Metaphysical problems regarding Brahmanism in the Tripitaka
บทนำ
โดยทั่วไปแล้ว ทุกศาสนามีความสนใจที่จะศึกษาความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์ โลก ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น ปัญหาความจริงเหล่านี้เป็นความรู้ของมนุษย์ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความรู้เป็นความรู้ของมนุษย์ โดยธรรมชาติของมนุษย์ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันนั้น ที่เราได้ยินข้อเท็จจริงมานั้นที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น พระพรหมและพระอิศวรเป็นสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์เองและมนุษย์สามารถเข้าถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าด้วยการวิธีบูชายัญโดยวรรณะพราหมณ์เท่านั้นส่วนวรรณะอื่นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่บูชายัญได้ เพราะต้องห้ามตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีอย่างร้ายแรงด้วยการกระทำความผิดฐานแต่งงานข้ามวรรณะและปฏิบัติหน้ที่ของวรรณะอื่น จะถูกคนในสังคมลงพรหมทัณฑฺ์ด้วยการขับไล่ออกจากคนในสังคมกลายเป็นคนไร้บ้านที่เรียกว่า "จัณฑาล" ไปตลอดชีวิต เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาพวกจัณฑาลต้องใช้ชีวิตในวัยชรา เจ็บป่วยไข้และนอนตายอยู่ข้างถนน เพราะกระทำผิดฐานคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง ทำให้พระองค์สงสัยการมีอยู่ของเทพเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในพระวรกายของพระองค์มีข้อจำกัดในการรับรู้ ความจริงที่สมมติขึ้น พระองค์จึงทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือคือพราหมณ์ปุโรหิตมาให้การยืนยันความจริงในเรื่องนี้ เมื่อเราเอาตัวมนุษย์เป็นศูน์กลางในการรับรู้ความจริง เราจึงสามรถแบ่งความจริงในอภิปรัชญาออกเป็น ๒ ประการคือ
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น โดยทั่วไป ทุกสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวมนุษย์ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ มีสภาวะเกิดขึ้น มันคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วสลายไปและหายไปจากสายตาของมนุษย์ ก่อนที่มันจะหายไปจากสายตามนุษย์ จิตใจของมนุษย์อาศัยร่างกายของเขาในการรับรู้สิ่งเหล่านั้น และรวบรวมอารมณ์ของสิ่งเหล่านั้น มาสั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง จากนั้นก็นำเอาอารมณ์เหล่านั้นมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานทางอารมณ์ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เป็นต้น เช่น ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติที่สวนป่าลุมพินี แคว้นสักกะ ดำรงพระชนม์ชีพเป็นเวลา ๘๐ ปีแล้ว ก็เสด็จสู่ปรินิพพาน เรื่องราวต่าง ๆ ชีวิตของพระองค์ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและปรินิพพานผ่านเข้ามาในชีวิตพระอานนท์ซึ่งเป็นพระญาติของพระองค์ ต่อมาถ่ายทอดไว้ในพระไตรปิฎกหลายฉบับจากการสังคายนาหลายครั้ง ดังนั้น เมื่อชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมสลายไปในที่สุดก็หายไปจากสายตาของมนุษย์ ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะสามารถรับไดด้วยประสาทสัมผัสของพระอานนท์ จึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ โดยทั่วไปแล้ว ความจริงขั้นปรมัตถ์เป็นความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ เป็นความจริงขั้นปรมัตถ์ที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะมนุษย์อวัยวะอินทรีย์ ๖ ในร่างกาย มีขอบเขตจำกัดในการรับรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตและมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเพราะความโง่เขลา ความเกลียดชัง ความกลัว และตัณหาราคะเป็นการส่วนตัว เป็นต้น ทำให้ชีวิตของมนุษย์อยู่ในความมืดมิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขาไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าเรื่องไหนจริงหรือเท็จหรือรู้จักวิธีปฏิบัติธรรมตามอริมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุถึงความจริงของชีวิตซึ่งเป็นความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ เพราะขาดความสนใจและเอาใจใส่ในชีวิตเพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตให้มีคุณค่าต่อผู้อื่น แม้ในปัจจุบันจะเป็นยุครุ่งเรืองของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมากมายเพื่อสนองความอยากรู้ของมนุษย์ แต่ยังไม่หลักฐานทางวิชาการประกาศออกมาว่า นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครืองมือวิทยาศาสตร์ช่วยมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้ หรือตรวจสอบความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ผู้เขียนค้นพบหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ พระพุทธองค์ทรงสอนว่าถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ สามารถบรรลุถึงความจริงขั้นปรมัตถ์เช่นสภาวะของนิพพานได้ หรือ ในสมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ชาวสักกะ และชาวโกลิยะเชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นความจริงเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถบรรลุถึงความจริงในเรื่อง การมีอยู่ของเทพเจ้านี้ได้ เว้นแต่พราหมณ์เท่านั้นที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้านั้นได้
ข้อเท็จจริงของการมีอยู่ของศาสนาพราหมณ์นั้น เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ และเอกสารทางวิชาการอื่น ๆ ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า สมัยก่อนพุทธกาลเป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ แคว้นต่าง ๆ ในชมพูทวีป เป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ เพราะพระมหาราชาแห่งแคว้นต่าง ๆ ศรัทธาพราหมณ์หลายสำนัก และแต่งตั้งพราหมณ์อารยันเป็นปุโรหิตเป็นที่ปรึกษามหาราชาในด้านกฏหาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี นำหลักคำสอนของพราหมณ์ เป็นคำสอนในศาสนาพราหมณ์อันเป็นศาสนาประจำชาติ และตราเป็นกฎหมายวรรณะโดยพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดียอ้างว่าพระพรหมณ์สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์ จึงสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้นทำหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ หลายเล่ม เมื่อผู้เขียนพิจารณาองค์ประกอบความรู้เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์แล้ว เกิดข้อสงสัยว่าใครเป็นศาสดาของศาสนาพราหมณ์ แก่นแท้ของคำสอนของศาสนาพราหมณ์คืออะไร ใครเป็นสาวกของศาสนาพราหมณ์บ้าง มีวิธีปฏิบัติของศาสนพิธีเป็นอย่างไร และมีศาสนสถานทางศาสนาพราหมณ์หรือไม่ เป็นต้น และมีประเด็นต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
๑.ใครเป็นศาสดาในศาสนาพราหมณ์ ข้อเท็จจริงจากหลักฐานพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ พราหมณ์นิกายต่าง ๆ เปิดสำนักสอนและต่างเผยแพร่ความเชื่อในศาสนาของตนเอง แต่ละฝ่ายป็นอิสระจากกัน เช่น เจ้าลัทธิทั้งหก, ชฏิล ๓ พี่น้อง เป็นต้น แต่ไม่มีใครกล้าประกาศ ตนว่่า เป็นศาสดาในศาสนาพราหมณ์และผู้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เช่่น สมณโคดม เป็นต้น
