The metaphysics problem of the asceticism of bodhisattva

บทนำ ความหมายของการบำเพ็ญทุกรกิริยา
เมื่อเราได้ยินราวการบำเพ็ญตบะของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน หรือจากการฟังพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานในวันหยุดสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือจากการศึกษานักธรรมจากสำนักเรียนธรรมสนามหลวง หรือจากการศึกษาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทยหรือทั่วโลก นับเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจที่ควรศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มนุษย์เกิดจากปัจจัยร่างกายและจิตใจรวมตัวกันในครรภ์มารดา วิญญาณอาศัยร่างกายเพื่อกลับมาเกิดในโลกมนุษย์และร่างกายอาศัยวิญญาณ เพื่อมาเกิดในโลกมนุษย์ เมื่อผู้ใดยืนยันข้อเท็จจริงใดเป็นความจริง จำเป็นต้องมีหลักฐานมายืนยัน หากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานคนเดียวก็ถือว่าไม่น่าเชื่อถือ และนักปรัชญาไม่ยอมรับว่าเป็นความจริงเพราะพยานคนนั้นอาจมีความคนเห็นแก่ตัว มีอคติต่อผู้อื่นอันเนื่องมาจากจากความเกลียดชัง ความรัก ความกลัว และความไม่รู้ เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น มนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ แล้วสลายไปในอากาศ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมจะหายไปจากสายตามนุษย์ จิตใจของมนุษย์จะรวบรวมอารมณ์เหล่านี้มาเป็นหลักฐานและเก็บไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์เป็นเช่นนั้น เมื่อคนเราเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้นการปรุงแต่งทางจิตนี้เรียกว่ากระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ มนุษย์มีอายตนะภายในเป็นต้นกำเนิดของความรู้ในเรื่องดังกล่าว จึงมีทั้งสิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้โดยตรง และสิ่งที่อยู่เหนือขอบการรับรู้ผ่านอายตนะภายในของมนุษย์ ดังนั้น ตามแนวคิดอภิปรัชญา ความจริงจึงสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทคือ ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นต้น
ข้อเท็จจริง เมื่อเราพิจารณาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เราจะได้ยินข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตร์ทั้งหมด ๑๘ วิชา เพื่อนำความรู้ของพระองค์ทรงใช้ในปกครองอาณาจักรสักกะ ในฐานะพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งเป็นมหาราชา ผู้ทรงปกครองอาณาจักรสักกะ แต่ความรู้ตามหลักสูตรศิลปศาสตร์เป็นเพียงความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตในระดับประสาทสัมผัสของพระองค์เอง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาล ซึ่งเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายวรรณะ เนื่องจากสาเหตุแห่งการสมสู่กับคนต่างวรรณะ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยด้วยศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมายวรรณะในยุคนั้น
พวกจัณฑาลจึงถูกสังคมลงโทษด้วยยการเนรเทศออกจากสังคมตลอดชีวิต ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเมืองใหญ่เช่น เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองเทวทหะ แม้ว่าจะชราภาพ เจ็บป่วยและนอนตายอยู่บนท้องถนน เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงที่มาของเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์เรื่องกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี พวกเขาให้การว่าพระพรหมและอิศวรเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง ทรงสร้างมนุษย์จากพระกายของพระองค์และปุโรหิตยืนยันว่าเคยเห็นพรหม และอิศวรในราชอาณาจักรสักกะทว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงซักถามถึงประวัติความเป็นมาของเทพเจ้าเหล่านั้น เหล่าปุโรหิตก็ไม่สามารถตอบพระองค์ได้ ทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสัยในการมีอยู่ของพรหมและอิศวร ที่ทรงสร้างมนุษย์เป็นต้น
