Evidence proving the truths of The Moliya state in Tripitaka
บทนำ
ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา เกี่ยวกับความแท้จริงของมนุษย์ โลก ธรรมชาติ และเทพเจ้าซึ่งอยู่นอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์เป็น ต้น ความจริงของสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองได้ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งอยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ แต่มนุษย์สามารถอธิบายถึงความมีอยู่ได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ ดังนั้นธรรมชาติอันแท้จริงของสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งอยู่รายล้อมตัวมนุษย์ตามหลักอภิปรัชญา
ผู้เขียนจึงแบ่งความจริงออกเป็น ๒ ประเภทคือ
๑.สิ่งที่เป็นจริงโดยสมมติ (appearance)
๒.สิ่งที่เป็นความจริง (Reality)
๑. สิ่งที่เป็นจริงโดยสมมติ (appearance) เป็นสิ่งที่ปรากฏและรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ว่า เป็นวัตถุ เช่นชีวิตของมนุษย์ สัตว์ป่า ปลา นก หรือนามธรรมที่มีอยู่ในรูปของพลังงานเช่น คลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต เรด้าร์ และคลื่นเสียงของมนุษยอยู่นอกเหนือขอบเขตของประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ได้ มนุษย์จึงพัฒนาศักยภาพในการใช้ชีวิตของตัวเองจนสามารถสร้างสรรค์เทคโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ ในขณะที่สร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น โทรศัพท์มือ คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือรับคลื่นอินเตอร์เน็ตและพลังงานของวัตถุแทนการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ เพราะการรับรู้ของมนุษย์มีขอบเขตจำกัดไม่สามารถรับรู้คลื่นวิทยุ คลื่นเรดาร์และอินเตอร์เน็ตด้วยตนเองได้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ที่มีอยู่จริง และตามแนวคิดทางญาณวิทยาว่าด้วยที่มาของความรู้นั้นเรียกว่า "ทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยม"นั้น มีแนวคิดว่า"บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ เท่านั้น
จากนิยามของทฤษฎีความรู้ ผู้เขียนตีความว่าแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่มีอยู่จริง ต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง ถ้าความรู้ใดไม่ผ่านประสาทของมนุษย์ ให้ถือเป็นความรู้เท็จ ส่วนความรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของพระนครปิบผลิวันแห่งแคว้นโมริยะ เมื่อผู้เขียนศึกษาค้นคว้าจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกายมหาวรรค ๓ มหาปรินิพพานสูตรว่าด้วยบูชาพระบรมธาตุและสร้างพระสถูปพวกเจ้ามัลละผู้ครองนครกุสินาราตอบว่า "(บัดนี้) ไม่มีส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุพระบรมสาริกธาตุได้แบ่งกันไปหมดแล้วพวกท่านจงนำเอาพระอังคาร (เถ้า) ไปจากที่นี้เถิดพวกทูตเหล่านั้นจึงนำเอาพระอังคารไปจากที่นั่น"
๒. สิ่งที่เป็นจริง (Verity)
เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในระดับปรมัตถ์ คือความจริงอันเป็นที่สิ้นสุด, หรือความจริงอันลึกซึ้งเกินที่ปุุถุชนจะรับรู้และเข้าใจในความจริงนี้ได้ เพราะมิได้เกิดจากปัจจัยของสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นจึงไม่มีการดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดก็จางหายไปจากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกรับฟังข้อเท็จจริงเป็นข้อยุติได้ว่าชนวรรณะกษัตริย์แห่งพระราชวงศ์โมริยะ ได้ส่งราชฑูตมาขอส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุจากเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราแต่พระบรมสาริกธาตุได้ถูกแบ่งไปให้พระนครทั้ง ๘ เมืองไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่เพียงพระอังคาร (เถ้ากระดูก) ของศากยมุนีพุทธเจ้า พวกราชฑูตจึงรับพระอังคารไปบูชาที่เมืองของตนต่อไป เมื่อไม่พยานหลักฐานอื่นใดยกข้อความขึ้นมาโต้แย้งหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกให้มีเหตุผลของคำตอบมีข้อพิรุธน่าสงสัยให้ความจริงเป็นอย่างอื่นอีกต่อไปได้ ผู้เขียนเห็นว่าชนวรรณะกษัตริย์แห่งโมริยะได้รับส่วนแบ่งเป็นพระอังคาร (เถ้า) ของศากยมุนีพุทธเจ้าจากพวกมัลละกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราแคว้นมัลลไปจริง
แต่มีประเด็นเกี่ยวกับความจริงของพระนครปิปผลิวันตั้งอยู่ที่ไหน เมื่อผู้ตีความถ้อยคำได้บันทึกในพระไตรปิฎกนั้นได้กล่าวถึง"พวกโมลิยะ"แต่จะมิได้ระบุชื่อว่าใครเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นโมริยะ เมื่อฟังข้อเท็จจริงได้ข้อยุติดังนี้ว่าแคว้นโมริยะมีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยการแบ่งประชาชนเป็นวรรณะ ๔ พวกได้แก่วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพทย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น เมื่อวรรณะของกษัตริย์ทุกคนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ มีหน้าที่ใช้บัญญัติกฎหมายผ่านรัฐสภา มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองประเทศและมีส่วนร่วมในการพิจารณาอรรถคดีทั้งปวง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติเช่นนี้ ผู้เขียนตีความต่อไปได้อีกว่า พวกโมลิยะเป็นวรรณะกษัตริย์นับถือศาสนาพราหมณ์ และอ้างอำนาจแห่งพระพรหมเป็นผู้สร้างประชาชนชาวโมริยะให้อุบัติขึ้นมาเป็นมนุษย์ และบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งประชาชนออกเป็นวรรณะ ๔ ด้วยกัน เพื่อให้มีสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามที่พระพรหมบันดาลไว้ดังนั้นคำว่า"พวกโมลิยะ"นั้นจึงหมายถึงชนวรรณะกษัตริย์แห่งโมลิยะเช่นชนวรรณะแห่งศากยวงศ์เป็นต้น
๑.๓ เมื่อแผนที่โลกกูเกิล (Google Map) และแผนที่โลกชมพูทวีปโบราณไม่ได้ระบุว่าเมืองปิปผลิวันของแคว้นโมริยะตั้งอยู่ที่ไหน ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลกไม่ได้ว่าเมืองปิปผลวันในพระไตรปิฎกตั้งอยู่ที่ไหนของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล เนื่องจากพยานเอกสารในพระไตรปิฎกนั้น ยังมิได้แสดงรายละเอียดในลักษณะของเนื้อหาของรัฐโมริยะนั้นว่า มีพรหมแดนติดต่อกับรัฐใด หลักฐานในพระไตรปิฎกจึงไม่ชัดเจนเพียงพอให้นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และนักปรัชญ์ทางศาสนานำไปทำแผนที่ของพระนครปิปผลิวัน แคว้นโมริยะในสมัยพุทธกาลได้ เมื่อพยานเอกสารชั้นต้นคือพระไตรปิฎกมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตีความให้รู้ว่าเมืองปิปผลิวันตั้งอยู่ที่ใด ผู้เขียนจำเป็นต้องหาข้อมูลในพยานเอกสารอื่น ๆ และพยานวัตถุของโบราณสถานที่สร้างในยุคหลังพุทธกาล เป็นพยานวัตถุเพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบของสถานที่ตั้งอยู่ของพระนครปิปผลิวันกันต่อไปแต่เมื่อข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกที่รับฟังข้อยุติได้ว่ารัฐโมริยะเป็นดินแดนแห่งอธิปไตยที่มีอยู่จริงโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมริยะมีหน้าที่ปกครองแคว้นโมริยะได้ส่งทูตไปขอส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุจากกษัตริย์มัลละ แต่ไม่ได้ส่วนแบ่ง เพราะพระบรมสาริกธาตุถูกแบ่งออกจนหมดเหลือเพียงพระอังคาร (ขึ้เถ้า) ของพระพุทธเจ้าทูตแห่งแคว้นโมริยะ จึงได้พระอังคารนี้ไปและสร้างสถูปบรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้บูชาและฉลองเพื่อระลึกถึงคุณของศากยมุนีพระพุทธเจ้าในบ้านเมืองของตน
