The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับรัฐโกศล

The Metaphysical problems related  to  Kosol country  in
Buddhaphumi's philosophy

บ้านของอนาถบิณฑิกคหบดี  
บทนำ 

        โดยทั่วไปแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกเคยได้ยินข้อเท็จจริงกับแคว้นโกศลมาแล้วจากการแสดงพระธรรมเทศนาของพระภิกษุในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และการศึกษาพระพุทธศาสนาในสถานการศึกษาต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย  ซึ่งยอมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริงโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง  และรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอมาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้   เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบอย่างสมเหตุสมผล ถือว่าเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจที่สุดปัญหาหนึ่งที่ควรศึกษา เนื่องจากแคว้นโกศลเป็นปัญหาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ 
ตามหลักวิชาการของพระพุทธเจ้านั้น    เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรืองใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ  กันมาจนแบบแผน  ขนบธรรมหรือจารีตประเพณีตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนา  เป็นต้น  อย่าเพ่งเชื่อทันที่ เราควรสงสัยก่อน  จนกว่าจะมีการสืบสวนข้อเท็จจริงและมีหลักฐานเพียงพอ  มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้   เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้หรืออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้  
ถ้าไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงนักปรัชญาถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานหลักฐานเพียงคนเดียวขาดความน่าเชื่อ และไม่ยอมรับว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นว่าเป็นความจริงได้       เพราะโดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เป็นคนเห็นแก่ตัวมักชอบมีอคติต่อผู้อื่นเกิดขึ้นจากสาเหตุของความโง่เขลา, ความกลัว, ความเกลียดชังและความรักใคร่ชอบพอกัน นอกจากนี้มนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ ของร่างกายตนเองมีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นแล้ว  ตั้งอยู่เป็นสภาวะชั่วระยะเวลาหนึ่งและเสื่อมสลายไปในอากาศธาตุ    แต่ก่อนที่จะหายไปจากสายตาของมนุษย์  ก่อนที่สภาวะเหล่านี้จะจางหายไป มนุษย์รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองและสั่งสมเป็นความรู้อยู่ในจิตใจของตนเอง  

       

คณะพระธุดงค์มาสวดมนต์ที่สถูปยมกปาฏิหารย์

     แต่ปัญหาความจริงที่มนุษย์สนใจที่จะศึกษาและหาความรู้นั้น เมื่อรับรู้สิ่งใดก็คิดจากสิ่งนั้น ที่เป็นหลักฐานทางอารมณ์มีอยู่ในจิตใจตนเอง  แต่เมื่อวิเคราะห์แล้ว ผลการวิเคราะได้คำตอบอย่างไม่ชัดแจ้งในสิ่งนั้นว่าเป็นมาอย่างไร? แต่นักปรัชญารักที่จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป ก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอ เพื่อเป็นข้อมูลวิเคราะห์หาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ต่อไป  เมื่อนักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงทั้งสามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ และปัญหาความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์  ดังนั้นความจริงทางอภิปรัชญาแบ่งออกเป็น ๒ ประการกล่าวคือ ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น ๖ ๒.สัจธรรม ตามหลักวิชาการทางปรัชญาเราสามารถอธิบายความจริงได้ดังนี้  

             ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น   โดยทั่วไป มนุษย์ใช้ชีวิตในท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อยู่รอบตัวพวกเขา  อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็สลายตัวไปในอากาศ  แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านี้จะหมดไปจากสายตาของมนุษย์  จิตมนุษย์จะรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของเขา  เมื่อรู้แจ้งแล้ว จิตจะดึงดูดอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมไว้ในจิตใจของตน  แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ใช่เพียงการรับรู้และเก็บอารมณ์ต่าง ๆ เท่านั้น ยังมีหน้าที่คิดจากสิ่งที่รู้ เมื่อรู้สิ่งไหนก็คิดจากสิ่งนั้น โดยการวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ  หากคำตอบยังไม่ชัดเจนก็จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนั้นต่อไป  ดังนั้น เมื่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งสภาวะอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วเสื่อมสลายไปในอากาศธาตุ  ถือว่าเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัส เมื่อวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ได้ข้อเท็จจริง ยังไม่ชัดเจนต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น แต่คำตอบที่ยังไม่เป็นความจริงอันเป็นที่สุด ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามหลักฐานใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก็ได้   เมื่อความเป็นจริงยังไม่สิ้นสุดถือว่าเป็นจริงที่สมมติขึ้น ตัวอย่างเช่น  อาณาจักรของแคว้นโกศลโบราณเป็นชุมชนทางการเมืองที่ตั้งรัฐโกศลให้เป็นรัฐเอกราชที่เกิดขึ้น  มีอำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  พวกเขาเชื่อตามคำสอนพราหมณ์ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้ามากมายว่าช่วยให้พวกเขาสมหวังในชีวิต ผ่านการบูชายัญของพวกพราหมณ์  อาณาจักรโกศล ดำรงเอกราชมาหลายปีก่อนที่จะเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติเมื่อถูกยึดอำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ โดยอาณาจักรโมริยะในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช  ดังนั้นอาณาจักรโกศล จึงเป็นชุมชนทางการเมือง ที่เกิดขึ้นโดยชาวแคว้นโกศล  ดำรงสภาวะของรัฐอยู่ชั่วระยะเวลาหลายร้อยปี และเสื่อมสลายความเป็นอาณาจักรโกศลไป ตามหลักวิชาการทางปรัชญาถือว่า การมีอยู่ของอาณาจักรโกศลโบราณเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจมนุษย์ก่อนที่ถ่ายทอดลงเป็นตัวอักษรในพระไตรปิฎก และเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
   
          ๒.ความจริงขั้นปรมัติ(ultimate Truth)  คือความจริงอันเป็นที่สุดและลึกซึ้งที่สุดยากที่ปุถุชนจะหยั่งรู้ เว้นแต่มนุษย์จะปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ความจริงขั้นปรมัติจึงเป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของการรับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง    โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ความจริงอันเป็นที่สุดด้วยตนเอง เมื่ออวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของมนุษย์มีความจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น  นอกจากนี้มนุษย์เป็นคนเห็นแก่ตัวและชอบอคติต่อผุู้อื่นเสมอ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความโง่เขลา ความเกลียดชัง ความรักใคร่ และความกลัว ทำให้ชีวิตพวกเขาตกอยู่ในความมืดมิด ในปัจจุบันแม้นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับความจริงขั้นปรมัตถ์  แต่ยังไม่มีหลักฐานน่าเชื่อถือว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบความจริงขั้นปรมตถ์ ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด แม้มนุษย์จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ผ่านอินเตอร์เน็ตได้   แต่ผู้เขียนได้ค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับความจริงขั้นปรมัตถ์ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ว่าพระโพธิสัตว์ได้ทรงพัฒนาศักยภาพของพระองค์ตามอริยมรรคมีองค์ ๘  เช่นญาณทิพย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง  สภาวะนิพพาน เป็นต้น  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ตามหลักวิชาการทางปรัชญาถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงที่อยู่นอกเหนือขอบเขตในการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์    ผู้หยั่งรู้ความจริงอันเป็นที่สุดได้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น  เป็นต้น