๑. การบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะ เป็นวิธีการแสวงหาสัจธรรม ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ภิกษุ พราหมณ์ ปริพาชก ฤาษีและนักปราชญ์ เชื่อกันว่าเป็นวิธีแห่งความรู้ที่สามารถใช้เป็นแนวทางสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นเป็นหนทางสู่ความรู้และความจริงของชีวิตซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาทุกประการก่อนพระองค์จะตรัสรู้กฎธรรมชาติ ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๒๕ (ฉบับมหาจุฬาฯ) ขุททกนิกาย พุทธวงค์ ๒๕. โคตมพุทธวงค์ ข้อ ๑๖.ว่า เราเห็นนิมิต ๔ ประการจึงทรงพระราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้วได้บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาราชวิทยาลัย พบว่าพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลา ๖ ปี ก่อนที่พระองค์จะทรงยุติการปฏิบัติไป และทรงเลือกวิธีการสุดท้ายคือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานแบบอาณาปานสติ พระองค์ทรงใช้พัฒนาศักยภาพของชีวิตพระองค์ จนพระองค์ตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ทุกคน ที่เป็นไปตามกรรมของอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญทุกรกิริยา แม้จะไม่ใช่แนวทางทางสายกลางในการพัฒนาศักยภาพของตนให้บรรลุถึงความรู้ระดับอภิญญา ๖ ได แต่ก็ควรเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ทุกคน และสามารถใช้เพื่อแก้ไขความทุกข์ต่าง ๆ ในชีวิตได้

๒. ปัญหานี้ต้องการวิเคราะห์เพิ่มเติม : "การบำเพ็ญตบะ" ในพระไตรปิฎกนั้นหมาย ความว่าอย่างไร ? เมื่อผู้เขียนได้ค้นคว้าหาเหตุผลของคำตอบ โดยอ้างอิงจากหลักฐานเอกสารในพจนานุกรมพุทธศาสตรฉบับประมวลศัพท์ของพระพรหมคุณภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)ได้รวบรวมไว้ จึงได้ให้คำนิยามว่า"ทุกรกิริยา" ซึ่งเป็นการกระทำที่ยาก จะกระทำได้ ความพยายามอันยากลำบากนี้ ซึ่งใคร ๆ ก็ทำได้ยาก เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมสูงสุด ด้วยวิธีการทรมานตนเองหลากหลายรูปแบบ เช่น การกลั้นลมหายใจ ปัสสวะและอดอาหาร เป็นต้น การปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติก่อนตรัสรู้ ถือเป็นการบำเพ็ญตบะอันเป็นฝ่ายอัตตกิลมถานุโยค และพระองค์ทรงได้ทรงละทิ้งไป เพราะไม่ได้ประโยชน์อันแท้จริง
จากนิยามนี้ บางคนมองว่าเป็นวิธีการพัฒนาศักยภาพของชีวิตมนุษย์ ปลดปล่อยตนเองจากความยึดติดในชีวิตด้วยความเห็นผิด จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้มนุษย์มีจิตใจที่เป็นอิสระจากร่างกาย ทั้งนี้เพราะสมัยก่อนพุทธกาล ทุกประเทศในสมัยนั้นมีฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีสนับสนุนความเชื่อที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างโดยพระพรหมและแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๔ วรรณะ ทำให้มีสิทธิและหน้าที่ที่ไม่เท่าเทียมกัน ส่งผลให้คนวรรณะสูงมีทัศนะคติที่ผิด จิตเกิดมิจฉาทิฐิเกิดความยึดมั่นถือมั่นในชีวิตของตัวเองว่าดีกว่าชนวรรณะอื่น นำมาซึ่งการดูหมิ่นชนวรรณะอื่น ๆ ที่มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายจารีตมีฐานะทางสังคมต่ำกว่าวรรณะตนเอง เมื่อผู้คนในสังคมมีการเลือกปฏิบัติต่อกันแล้วมีชนส่วนหนึ่งละทิ้งวรรณะตนพากันออกบวช เพื่อแสวงหาวิธีการหลุดพ้นจากความทุกข์ที่สั่งสมอยู่ในจิตด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเชื่อของผู้คนก่อนสมัยพุทธกาลนั้นสมณะหลายตนได้ทรมานร่างกาย เพื่อให้จิตมีอิสระจากกายได้คลายความทุกข์ในชีวิตได้
