Introduction: Bodhisattva's asceticism according to Buddhaphumi's Philosophy
บทนำ สถานที่บำเพ็ญทุกรกิริยา
ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับการบำเพ็ญตบะของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ตามหลักปรัชญานั้น ถือเป็นปัญหาอภิปรัชญาที่น่าศึกษา เพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าเราจะศึกษาในมหาวิทยาลัยระดับโลกในสาขาต่าง ๆ เราก็มีปริญญาเพื่อแสดงระดับความรู้และความสามารถในสาขาวิชาเฉพาะของเรา และเป็นที่เคารพนับถือของสาธารณชนทั่วไป ทำให้จิตใจมนุษย์หลงตัวเอง ติดอยู่ในความสำเร็จทางโลกมากกว่าความเป็นจริงของชีวิตนั่นเอง เมื่อมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ พวกเขาจึงเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามคุณค่าของโลกมากกว่าการค้นหาความจริงในชีวิตของตนเอง เมื่อเกิดมา มนุษย์ทุกคนยังไม่มีความรู้ระดับความจริงอันเป็นที่สุด ที่เราเรียกว่า "ความiรู้ระดับปรมัตถ์ ถ้ารู้ความจริงของชีวิตตนเองก็จะคลายความยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ว่าชีวิตเราไม่แน่นอนแค่ไหน ชีวิตของคนอื่นก็ไม่เที่ยงเช่นกัน อย่ายึดติดกับสถานะทางสังคมด้วยการร้องไห้และคร่ำครวญ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในชีวิต และไม่มีใครสามารถแก้ไขความทุกข์ในใจเรานอกจากตัวเราเอง
เมื่อเราศึกษาความเชื่อในศาสนาพราหมณ์จากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ อรรถกถา และบทความวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น เราได้ยินข้อเท็จจริงที่ว่า ทั้งความเชื่อในศาสนาพราหมณ์และปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ แต่มนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ อวัยวะที่เป็นสะพานเชื่อมไปยังเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น มันจะคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วสลายไปในอากาศธาตุ เมื่อมนุษย์รับรู้ถึงสภาวะเหล่านี้แลัวสั่งสมไว้เป็นหลักฐานในจิตใจ เมื่อจิตใจของมนุษย์ได้วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานทางอารมณ์ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น แต่ผลการวิเคราะห์และการรับฟังข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนถึงที่มาของเรื่องนั้น? เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ เราจึงสงสัยข้อเท็จจริงเรื่องนั้น เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งเป็นนักปรัชญาชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ ก็จะสอบสวนหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมให้เพียงพอ เพื่อเข้าสู่วิธีพิจารณาความจริงตามหลักปรัชญา วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงอันเป็นที่สุดในเรื่องที่น่าสงสัยนั้น
ตัวอย่างของความเชื่อในศาสนาพราหมณ์นั้น เพียงฟังข้อเท็จจริงจากพยานคนเดียว ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะเป็นจริง ไม่ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมมาพิสูจน์ความจริงอีก ในส่วนของปรัชญานั้น การรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานเพียงคนเดียวนั้น ไม่น่าเชื่อถือและนักปรัชญาก็ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนั้น ในธรรมชาติของมนุษย์มีองค์ประกอบของชีวิตที่เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจที่ทำให้เกิดชีวิตมนุษย์ใหม่ จิตใจของมนุษย์อาศัยอยู่ในร่างกาย และใช้อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายในการรับรู้ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น และสั่งสมความรู้นี้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์นั้นไว้เป็นข้อมูลในจิตใจ เมื่อมีข้อมูลสั่งสมอยู่ในจิตใจเพียงพอแล้ว ก็สามารถวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นไม่ว่าจริงหรือเท็จ แต่ธรรมชาติของมนุษย์มีอคติต่อผู้อื่น เพราะความเกลียดชัง, ความกลัว, ความหลง, ความโง่เขลา, และมีข้อจำกัดในการรับรู้ได้ไม่เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของตน หรือ เชื้อโรคที่เล็กที่สุด หรือสิ่งที่อยู่ไกลเกินประสาทสัมผัสของมนุษย์ที่จะรับรู้ เป็นต้น
ในยุคเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ พวกพราหมณ์อารยันได้สั่งสอนประชาชนในอนุทวีปอินเดีย เพื่อทราบความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า พระพรหมและพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่ช่วยให้บรรลุความฝันในชีวิต และพราหมณ์ชาวดราวิเดียนสอนว่าแม่น้ำเป็นเทวดาที่ช่วยให้ผู้คนบรรลุความฝันในชีวิตเช่นกัน แม้ว่าคนในอนุทวีปอินเดียจะไม่ได้มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมความรู้เรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทวดาไว้ในใจ แต่พวกเขาเชื่อมั่นในการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทวดา ตามคำสอนผู้ใหญ่ในแคว้นสักกะได้เล่าขานและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ และตกลงที่จะทำพิธีบูชาเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์ด้วยสิ่งของมีค่าต่าง ๆ เพื่อช่วยให้บรรลุความฝันในชีวิต สิ่งของมีค่าต่างๆได้สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้แก่พราหมณ์อารยันและดราวิเดียน แ่ต่ผลประโยชน์จากการบูชาเทพเจ้านั้นมหาศาล ส่งผลให้พราหมณ์อารยันต้องการผูกขาดการบูชาเทพเจ้า เมื่อพราหมณ์อารยันได้รับการแต่งตั้งเป็นปุโรหิต (priesthood) พวกเขาเป็นที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งสักกะในด้านกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี ปุโรหิตก็นำเสนอหลักคำสอนของพราหมณ์ต่อรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะให้เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์และศูทร เป็นต้น หากคนในวรรณะใดฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีเพศสัมพันธ์กับคนจากวรรณะอื่นหรือแต่งงานระหว่างวรรณะ กฎหมายให้อำนาจคนในสังคมลงโทษด้วยการถูกไล่ออกจากที่อยู่อาศัยตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์และพระนครเทวทหะ แม้ในวัยชรา เจ็บป่วย และตายข้างถนน เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และอรรถกถา ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโอรสองค์โต ของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ปกครองแคว้นสักกะ พระองค์ทรงมีสิทธิ และหน้าที่ปกครองประเทศ ตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ทรงประสูติ พระองค์ทรงสำเร็จหลักสูตรศิลปศาสตร์จำนวน ๑๘ วิชา พระองค์ทรงมีเชื้อสายดีจากราชวงศ์ศากยะ เป็นที่รักของพระบิดาพระมารดาและประชาชน เป็นต้น ทรงมีความรู้ดีในกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้การปกครองอาณาจักรสักกะที่เรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม" ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของผู้บริหารในยุคนั้น วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมชาวพระนครกบิลพัสดุ์ และประพาสสวนหลวงที่พระนครกบิลพัสด์ุ พระองค์ทรงเห็นปัญหาจัณฑาลที่ฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีเพศสัมพันธ์กับวรรณะอื่นหรือการแต่งงานข้ามวรรณะ และถูกสังคมลงโทษโดยถูกเนรเทศออกจากสังคมไปตลอดชีวิต และใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ แม้จะอยู่ในวัยชรา เจ็บป่วย และนอนตายข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรเสร็จสิ้น แล้วพระองค์ทรงนำปัญหาจัณฑาล มาพิจารณาเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือจัณฑาล ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน ซึ่งประจักษ์พยานได้แก่พราหมณ์ปุโรหิตได้ยืนยันข้อเท็จจริงต่อเจ้าชายสิทธัตถะว่าพระพรหมและพระอิศวร เป็นผู้สร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์จริง พวกเขาเคยเห็นพรหมและอิศวรในอาณาจักรสักกะมาก่อนที่พระองค์จะประสูติ แต่เมื่อพระองค์ตรัสถามประวัติของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตคนใดตอบได้ พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะโดยทรงเสนอให้ออกกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะในอาณาจักรสักกะต่อรัฐสภาศากยวงศ์ แต่รัฐสภาไม่เห็นชอบเพราะเป็นข้อห้ามตามหลักอปริหานิยธรรม มาตรา ๓ ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณเห็นว่าระบบการเมืองของอาณาจักรสักกะ เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะทั้ง ๓ อำนาจ คืออำนาจในการตรากฎหมาย อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ จึงเป็นอุปสรรคต่อปฏิรูปสังคมของพระองค์เองให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ในการศึกษา อาชีพและการมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นสมณะในขณะ เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฎรในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ทำให้พระองค์ทรงมองเห็นทางออกจากปัญหาของประเทศ เมื่อการมีอยู่ของเทพเจ้า ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย และพระองคควรค้นหาสัจธรรมแห่งชีวิตมนุษย์ต่อไป และกฎหมายรัฐธรรมจารีตประเพณีสูงสุด ก็เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปอาณาจักรสักกะ เมื่อได้ฟังข้อความเห็นแล้ว เขาก็เห็นว่าข้อเท็จจริง ข้อนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด พระองค์ทรงมีจิตเมตตาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความมืดมิดของชีวิต เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยละทิ้งวรรณะกษัตริย์เพื่อผนวช เพื่อศึกษาค้นคว้าหาความจริงชีวิตต่อไป
ปรัชญา&แดนพุทธภูมิ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น