ท้องนาแห่งเมืองสาวัตถี  
       แม้ว่าเมืองสาวัตถีซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐโกศลไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่เมืองศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา (The four Buddhist holy places) ที่เรียกว่าสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมือง ที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้สาวกของพระองค์เดินทางไปแสวงบุญตามศรัทธา เมื่อสิ้นชีวิต ดวงวิญญาณจะไปเกิดในโลกสวรรค์แต่เมืองสาวัตถีมีความสำคัญในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงได้เผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา ๒๕ พรรษา ในการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของรัฐโกศลมีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกหลายเล่ม และโครงสร้างทางวิชาการสมัยใหม่ของรัฐโกศล ที่ยังคงปรากฏอยู่ในจิตใจของผู้เขียนยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ทำให้ผู้เขียนสงสัยในองค์ประกอบของรัฐโกศลในหลายๆเรื่อง เช่น ระบอบการปกครอง อธิปไตย และที่ตั้งของรัฐโกศล ที่เป็นพยานวัตถุซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดี ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเอง เป็นสิ่งที่ต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อผู้เขียนค้นรายชื่อสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ก็ไม่พบรายชื่อรัฐโกศล แสดงว่ารัฐนี้สูญเสียอำนาจอธิปไตยไปแล้วการศึกษาความเป็นอิสระของรัฐโกศลตามแนวคิดของปรัชญา จำเป็นต้องมีทฤษฎีความรู้เชิงประจักษ์นิยมเกี่ยวกับที่มาของความรู้ เป็นการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลของคำตอบเกี่ยวกับในเรื่องการดำรงอยู่ของรัฐนี้  มีปัญหาต้องวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าโกศลเคยเป็นรัฐมาก่อน เมื่อผู้เขียนศึกษาความหมายของคำว่า "ประเทศ" จากแหล่งความรู้ในพจนานุกรมแปลไทย-ไทยราชบัณฑิตยสถานได้นิยามคำว่า "ประเทศ"หมายถึง แว่นแคว้น บ้านเมือง และอีกความหมายหนึ่งกล่าวว่าชุมนุมแห่งมนุษย์ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในอาณาเขตแน่นอน มีอำนาจอธิปไตยให้ใช้อย่างเสรี และมีการปกครองเป็นระเบียบเพื่อประโยชน์ของบรรดามนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนั้น   เมื่อศึกษาข้อเท็จจากหลักฐานพยานเอกสารและพยานวัตถุที่มีอยู่นั้น  มีประเด็นต้องวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ 

        (๑) รัฐโกศลเป็นชุมนุมของมนุษย์หรือไม่ 
        (๒) รัฐโกศลมีอาณาเขตแน่นอนหรือไม่ 
        (๓) รัฐโกศลมีอำนาจอธิปไตยหรือไม่ 
       (๔) มีการปกครองเป็นระเบียบเพื่อประโยชน์ของมนุษย์หรือไม่ ดังต่อไปนี้

 ๑. รัฐโกศลเป็นชุมนุมของมนุษย์ 

          เมื่อมนุษย์มีอคติเพราะมีความกลัวจากภัยธรรมชาติและสังคมที่ตนหาสาเหตุไม่ได้ มนุษย์จึงชอบอยู่รวมกันเป็นสังคมขนาดใหญ่จนกลายเป็นชุมชนทางการเมืองและมีพลังอำนาจในการปกครองตนเอง ทำให้เกิดประเทศอธิปไตยขึ้นในโลกได้ต้องมีประชาชนอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น ตั้งถิ่นฐานจนกลายชุมนุมชนเมืองขนาดใหญ่หรือเล็กจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นมีจำนวนมากน้อยมิใช่เรื่องสำคัญ  ชุมนุมชนตั้งอยู่ในเมืองใหญ่เช่น พระนครสาวัตถีของแคว้นโกศล เป็นชุมชนของชาวโกศลมาอาศัยอยู่รวมกันจนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ดังปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ฉบับมหาจุฬา ขุทททกนิกาย อปทาน [๔๙.บังสกุลวรรค] ธัมมรุจิเถรปทานข้อที่ [๒๖] บัดนี้เป็นภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐี  ที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ มีทรัพย์มาก ในกรุงสาวัตถีนั้น และพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่๒  พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ ฉบับมหาจุฬา มหาวิภังค์ภาค ๒  [๕.ปาจิตตยกัณฑ์] ธัมมรุจิเถรปทานข้อที่ [๒๖] บัดนี้เป็นภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐี  ที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ มีทรัพย์มาก ในกรุงสาวัตถีนั้น   

บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
   เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ นั้นรับฟังข้อเท็จจริงได้ข้อยุติว่า แคว้นโกศลเป็นดินแดนที่ชุมนุมของประชาชนในพระนครสาวัตถี เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะนั้น มีความเจริญรุ่งเรืองมากเต็มไปด้วยผู้คนมีฐานะขั้นเศรษฐีหลายคน ที่มีความมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีกำลังทรัพย์ เพราะตัวเมืองตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มติดกับเชิงเขาหิมาลัย มีแม่น้ำอจิรวดีอันกว้างไกลไหลผ่านตัวเมืองสาวัตถีทิศตะวันออก ประชาชนปลูกพืชผลทางเกษตรกรรมได้ผลผลิตมากโดยเฉพาะการปลูกข้าว อาณาเขตตัวพระนครนั้นมีเนื้อที่กว้างขว้างมาก มีเศรษฐกิจการค้าขายดี เพราะอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นเศรษฐีประจำเมืองสาวัตถีได้ส่งข้าวและสินค้าทางการเกษตรกรรมไปขายยังแคว้นมคธนำรายได้มาสู่รัฐโกศลจำนวนมหาศาลมาสู่เมืองสาวัตถีแห่งนี้ เป็นต้น และจากข้อความนี้จึงแสดงให้เห็นว่า รัฐโกศลเป็นแคว้นอธิปไตยเคยมีชีวิตอยู่จริง ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลแล้ว        
๒.ตั้งอยู่ในอาณาเขตแน่นอน เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลได้แก่แผนที่โลกของกูเกิลแล้ว ค้นพบหลักฐานเบื้องต้นนั้นว่า มีการระบุชื่อเมืองสาวัตถีซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศลไว้ในแผนที่โลกของกูเกิล (Google Maps) ไว้อย่างชัดเจน เมืองสาวัตถีตั้งอยู่ไม่ไกลจากเทือกเขาหิมาลัย เป็นที่ราบลุ่มอยู่ตรงกลางระหว่างเทือกเขาหิมาลัยกับแม่น้ำคงคา และมีพรมแดนติดอยู่กับเมืองกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่ แสดงให้เห็นว่าพระนครสาวัตถีเป็นเมืองที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาและของโลก แต่แผนที่โลกของกูเกิลไม่มีรายละเอียดของดินแดนแห่งราชอาณาจักรโกศล จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลจากแผนที่ของรัฐโบราณของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาลต่อไป  เมื่อผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลจากที่มาของความรู้ในแผนที่โบราณได้ระบุถึงสถานที่ตั้งของแคว้นโกศลที่แบ่งปันบนอินเตอร์เน็ตแล้ว รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าทางทิศเหนือของแคว้นโกศลนั้น มีพรมแดนจดกับแคว้นสักกะตั้งอยู่ตรงกลางของแคว้นโกศลและบางส่วนของพรมแดนจดกับเทือกเขาหิมาลัยในยุคปัจจุบันเป็นดินแดนประเทศเนปาล  ทางทิศตะวันออกของแคว้นโกศลนั้น     พรมแดนจดกับดินแดนของแคว้นมัลละและแคว้นกาสีติดต่อกับแคว้นมคธ ทางทิศตะวันตกของแคว้นโกศลนั้น  พรมแดนจดกับดินแดนแคว้นปัญจาละและแม่น้ำคงคา  ทางทิศใต้ของแคว้นโกศลนั้นพรมแดนจดกับดินแดนของแคว้นวังสะ เป็นต้น 



        ๓. มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้อย่างอิสระ   
เมื่อผู้เขียนศึกษาความหมายของคำว่า"อธิปไตย" จากแหล่งความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามว่า"อำนาจอธิปไตยคืออำนาจสูงสุดของรัฐ ที่จะบังบัญชาภายในอาณาเขตของตน" จากคำนิยามดังกล่าวอำนาจสูงสุดได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมายมีสภาพบังคับใช้ในรัฐของตน อำนาจบริหารในการดำเนินการจัดการปัญหาของประเทศตามระเบียบที่ได้วางไว้ตามกฎหมายกฎหมายรัฐธรรมนูญและอำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวงในรัฐนั้น  เป็นต้น เมื่อโกศลเป็นรัฐเอกราช มีอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชาในรัฐโกศลของตน และรัฐนี้มีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีผู้ใช้อำนาจอธิปไตยเพียงผู้เดียวคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียวในการปกครองประเทศดังนั้นในยามทำสงครามกับแคว้นมคธที่ยกทัพข้ามารุกรานพระองค์ก็ใช้อำนาจอธิปไตยสั่งการยกทัพป้องกันประเทศ ดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗  สังยุตตนิกาย สคาถวรรค [๓.โกศลสังยุต] ๒.ทุติยวรรค ๕.ทุติยสังคามสูตร[๑๒๖] ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเทเวหิบุตร ผู้ครองแคว้นมคธ  ทรงจัดจตุคินีเสนายกทัพไปรุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศลทางแคว้นกาสี  พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับข่าวว่า "พระเจ้าอชาตศัตรูเทเวหิบุตรผู้ครองแคว้นมคธ ทรงจัดจตุคินีเสนา ยกทัพมารุกรานเราทางแคว้นกาสี" จึงทรงจัดจตุคินีเสนายกออกไปต่อสู้กับพระเจ้าอชาตศัตรูเทเวหิบุตรผู้ครองแคว้นมคธป้องกันแคว้นกาสีครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเทเวหิบุตรผู้ครองแคว้นมคธกับพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทำสงครามต่อกันเป็นต้น

        เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้จากพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฎกออนไลน์ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นข้อยุติว่าในยามมีสงครามพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตัดสินพระทัยใช้อำนาจอธิปไตยปกป้องดินแดนของพระองค์ ด้วยการยกทัพออกทำสงครามป้องกันประเทศด้วยพระองค์เอง เมื่อไม่พยานหลักฐานอื่นใดยกขึ้นมาโต้แย้งหักล้างได้อีก ผู้เขียนเห็นว่าแคว้นโกศลเป็นรัฐอิสระมีอำนาจอธิปไตยเป็นตนเอง มีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นกษัตริย์ปกครองแบบสมบูรณา ญาสิทธิราชย์เพียงผู้เดียวและใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศ ด้วยการยกทัพไปต่อสู้ทำสงคราม กับพระเจ้าอชาตศัตรูเทเวหิแห่งแคว้นมคธด้วยพระองค์เอง    

(๔) มีการปกครองอย่างเป็นระเบียบเพื่อประโยชน์มนุษย์อยู่ร่วมกัน


           แคว้นโกศลมีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นกษัตริย์ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยสิทธิขาดเพียงแต่พระองค์เดียวในการบริหารปกครองแคว้นโกศล ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้นับถือศาสนาพราหมณ์บูชายัญเทพเจ้าหลายองค์จึงเป็นศาสนาประจำรัฐโกศล ดังปรากฏหลักฐานเรื่องการบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์และมนุษย์ จากที่มาของความรู้ได้ในพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฏกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่๑๕  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๙.ยัญญสูตรว่าด้วยการบูชายัญ [๑๒๐]กล่าวว่าเรื่องเกิดที่กรุงสาวัตถี พระเจ้าปเสนธิโกศลได้ตระเตรียมการบูชามหายัญคือโคตัวผู้ ๕๐๐ ตัว ลูกโคตัวผู้ ๕๐๐ ตัว  ลูกโคตัวเมีย ๕๐๐ ตัว แพะ ๕๐๐ ตัว แกะ ๕๐๐ ตัว แม้ข้าราชบริพารประเจ้าเสนธิโกศลนั้น ผู้เป็นทาสคนใช้หรือกรรมกรที่มีอยู่ แม้ชนเหล่านั้นก็ถูกอาชญาคุกคามถูกภัยคุกคามร้องไห้น้ำตานองหน้า ขณะบริกรรมอยู่"
   เมื่อศึกษาข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสของผู้เขียนจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฎกนั้นรับฟังได้ข้อเท็จจริงได้เป็นข้อยุติว่า การประกอบพิธีมหาบูชายัญเป็นการบูชาอย่างหนึ่งในศาสนาพราหมณ์    เป็นการเซ่นสรวงด้วยวิธีฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ เป็นเครื่องบูชา จากหลักฐานในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ  นั้น  พระเจ้าปเสนธิโกศล ทรงตระเตรียมการบูชามหายัญต่อเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ด้วยเครื่อง     เซ่น สรวงได้แก่สัตว์ต่าง ๆ  พวกทาส คนรับใช้ หรือ กรรมกร ไว้ฆ่าบูชายัญ    เพื่อให้ดลบันดาลให้พระองค์แคล้วคลาดรอดปลอดจากภัยเข้ามาประทุษร้ายชีวิตของพระองค์ เมื่อไม่มีหลักฐานในพยานเอกสารคัมภีร์อื่นใดยกข้อเท็จจริงขึ้นมาหักล้าง และโต้แย้งข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ ได้อีก ผู้เขียนเห็นว่า