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ทำการศึกษาหาความรู้และความเป็นจริงด้วยการทดลองทุกวิธีการที่เจ้าลัทธิต่างๆ ในสมัยก่อนได้เปิดสำนักให้ศึกษาวิชาการเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ทดลองปฏิบัติให้ถึงที่สุดของวิธีการสอนของลัทธินั้น ๆ ที่เปิดหลักสูตรสอนเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตแล้ว เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงลงมือปฏิบัติตามแล้ว ได้สั่งสมความรู้ไว้ในจิต และนำความรู้นั้นมาคิดพิจารณาใคร่ครวญตามคำสอนนั้นแล้วเห็นว่าไม่เป็นไป เพื่อตรัสรู้แจ้งแทงตลอดของความทุกข์ได้แล้ว พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเดินทางไปศึกษาต่อที่สำนักใหม่ให้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อไป การบำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นวิธีการปฏิบัติที่นักบวชในสมัยก่อนนิยมปฏิบัติกัน มีตั้งแต่วิธีปฏิบัติหลักสูตรพื้นฐานธรรมดาไปจนถึงขั้นอุกฤษอาการปางตายเกินวิสัยมนุษย์ธรรมดา จะผ่านการทดสอบได้เช่นกัดฟัน กลั้นมลหายใจและอดอาหาร เป็นต้น
การบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยานั้น เป็นวิธีการหนึ่งที่มหาวีระเป็นศาสดาในศาสนาเชนใช้บำเพ็ญเพียรด้วยการอดอาหาร เจ้าชายมหาวีระเกิดในวรรณะกษัตริย์ มีพระนามเดิมชื่อว่าวรรธมานะเป็นพระราช โอรสของพระเจ้าสิทธารถะและพระนางตริศแห่งแคว้นวัชชี เมื่อพระชนมายุได้ ๒๘ พรรษาเกิดเหตุการณ์ ที่ทำให้ชีวิตของพระองค์ทรงเปลื่ยนแปลงไปจากคาดหวังไว้กล่าวชีวิตคือ พระบิดาและพระราชมารดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะทั้งสองพระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยาด้วยความยิ่งยวด เมื่อสวรรณคตไปจะทรงเสด็จสู่โลกสวรรค์ ดังนั้นพระราชบิดาและพระราชมารดาทรงมีศรัทธา ในคำสอนดังกล่าวจึงได้บำเพ็ญเพียรทุกรกิริยาอย่างยิ่งยวด และทรงสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา ทำให้มหาวีระทรงเสียพระทัยมาก จึงทูลขอพระเชษฐาออกบวชเป็นปริพาชก ออกจากเมืองเวสาลีไปและปฏิญญาณตนว่าจะไม่พูดคุยกับใคร
เมื่อครั้งตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วยความตั้งใจว่า จะศึกษาเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เข้าใจชีวิตในความสุขทุกข์ของตัวเอง ในตอนแรกเราก็ศึกษาหลักคำสอนพระพุทธเจ้าในตำราส่วนใหญ่ แค่เป็นการพัฒนาศักยภาพตนเองในการเรียนรู้ แต่สมรรถนะชีวิตด้วยการลงมือปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งต้องอาศัยเวลายาวนานกว่าจะถึงความรู้ระดับอภิญญา๖ การได้มาเห็นสถานที่จริงที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าในการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น ยังจะเกิดประโยชน์แก่เรา ให้เกิดศรัทธาในการศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฎิบัติตามคำสอนให้เกิดความรู้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปทำให้เราเกิดข้อคิดว่าชีวิตมนุษย์นั้นมิได้มีสิ่งใดเป็นของตัวเองได้โดยง่ายเลยต้องผ่านบททดสอบต่าง ๆ ของชีวิตทั้งสิ้น สติจากคิดด้วยปัญญาข้อนี้จะทำให้เราต้องตั้งใจและปฏิบัติยิ่งขึ้นไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น