The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล


Buddhaphumi's philosophy:  An analysis of the existence of  a person 


บทวิเคราะห์ความมีอยู่ของปัจเจกบุคคล
  
      โลกเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริย"มันอยู่ในหลุมดำมาหลายล้านปีแสง ผู้คน ๗ พันล้าน
คนอาศัยอยู่บนโลก ผู้เขียนเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลก และอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งก็ตายมนุษย์คิดหาเหตุผลที่จะพิสูจน์ความจริงจากหลักฐานที่อยู่รอบตัวเอง เมื่อวิเคราะห์หลักฐาน ข้อเท็จจริงของคำตอบนั้น ไม่ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรทำให้เกิดสงสัยเกี่ยวกับปัญหานั้น  แต่นักปรัชญาชอบจะศึกษาเรื่องนี้ต่อไป  ก็จะสืบหาความจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นตัวอย่างเช่น ในสมัยอินเดียโบราณ ชาวอนุทวีปอินเดียมีความรู้ที่เป็นความเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อได้คำตอบในสิ่งนั้นแล้ว ก็คิดหาคำตอบในสิ่งที่สงสัยในเรื่องต่อไป ความสงสัยของมนุษย์มักสงสัยว่าตัวเองเป็นปัญหาเป็นใคร? มาจากไหน? แก่นแท้ของผู้เขียนคืออะไร? ตามแนวคิดอภิปรัชญาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในปรัชญานั้นสนใจศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง,และ  มนุษย์และเทพเจ้า เป็นต้น เป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลมาวิเคราะห์ เป็นเรื่องเกินขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษยธรรมดาจะรับรู้ได้เอง เว้นแต่มนุษย์ผู้นั้นจะพัฒนาศักยภาพของชีวิตตนเองให้อยู่ในระดับพระอริยบุคคลให้มีความในระดับอภิญญา๖ เสียก่อน ก็จะเข้าใจชีวิตเป็นอย่างไร ก็สนใจศึกษาหาคำตอบเช่นกัน และยอมรับว่าแก่นแท้ชีวิตมนุษย์แต่ละคือ รูป จิต เจตสิก และนิพพาน เป็นต้น แต่ความจริงของสิ่งเหล่านี้เมื่อย่อส่วนประกอบของชีวิตให้เหลือแค่ ๒ ส่วนคือร่างกายและจิตให้ง่ายต่อการอธิบายให้เข้าใจง่ายต่อการศึกษายุคใหม่ที่ศึกษาตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ๒ ส่วนรวมกันคือร่างกายและจิตนั่นเอง มนุษย์ใช้จิตอาศัยร่างกายส่วนที่เรียกว่า "อินทรีย์ ๖ " วิธีการแสวงหาความรู้ตามแนวคิดทางปรัชญา มีจุดเริ่มต้นจากความสงสัยของมนุษย์ ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จิตของมนุษย์ได้ผัสสะสิ่งใดผ่านอินทรีย์ ๖  สิ่งนั้นอาจจะเป็นวัตถุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติรอบล้อมตัวมนุษย์   สิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ขึ้นไปเช่น พระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น  มนุษย์ใช้จิตน้อมออกไปรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ย่อมเกิดความสงสัยในสิ่งนั้นว่า คืออะไรก็แสวงหาคำตอบด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเริ่มคิดวิเคราะห์หาคำตอบด้วยเหตุผลว่าคืออะไร และมีธรรมชาติอย่างไร ข้อดีการวิเคราะห์คำตอบทางปรัชญานั้น คำตอบของใครก็ถูกของคนนั้น คำตอบทางปรัชญาจึงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่มีการค้นคว้าและแสวงหาคำตอบขึ้นมาใหม่ เช่น ความจริงเรื่องปฐมธาตุ บางยุคนักปรัชญาบอกว่าเกิดจากน้ำบ้าง บางยุคก็บอกว่าเกิดจากลมบ้าง เป็นต้น ส่วนพระพุทธศาสนาก็สนใจแนวคิดทางอภิปรัชญาเรื่องจิตของมนุษย์เช่นเดียวกัน เมื่อปรัชญาและพุทธปรัชญา ต่างก็สนใจเรื่องจิตและเมื่อจิตเป็นสาระอันเป็นแก่นแท้ของชีวิต ปรัชญาและพุทธปรัชญาจึงมีแนวคิดทางอภิปรัชญาเรื่องจิต เหมือนกัน และต่างกันในรายละเอียดซึ่งต้องศึกษากันต่อไป ก่อนศึกษาบทความนี้ให้เข้าใจนั้น ผู้อ่านจำเป็นต้องศึกษาความหมายของคำว่า"ปัจเจกบุคคล" ให้เข้าใจก่อน เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจาก ที่มาของความรู้ในพจนานุกรมแปลไทย-ไทยฉบับราชบัณฑิตย สถาน นิยามคำว่า "ปัจเจกบุคคล" หมายถึง บุคคลแต่ละคนนั้น ส่วนคำว่า"บุคคล" นั้นหมายถึง "คน" ส่วนคำว่า "คน" จากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกเรียกว่า"ขันธ์ห้า" แต่คำว่า "ขันธ์ห้า" จากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมแปลไทย -ไทย อ.เปลื้อง นิยามคำว่า "ขันธ์ห้า"  เป็นคำนามหมายถึงส่วนประกอบของบุคคลห้าส่วน  พระพุทธศาสนาสอนว่าคนๆ หนึ่งประกอบด้วย ๕ ส่วน เรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ ๑.รูปขันธ์ได้แก่ร่างกาย ๒. เวทนาขันธ์ เรียกว่าความรู้สึกสุขทุกข์ ๓. สัญญาขันธ์ หมายถึงความจำ ๔. สังขารขันธ์หมายถึง ความนึกคิด ๕. วิญญาณขันธ์หมายถึง ความรู้ เป็นต้น 

           เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูล จากแหล่งความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลข้างต้น ผู้เขียนตีความได้ว่า ชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น พระพุทธเจ้าทรงอธิบายในรูปแบบของคำสอนเรื่อง "ขันธ์ห้า" โดยการแสดงองค์ประกอบห้าประการของชีวิต ได้แก่ รูปหมายถึงร่างกาย เวทนาหมายความรู้สึกสุขทุกข์ของมนุษย์ สัญญาหมายถึงการจดจำสิ่งที่เข้ามาในชีวิตสังขารหมายถึงความคิดของมนุษย์ และวิญญาณหมายถึงส่วนที่เป็นจิตทั้งหมดมนุษย์ เป็นที่เก็บความรู้ไว้ในจิตของมนุษย์  นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ความรู้ก็ไม่ผิด ขันธห้าของมนุษย์เมื่อย่อองค์ประกอบของชีวิต ๕ ส่วน ให้เหลือเพียง ๒ ส่วนคือกายและจิตนั่นเอง 

   ดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท ๓ จิตวรรค ๕. จิตตหัตถเถรวัตถุ๔.สังฆขิตเถรวัตถุเรื่องพระสังฆรักขิตเถระ (พระผู้มีพระภาคตรัสคาถานี้แก่พระสังฆรักขิตเถระ) ไว้ดังนี้ข้อ ๓๗. คนเหล่าใดสำรวมจิตที่เที่ยวไปไกล๑ เที่ยวไปดวงเดียว๒ ไม่มีรูปร่าง๓ อาศัยอยู่ในถ้ำ๔ คนเหล่านี้จักพ้นเครื่องผูกแห่งมาร๕ คนเหล่านี้จักพ้นเครื่องผูกแห่งมาร๕ (๕)
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ ในพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฎกออนไลน์ รับฟังข้อเท็จเป็นที่ยุติว่า ชีวิตของมนุษย์นอกจากมีกายแล้ว ยังมีจิตเป็นองค์ประกอบของชีวิต ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ดังนั้นปัญหาความจริงอภิปรัชญาเรื่องจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท สาระอันเป็นแก่นแท้ของชีวิตคือจิตนั่นเอง 

         ๑.ปัญหาว่าจิตคืออะไร เมื่อผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๕ พระสุตตปิฎกเล่มที่ ๑๗  ขุททกนิกาย ธรรมบท ๓.จิตวรรค ๑.เมฆิยเถรวัตถุ พระผู้มีพระภาคพระคาถานี้ แก่พระสังฆรักขิตเถระ [๓๗] คนเหล่าใดสำรวมจิต เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่างอาศัยอยู่ในถ้ำ คนเหล่านั้นจะหลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร 


       เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ รับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่า คนสำรวมจิตของตนเอง เป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในถ้ำ เที่ยวไปดวงเดียว เมื่อไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดยกเหตุผลขึ้นมาโต้แย้งหักล้างข้อเท็จจริงพระไตรปิฎกให้เกิดข้อพิรุธสงสัยอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่า  จิตคือสิ่งไม่มีรูปร่าง เที่ยวไปดวงเดียว อาศัยอยู่ในถ้ำ (ร่างกาย) ของคนนั้น   เราวิเคราะห์ได้ดังนี้ 