๒.คำสอนของศาสนาพราหมณ์ เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า คำสอนของศาสนาพราหมณ์นั้น เน้นเรื่องชีวิตมนุษย์และการมีอยู่ของเทพเจ้า คำสอนของศาสนาพราหมณ์มีทั้งหลักทฤษฎีและหลักปฏิบัติการเข้าถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ บูชายัญเป็นพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการบูชายัญจากแหล่งความรู้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ได้พบข้อความของคำว่าบูชายัญในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑, ๔, ๙, ๑๒, ๑๓, ๑๕, ๒๐, ๒๑, ๒๒, ๒๘, ๒๙, ๓๐, ๓๒, ๓๓, ๓๖ เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลเป็นหลักฐานกล่าวในพระไตรปิฎกเช่นนี้แล้วผู้เขียนสงสัยว่า"การบูชายัญ"นั้นคืออะไร เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากคำนิยามจากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมแปลไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นครได้นิยามคำว่า "บูชายัญ" ไว้ว่า เป็นคำนามการบูชายัญคือการบูชาเทพเจ้าในลัทธิพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์สอนว่า มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คอยดลบันดาลให้มนุษย์มีอันเป็นไปต่าง ๆ หากผู้ใดปรารถนาจะให้เทพเจ้าเพิ่มพรให้ หรืองดการลงโทษ จะต้องทำการบูชายัญที่ทำกันมากคือ การฆ่าแพะ แกะ วัว ม้า และคน ตามจำนวนที่พราหมณ์จะบอก [๑] เป็นต้น
จากคำนิยามในความหมายดังกล่าวข้างต้นนั้นผู้เขียนตีความคำนิยามได้ดังนี้ว่า(๑) บูชายัญเป็นการบูชาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์เมื่อผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๒.จูฬวรรค] นาวาสูตร [ข้อ๓๑๓] ได้กล่าวว่าเพราะ การฆ่าโคบูชายัญนั้น เทวดา พระพรหม พระอินทร์ อสูร และผีเสื้อสมุทร ต่างเปล่งวาจาประณามมนุษย์ว่าไม่มีคุณธรรม เพราะมีดที่แทงแม่โคและในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกายชาดก[๒๒.มหานิบาต] ๖.ภูริทัตตชาดก[ข้อ.๙๒๖]ได้กล่าวว่า "ความจริงคนบ้างพวกนับถือไฟเป็นเทวดาส่วนพวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากข้อความที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ ผู้เขียนรับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นข้อยุติว่าการฆ่าสัตว์บูชายัญนั้น เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งในศาสนาพราหมณ์เพื่อบูชาเทพเจ้าเช่น เทวดา พระพรหม พระอินทร์ อสูร และผีเสื้อสมุทรเพื่อขอพรเทวดา พระพรหมหรือเทพเจ้าองค์อื่นๆ ช่วยดลบันดาลให้ตนประสบความสำเร็จในสิ่งปรารถนาเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เช่นนั้น และไม่มีพยานหลักฐานอื่นใด ยกเหตุผลของข้อเท็จจริงขึ้นมาโต้แย้งหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตร ปิฎกให้เกิดข้อพิรุธสงสัยให้ความจริงเป็นอย่างอื่นได้อีก ผู้เขียนเห็นว่าในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น ประชาชนชาวชมพูทวีปนับถือศาสนาพราหมณ์เชื่อว่า พระอิศวรและพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริงและผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ส่วนพวกเชื้อสายมิลักขะบูชาน้ำเป็นเทวดา เพราะช่วยดลบันดาลให้พืชผลทางเกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น
๒.จุดประสงค์ของการบูชายัญในศาสนาพราหมณ์ ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบพิธีบูชายัญนั้นต้องกผลในข้อใดแตกต่างกันออกไป มีหลายจุดประสงค์ด้วยกัน ได้แก่
