงพระชนมายุสังขารว่าอีก ๓ เดือนข้าง จะปรินิพพานที่เมืองกุสินาราต่อมาเจ้าลิจฉวีกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนี้ ได้รับส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุจากเมืองกุสินาราแล้ว มาบรรจุไว้ในปาวาลเจดีย์ที่เมืองเวสารีแห่งนี้
๒.๒.พระไตรปิฎก และอรรถกถา การศึกษาพระพุทธศาสนา พยานหลักฐานชิ้นแรกที่เราควรศึกษา คือพระไตรปิฎกและอรรถกถาออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เมื่อกรอกข้อความคำว่า "เกสเรีย" และ"เกสริยา" ในเวปไซต์ไม่ปรากฏเนื้อหาของสถูปเกสเรีย หรือเกสริยาในพระไตรปิฎกออนไลน์แต่อย่างใด ยิ่งเพิ่มความสงสัยใคร่ศึกษาหาความรู้จากพยานหลักฐานชิ้นอื่นอีกต่อไป เป็นเรื่องท้าทายความสนใจของผู้เขียนต้องค้นหาต่อไป
๒.๓. จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรของพระภิกษุฟาเหียน เป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่แสดงความเป็นมาของสถูปเกสเรียอย่างละเอียด ได้บันทึกไว้เป็นจดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรเป็นหลักฐานว่า "ไปจากสถานที่นี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง ๑๒ โยชน์ถึงสถานที่ชาวลิจฉวี จะติดตามพระพุทธองค์ไปให้ถึงสถานที่ที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพวกเขานั้นไม่เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแยกพวกเขาที่ไม่สมัครใจเหล่านั้นให้พ้นไป จึงทรงบันดาลให้ปรากฎเป็นคลองทั้งใหญ่และลึกขึ้นขวางหน้าซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถข้ามได้แล้ว พระองค์ได้ประทานบาตรของพระองค์ให้แก่พวกเขาเหล่านั้น เพื่อเป็นความหมายแห่งความเคารพนับถือของตนแล้ว และรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นกลับคืนไปสู่ครอบครัวของเขาทั้งหลาย ณ ที่นี้ มีเสาหินสร้างไว้ต้นหนึ่งได้แกะสลักตัวอักษรบอกเรื่องราวไว้ที่เสานั้น [1]
เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬา ฯ และจดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรแล้ว เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องสถูปเกสเรียว่า แม้พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ จะไม่มีกล่าวถึงสถูปเกสรียาก็ตาม แต่เราได้ยินข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงตัดสินปลงอายุสังขารว่า จะปรินิพพานที่เมืองกุสินาราในครั้งนั้น ชาวลิจฉวีทราบข่าวจึงพากันตั้งใจติดตามพระพุทธเจ้าเพื่อส่งเสด็จถึงสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ หลังจากติดตามพระองค์มาหลายวันจนถึงแม่น้ำคัณฑัก (Gandak) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนแคว้นวัชชีกับแคว้นมัลละ พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้พวกเขากลับคืนไปยังเมืองเวสา เมืองหลวงของแคว้นวัชชี อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา แต่พวกเหล่านั้นไม่ยอมเชื่อฟังและพยายามติดตามพระพุทธเจ้าต่อไปให้ถึงเมืองกุสินารา แต่เมื่อพระองค์ทรงเห็นเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงตัดสินพระทัยแยกชาวลิจฉวีที่ไม่สมัครใจกลับไปให้พ้นด้วยการทรงบันดาลให้เกิดแม่น้ำขนาดใหญ่ (Gandak River) กั้นไว้ทำให้พวกชาวลิจฉวีข้ามแม่น้ำนี้ไม่ได้ พระองค์ทรงประทานบาตรของพระองค์แก่พวกเขาเหล่านั้น เพื่อเป็นเครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาของพวกเขาต่อพระพุทธเจ้า และทรงรับสั่งให้เขากลับไปสู่ครอบครัวของพวกเขา ณ สถานที่แห่งนี้ พระภิกษุฟาเหียนค้นพบว่า มีเสาหินสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ได้แกะสลักตัวอักษรเรื่องราวไว้ที่เสานั้นเสาหินนี้ ผู้เขียนสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นสถูปเกสรียา ส่วนอักษรที่สลักไว้น่าจะเป็นอักษรพราหมี เช่นเดียวกับสถูปที่สลักไว้ในเสาหินที่เมืองกุสินารา และป่าอิสิปตนผู้เขียนจึงอนุมานความรู้ได้ว่า เป็นเสาหินรุ่นเดียวกันที่สร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แต่เนื้อหาของจดหมายเหตุบันทึกดังกล่าว ก็ไม่ได้กล่าวถึงกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงพระธรรมไว้แต่อย่างใด

๓.การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง เมื่อผู้เขียนพิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเช่นพยานวัตถุ พยานเอกสาร แผนที่โลกกูเกิลและบทความทางวิชาการอื่น ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วเห็นว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงกาลามสูตรในแคว้นโกศล ส่วนอรรกถาและจดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรนั้นไม่ได้กล่าวถึงแต่ประการใดว่า สถูปเสเรียแห่งเป็นสถานที่แสดงกาลามสูตรนี้ ข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาว่าสถูปแห่งนี้เป็นสถานที่กาลามสูตร จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะยืนยันข้อเท็จจริง ที่จะทำให้เชื่อว่าสถูปเกสเรียนั้นเป็นสถานที่แสดงกาลามสูตรแต่ประการใด. สถูปเกสเรียแห่งนี้จึงเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงประทานบาตรไว้แก่ชาวแคว้นวัชชี ต่อมาชาววัชชีจึงพากันสร้างได้สถูปแห่งนี้เป็นที่บรรจุบาตรของพระพุทธเจ้าไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าต่อไป เป็นต้น
บรรณานุกรม
1.พระยาสุรินทรฤาชัย. จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรของพระภิกษุฟาเหียน มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพ ฯ : หน้าที่ ๑๒๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น