         ๑.๑ คำว่า "จิตเป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง" จิตของมนุษย์อาศัยในร่างกาย ไม่ใช่ร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไม่กินเนื้อที่ ไม่สามารถสัมผัสได้แต่รู้ด้วยใจของมนุษย์เอง เมื่ออาศัยอยู่ในร่างกายเป็นสิ่งที่มีรูปร่างกาย ดังนั้น จิตจึงเป็นสิ่งที่ไม่รูปร่าง เป็นต้น เมื่อธรรมชาติของจิต มีลักษณะเป็นสิ่งไม่มีรูปร่างต้องอาศัยกายตลอดเวลา ออกไปรับรู้อารมณ์ซึ่งอยู่ภายนอกตัวมนุษย์ ส่วนของร่างกายที่จิตใช้เป็นสะพานหรือทวารออกไปรับรู้อารมณ์เหล่านี้นั้นคืออายตนะภายในของร่างกายมนุษย์อันได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจของมนุษย์สภาวะรู้อารมณ์ของมนุษย์เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อจิตน้อมออกไปผัสสะอารมณ์รูปทางประสาทตาเกิดความรู้อารมณ์ขึ้น แต่เมื่อจิตเป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง สิ่งที่จิตน้อมรับเข้ามาสู่จิตเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไปด้วย ได้แก่สภาวะของอารมณ์เรื่องราวเกี่ยวกับรูปภาพที่มนุษย์เห็นเท่านั้น ไม่สามารถนำวัตถุภาพผ่านทะลุประสาทตาเข้าสู่จิตได้เมื่อจิตน้อมออกไปผัสสะอารมณ์ของเสียงผ่านหูเกิดความรู้ของอารมณ์เสียงขึ้น แต่เมื่อจิตเป็นที่ไม่มีรูปร่างและเสียงก็มีไม่รูปร่างเช่นเดียวกัน จิตจึงน้อมรับเอาเสียงเข้าสู่จิตได้   


     ๑.๒ จิตมีลักษณะ"เป็นดวง"  ธรรมชาติของจิตมีลักษณะเป็นดวงเกิดดับตลอดเวลา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างจิตดวงเก่ากับจิตดวงใหม่ก่อนจิตดวงเก่าจะดับก็ถ่ายทอดเชื้อกรรมไปยังจิตดวงใหม่เช่นนี้ตลอดเวลา 

            ๑.๓. จิตอาศัยอยู่ใน"ถ้ำ" เมื่อจิตอาศัยอยู่ในร่างกายและใช้ร่างกายรับรู้เรื่องของโลกได้ ส่วนของร่างกายมนุษย์ที่มีลักษณะเป็นถ้ำอยู่อาศัยได้แก่ กะโหลกศรีษะของมนุษย์ มีลักษณะเป็นถ้ำเป็นที่บรรจุก้อนสมองซึ่งเป็นที่รวมของเส้นประสาททั้งหมดของร่างกาย จิตจึงอาศัยอยู่ในบริเวณแห่งนี้ 


          ๑.๔ จิตท่องเที่ยวไกล เมื่อมนุษย์เสียชีวิตลงร่างกายเสื่อมสลายสู่ธรรมชาติเว้นแต่จิตเท่านั้นออกจากร่างกายไปจุติจิตไปสู่ภพภูมิต่างๆใน ๓๑ ภพภูมิ ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกคำว่าท่องเที่ยวคือการจุติจิตในภพต่างๆซึ่งถือเป็นการเดินทางไกลหรือจิตปล่อยกระแสอารมณ์ไปตามกิเลสของตนเอง 


        ๒.ลักษณะของจิตเป็นอย่างไร เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูล ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่๓๕ อภิธรรมปิฎกที่๐๒ วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ (ขันธ์๕คือ ๑.รูปขันธ์ ๒.เวทนาขันธ์ ๓. สัญญาขันธ์ ๔.สังขารขันธ์ ๕.วิญญาณขันธ์) 
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลเรื่องเรื่องชีวิตจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎก ผู้เขียนตีความได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเทศนาเรื่องชีวิตของมนุษย์ในหลักธรรมเกี่ยวกับขันธ์ห้า โดยแยกส่วนประกอบของชีวิตมนุษย์เป็น๕ ส่วน เมื่อย่อส่วนประกอบของชีวิตเหลือ ๒ ส่วนได้แก่กายและจิต โดยคำว่า "รูป"หมายถึงร่างกายของมนุษย์นั้น  ส่วนเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ หมายถึงอาการของ"จิต"ที่แสดงออกมาทางกายมนุษย์นั่นเอง ธรรมชาติของจิตของปัจเจกบุคคลมีลักษณะอย่างไรตามธรรมชาติฉบับประมวลศัพท์ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) นั้นมีดังต่อไป  