แคว้นโกศลที่มีพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์จริงปัญหาที่ต้องวิเคราะห์ต่อไปอีกผู้คนในแคว้นโกศลนับถือศาสนาพราหมณ์นั้น  มีการแบ่งวรรณะหรือไม่ มีเหตุผลยืนยันความจริงเพียงใด         เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลของพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ   กล่าวว่า"แม้ข้าราชบริพารพระเจ้าเสนธิโกศลนั้นผู้เป็นทาส คนใช้หรือกรรมกรที่มีอยู่แม้ชนเหล่านั้น         ก็ถูกอาชญาคุกคาม  ถูกภัยคุกคามร้องไห้น้ำตานองหน้าขณะบริกรรมอยู่"    เมื่อศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกแล้วผู้เขียนรับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นข้อยุติว่า     ข้าราชบริพารของพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพวกทาส คนใช้ เป็นกรรมกรหมายถึงคนในวรรณะศูทร     พระองค์ทรงฝันร้ายพราะได้ยินสัตว์นรกร้องโหยหวนทำให้พระองค์ทรงมีความทุกข์ ทรงปรึกษาพวกพราหมณ์ปุโรหิตว่า ควรทำอย่างไร  ให้ชีวิตมีความปลอดภัยพวกพราหมณ์แนะนำให้พระองค์บูชายัญเพื่อจำกัดฝันร้ายนั้นแสดงให้เห็นว่า        แม้แคว้นโกศลแม้จะปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระเจ้าปเสนทิโกศล   เป็นกษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยเพียงผู้เดียวและแบ่งประชาชนเป็นวรรณะ ๔ พวกเช่นเดียวกับแคว้นแคว้นอื่นๆ  แต่บทบาทชนวรรณะกษัตริย์นั้นมีสิทธิและหน้าที่ในการบริหารปกครองประเทศ  ชนวรรณะพราหมณ์   มีหน้าที่สาธยายพระเวทและประกอบพิธีบูชายัญด้วยฆ่าสัตว์และคน ส่วนพวกวรรณะแพศย์นั้นทำการเกษตร กรรมและค้าขาย ส่วนพวกวรรณะศูทรมีหน้าที่คอยรับใช้ชนทั้ง ๔ วรรณะ     เมื่อผู้เขียนได้วิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎก  อรรถกถา พยานวัตถุได้แก่วัดเชตวัน  สถูปบ้านปุโรหิตพ่อองคุลีมาลและสถูปอนาถบิณฑิกคหบดีนอกจากนี้ยังมีพยานเอกสารดิจิทัล  ได้แก่  แผนที่โลกกูเกิลได้แสดงที่ตั้งของรัฐโกศลไว้อย่างชัดแจ้ง      และได้ระบุอำเภอสาวัตถี คือพระนครสาวัตถีเมืองหลวงของแคว้นโกศลในอดีตอันเจริญรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจของชมพูทวีปมีเศรษฐีมากมายทำการค้าขายส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศหารายได้เข้าสู่ประเทศในสมัยพุทธกาล และมีการบันทึกเรื่องราวไว้ในพระไตรปิฎกให้อนุชนรุ่นหลังได้ดังนั้น      ผู้เขียนเห็นว่าเมื่อหลักฐานในพยานเอกสารพยาน, วัตถุพยานบุคคล, พยานวัตถุ, และพยานเอกสารดิจิทัล    ยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องรัฐโกศล เป็นชุมชนทางการเมืองมีประชาชนอาศัยอยู่จริง มีอาณาเขตแน่นอน มีระบอบการปกครองเป็นของตนเองจริง มีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นกษัตริย์ปกครอง       มีข้อเท็จจริงในเอกสารสอดคล้องต้องกัน  ปราศจากข้อสงสัยเหตุผลของคำตอบในความมีอยู่จริงของรัฐโกศลในพระไตรปิฎก ถือว่าว่ารัฐโกศลเป็นแคว้นอธิปไตยมีอยู่จริงในสมัยพุทธกาล  ด้วยเหตุผลข้างต้น   

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