๒.๑ การบูชายัญแล้วจิตวิญญาณไปสู่โลกสวรรค์เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุทททกนิกายชาดกภาค ๒ [๒๒.มหานิบาต] ๗.จันทกุมารชาดก
[ข้อ.๙๘๒] "พระเจ้าเอกราชผู้มีกรรมหยาบช้าประทับอยู่ในกรุงบุปผวดีท้าวเธอตรัสถามขัณฑหาลปุโรหิตผู้เป็นเผ่าพันธ์แห่งพราหมณ์ผู้เป็นคนหลงว่า"
[ข้อ.๙๘๓] "ท่านพราหมณ์ผู้สุจริตธรรมและอาจารวินัย จงบอกทางสวรรค์แก่เรา อย่างที่นรชนทำบุญแล้ว จากโลกนี้ไปสู่สุคติภพเถิด" (ขัณฑหาลปุโรหิตกราบทูลว่า)
[ข้อ.๙๘๓] ข้าแต่สมมติเทพ เหล่านรชนให้ทานยิ่งกว่าทาน ฆ่าคนไม่น่าฆ่า ทำบุญแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ได้อย่างนี้ (พระราชาตรัสถามว่า)
[ข้อ.๙๘๓] ก็ทานยิ่งกว่าทานนั้นคืออะไรและคนจำพวกไหนไม่น่าฆ่าในโลกนี้ ขอท่านจงบอกข้อนั้นแก่เราเราจักบูชายัญ จักให้ทาน (ขัณฑหาลปุโรหิตกราบทูลว่า)
เมื่อผู้ศึกษาข้อเท็จจริงจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ รับฟังได้เป็นข้อยุติว่าพระเจ้าเอกราชทรงมีวัตถุประสงค์ของการบูชายัญ เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณของพระองค์จะได้เสด็จไปสู่โลกสวรรค์
๒.๒ การบูชายัญจำกัดฝันร้าย พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประกอบพิธีมหาบูชายัญ เพื่อกำจัดฝันร้าย เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ อรรถกถา สังยุตตนิกายสคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ปฐมวรรค ๑ สังยุตตสูตร ได้ฟังข้อเท็จจริงได้มีมติว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จเลียบพระนครทรงมีพระทัยต่อหญิงที่แต่งงานแล้ว สามีเป็นพ่อค้าในตลาดเมืองสาวัตถีจึงเรียกตัวมาเข้าเฝ้าและแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์ ทำหน้าที่รับใช้พระองค์ เพื่อหาทางจำกัดสามีของหญิงนั้น ทรงรับสั่งให้เอาดินสีแดงและดอกบัวอุบลสีแดงมาถวายให้ทันเวลา หากไม่ทันจะเอาโทษกับสามีของหญิงนั้นเมื่อไปเอาดินสีแดง และดอกบัวอุบลสีแดงแต่เข้าพระนครไม่ทันจึงเลยไปที่วัดเชตวันมหาวิหาร ในเวลากลางคืนพระเจ้าปเสนทิโกศลเกิดอาการร้อนรุ่มครอบงำ และได้เสียงของสัตว์ร้องจากขุมนรกมารบกวนพระทัยของพระองค์จนทรงบรรทมไม่เป็นสุข ในรุ่งเช้าพวกพราหมณ์ปุโรหิต ได้มากราบทูลว่าทรงบรรทมเป็นสุขไหมเมื่อคืนนี้พระองค์ได้ตรัสว่า ทรงบรรทมไม่มีสุขเพราะได้ยินเสียงของสัตว์ร้องจากนรก เมื่อพวกพราหมณ์ปุโรหิตได้ยินอย่างนี้แล้ว ก็พากันประชุมพิจารณาเห็นว่าพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศล ไม่มีผลต่อชีวิตของพระองค์ทำให้ทรงเจริญรุ่งเรืองขึ้นหรือนำมาสู่ความเสื่อมลงแต่อย่างใด แต่พวกพราหมณ์ปุโรหิตมิอยากให้ลาภสักการะ เป็นเครื่องบูชายัญนั้นด้วยการให้ทานภัตตาหารนั้น ถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกแต่อยากให้เครื่องเซ่นมหาบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์นั้น เป็นลาภสักการะแก่พวกพราหมณ์เมื่อนึกได้อย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์ปุโรหิตได้กราบทูลว่า พระสุบินได้ยินเสียงสัตว์นรกนั้นทรงประสบเภท ภัย ๓ อย่าง คือ ภัยต่อราชสมบัติ ภัยต่อพระชนมชีพ หรือ ภัยต่อที่ประทับของพระองค์จนอยู่ไม่ได้พระองค์ได้ทรงตรัสถามว่าจะทรงมีความปลอดภัยควรทำอย่างไร พวกปุโรหิตบอกให้บูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์อย่างละ ๕๐๐ ตัว เป็นต้น
บรรณานุกรม
[๑]https://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-pleang/บูชายัญ เมื่อวันที่๒๑ เมษายน ๒๕๖๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น