๑.๔. Buddha Stupa of Lauriya Nandangarh
สถูปพระพุทธเจ้าเป็นพยานวัตถุที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่เป็นโบราณสถานในพระพุทธศาสนาตั้งอยู่ไกลกันนักจากสถานที่ตั้งของเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช และภายหลังจะมีผู้ตัดแปลงให้สถูปแห่งนี้เป็นสถูปในศาสนาอื่น แต่จากการบันทึกข้อความรายงานจากที่มาของความรู้จากการขุดค้นของเจ้าหน้าที่โบราณคดีชาวอังกฤษในช่วงอังกฤษปกครองนั้น ได้บันทึกการขุดค้น Buddha Stupa of Lauriya Nandangarh [1] รับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่าปี ๒๔๐๔ นักโบราณคดีชาวอังกฤษในยุคสมัยที่อังกฤษปกครองอินเดียนั้น ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากพยานวัตถุที่ได้จากการขุดค้นที่เป็นพยานกระดูกที่เหลือจากการประชุมเพลิงที่บรรจุในสถูปที่เมือง Lauriya Nandangarh แล้วเห็นว่าเป็นสถูปของพระพุทธเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อใช้เป็นที่บรรจุพระอังคาร(เถ้า) ของพระพุทธเจ้าซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่ข้อความจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ ทีฆนิกายมหาวรรค ๓. มหาปรินิพพานสูตรว่าด้วยบูชาพระบรมธาตุและสร้างพระสถูปข้อ๒๓๘กล่าวว่าพวกเจ้าโมลิยะผู้ครองปิปผลวินได้ทรงสดับว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในกรุงกุสินาราจึงทรงทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์จึงควรได้รับส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุบ้างจะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสาริกธาตุ และทำการฉลองพวกเจ้ามัลละผู้ครองนครกุสินาราตอบว่า บัดนี้ไม่มีส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุ พระบรมสาริกธาตุได้แบ่งไปหมดแล้วพวกท่านจำเอาพระอังคาร (เถ้า) ไปจากที่นี้เถิดพวกทูตเหล่านั้นจึงนำเอาพระอังคารไปจากที่นั่น"
เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานเกี่ยวกับที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ข้างต้นนั้น เราได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าเอกอัครราชฑูตแห่งโมริยะได้รับพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้าจากมัลละกษัตริย์แล้วนำไปบรรจุในสถูปที่สร้างขึ้นมาใหม่ในพระนครปิปผลิวันเพื่อ ชาวแคว้นโมลิยะได้เฉลิมฉลองและสักการบูชาเมื่อข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกจึงสอดคล้องต้องกันกับข้อเท็จจริงจากพยานวัตถุในสถูปของพระพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ในที่เมือง Lauriya Nandangarh ที่เซอร์คันนิ่งแฮมนักโบราณคดีชาวอังกฤษได้ขุดค้นจนพบเถ้ากระดูกและถ่านไม้ไหม้ไฟที่ถูกนำมาบรรจุไว้ในสถูปพระพุทธเจ้าแห่งนั้น และเขาเชื่อว่าเป็นพระอังคาร (เถ้า) ของศากยมุนีพระพุทธเจ้าที่ได้รับส่วนแบ่งจากเมืองกุสินาราเมื่อไม่มีข้อความจากพยานเอกสารจากคัมภีร์อื่นใด จะยกเป็นเหตุผลของข้อความขึ้นมาโต้แย้งหักล้างข้อความในพระไตรปิฎก ทำให้เกิดข้อพิรุธสงสัยในคำตอบอีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น