       ๒.๑. ลักษณะของจิตมีอาการเวทนา เป็นความรู้สึกสุข ทุกข์ เบื่อหน่าย เมื่อมนุษย์ผัสสะกับวัตถุแห่งกิเลส อารมณ์เกี่ยวกับกิเลส จิตย่อมเกิดความสุขในอารมณ์ที่ตนพอใจ จิตย่อมเกิดความทุกข์ในอารมณ์ที่ตนไม่พอใจ  และขณะเดียวกับเมื่อมีความสุขในอารมณ์ที่ตนพอใจมากเป็นประจำ ย่อมเกิดอารมณ์นิพพิทาที่เรียกว่า "เบื่อหน่าย"ได้เช่นเดียวกัน  

       ๒.๒.ธรรมชาติของจิตชอบนึกคิด จิตเมื่อรู้อารมณ์ใดย่อมนำอารมณ์ที่รู้มานึกคิดหาเหตุผลว่าคืออะไร มีธรรรมชาติเป็นคำตอบแล้ว แล้วนำความรู้นั้นมาแสดงออกทางกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมเป็นต้น ตัวอย่างเช่น  เมื่อมนุษย์ผัสสะสิ่งใด เป็นอามิสสุขแล้ว มนุษย์ย่อมเกิดความอยากได้อยากเป็น อยากมี ที่เป็นประโยชน์ของตนประโยชน์นั้นอาจเป็นประโยชน์ภายในหรือภายนอกก็ได้.   
   ๒.๓.ธรรมชาติของจิตเก็บสั่งสมความรู้ ธรรมชาติของจิต เมื่อรับรู้สิ่งต่างๆแล้ว     สิ่งที่รับรู้ยังคงอยู่ในจิตและยังอยู่ในจิตของมนุษย์นักวิชาการบางท่านบอกว่า อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์เป็นที่สะสมพฤติกรรมของจิตหลายอย่างเช่น แรงจูงใจทำให้แสดงพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ชอบเก็บผัสสะต่างๆที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะภายในชอบเก็บกายกรรมที่แสดงออกทางกายมาไว้ วจีกรรมการแสดงออกทางวาจาของไว้และเก็บมโนกรรมสั่งสมไว้ในจิตในบางครั้งเก็บประสบการณ์ทางผัสสะที่ดีเรียกว่า“กุศลกรรม”หากเก็บประสบการณ์ที่ไม่ดีเรียกว่า อกุศลกรรม”เป็นต้น
   
      ๒.๔.ธรรมชาติของจิตรับรู้  เมื่อจิตอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ การรับรู้ของจิตโดยอาศัยร่างกายเป็นตัวเชื่อมกับปัจจัยภายนอกชีวิตของมนุษย์ รูปร่างหน้าของมนุษย์ สัตว์ป่าสัตว์เลี้ยง ต้นไม้ โบราณวัตถุ  ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า เป็นต้น เมื่อรับรู้แล้วสงสัยอยากรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ต่าง ๆ  มีกิจกรรมทางจิตหรือทางปัญญา รวมถึงกระบวนการคิดในแง่กรอบการคิด หมายถึงกระบวนการรับรู้การรับความรู้สึกความมีจิตสำนึกและจินตนาการ เมื่อมนุษย์มีความรู้เก็บไว้ในจิตแล้ว ความเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่อชีวิต เมื่อมนุษย์เจ้าของความรู้นำมาคิดจินตนาการทำให้ตนเข้าใจสภาวะโลกตามความเป็นจริง แตกต่างกันตามความคิดหาเหตุผลของตน และแปลความหมายของผัสสะตามความเข้าใจของตนเพื่อเชื่อมกับความเป้าหมายของชีวิตที่ตนปรารถนาและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิต
   
          โดยสรุปคำว่า "ปัจเจกบุคคล" หมายความว่ามนุษย์แต่ละคนมีชีวิตที่เกิดจากปัจจัย ๒ ประการคือร่างกายและจิต ชีวิตต้องอาศัยร่างกายสัมผัสอารมณ์แล้วจิตเกิดความสงสัย จากนั้นวิเคราะห์และหาเหตุผลคำตอบจากข้อมูลจากสิ่งที่สงสัยนั้น เมื่อจิตมนุษย์เป็นสิ่งไร้สัณฐานที่อาศัยอยู่ในร่างกายบนกะโหลกศรีษะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย หลังจากความตายร่างกายไม่อยู่ในสภาพที่จิตจะดำรงอยู่ต่อไปจิตจะท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ จิตมีลักษณะเป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้เก็บอารมณ์ไว้ในจิต และนำอารมณ์นั้นมานึกคิดจินตนาการต่อยอดไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของตน (ยังมีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