Epistemological Problems regarding " life after death in Tripitaka.

๑.บทนำชีวิตหลังความตายในพระไตรปิฎก
โดยทั่วไป มนุษย์ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เป็นกฎธรรมชาติที่มนุษย์รับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องนี้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจมาช้านาน อย่างไรก็ตาม ตามกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้น มนุษย์ไม่เพียงมีหน้าที่รับรู้ และเก็บข้อมูลทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีธรรมชาติของชีวิตเป็นนนักคิดอีกด้วยเมื่อมนุษย์มีข้อมูลทางอารมณ์อยู่ในจิตใจ ชีวิตมนุษย์ก็จะคิดจากข้อมูลเหล่านี้ และอธิบายความคิดของตนเองอยู่ในจิตใจนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเรื่อง "มนุษย์เกิดมาต้องตาย" ความเป็นมนุษย์ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผลแตกต่างจากสัตว์ทั่วไป
มนุษย์ก็สงสัยความจริงว่ามนุษย์มีความเป็นมาอย่างไร ? ในเรื่องนี้ในสมัยก่อนพุทธกาล พราหมณ์บางคนเป็นนักปรัชญาและนักตรรกะ แสดงธรรม (ความจริง) เกี่ยวกับมนุษย์ตามปฏิภาณของตนเอง ด้วยการให้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของตนเองว่า พระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากร่างของพระองค์เอง เทพเจ้าเหล่านี้นอกจากมีคุณต่อมนุษย์ และยังช่วยมนุษย์บรรลุความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาได้ เพียงบูชายัญด้วยของมีค่าต่าง ๆ ผ่านการทำพิธีบูชายัญของพราหมณ์อารยันเท่านั้น
การศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเรื่องความจริงของชีวิต มนุษย์ตายแล้วสูญสิ้นในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ตามหลักวิชาการทางปรัชญา เมื่อบุคคลใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด ? จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ ถ้าไม่มีหลักฐานใด มาพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น นักปรัชญาจะถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานเพียงคนเดียวนั้นไม่น่าเชื่อถือ และไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงว่าเป็นความจริงได้ โดยทั่วไป เพราะมนุษย์ชอบอคติต่อกันด้วยความลำเอียงจากความเกลียดชัง ความรักใคร่ชอบพอ ความกลัว และความโง่เขลา และมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ ในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ทำให้ประจักษ์พยาน (eyewitness) เป็นต้น
เมื่ออภิปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ ซึ่งเป็นความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ และข้อพิสูจน์ความจริงของเทพเจ้าในยุคอินเดียโบราณ ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมต่อกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและคนอื่นตลอดเวลา มนุษยจำเป็นต้องเรียนรู้ประการณ์ชีวิตเหล่านั้นตลอดชีวิตของตนเอง ดังนั้นความจริงทางอภิปรัชญาเมื่อเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ตลอดชีวิต จึงแบ่งออกเป็น ๒ ประการกล่าวคือ
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality) โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์เอง อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเพียงช่วงระยเวลาสั้น ๆ แล้วก็หายไปในอากาศ แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของเขา ตัวอย่างของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวในพม่า พายุเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ น้ำท่วมทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นต้น เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งและสลายไป และมนุษย์สามารถรู้ได้ด้วยอายตนะภายในร่างกายนั้น ถือว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้นโดยมนุษย์
ตัวอย่างเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์ที่นักเรียนยิงกันในโรงเรียนในต่างประเทศ นักท่องเทียวเหยียบกันตายในสถานเริงรมย์ในต่างประเทศ หลอกกันเล่นแชร์ จนเกิดความเสียหายนับสิบล้านบาท เป็นต้น เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้สิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็จะเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ของเหตุการณ์ทางสังคมเหล่านั้น ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์ไม่เพียงรับรู้และเก็บหลักฐานต่าง ๆ เท่านั้น แต่ชีวิตมนุษย์ยังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้สิ่งไหน จิตใจของมนุษย์ก็จะคิดจากสิ่งนั้น เป็นต้น
เมื่อธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์ชอบปรุงแต่ง (คืด) จากหลักฐานทางอารมณ์ต่าง ๆ โดยวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอนุมานความรู้หรือการคาดคะเนความจริง ตามหลักเหตุผล เมื่อความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไปในอากาศ ถือว่าเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัส และสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้จึงถือว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้น
ตัวอย่างเช่น อาณาจักรสุโขทัย เป็นชุมชนการเมืองที่ชาวสุโขมัยตั้งขึ้นโดยรวมตัวกันเพื่อก่อตั้งรัฐอิสระ ที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ภายใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ชาวสุโขทัยเชื่อในคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท อาณาจักรนี้ดำรงเอกราชเป็นเวลาหลายร้อยปี อาณาจักรสุโขทัยถูกทำลายไปและเสื่อมสลายตามกฎธรรมชาติเพราะอาณาจักรอยุธยายึดอำนาจอธิปไตยไปเป็นของตนเอง
พระอานนท์รับรู้เรื่องราวของเจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติที่สวนลุมพินี ตั้งอยู่ในอาณาจักรสักกะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต และตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์โดยชอบด้วยพระองค์เอง และเรียกพระโพธิสัตว์สิทธัตถะว่า "พระพุทธเจ้า" พระองค์ดำรงสภาวะของความเป็มนุษย์อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง และถึงเวลาชีวิตของพระองค์ทรงเสื่อมสลายไปในอากาศ และเลือนหายไปจากสายตาของมนุษย์
ดังนั้น พระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมา ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ชั่วระยะเวลา ๘๐ ปี แล้วก็ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าก็เสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาถือได้ว่าการดำรงพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า จึงถือเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์เจ้าชายสิทธัตถจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ (ultimate truth) คือความจริงอันเป็นที่สุดหรือความจริงที่ลึกซึ้งที่สุดยากที่ปุถุชนจะหยั่งรู้ได้ เป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภาย ในร่างกายของมนุษย์
โดยทั่วไป มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ความจริงสูงสุดได้ด้วยตนเอง เนื่องจากอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์มีความสามารถจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ มนุษย์ยังมีอคติต่อผู้อื่น เพราะความเกลียดชัง, ความรักใคร่ ความกลัว ความโง่เขลา ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในความมืดมิด เพราะขาดปัญญาเข้าใจความจริงของเรื่องต่าง ๆ ได้ จึงไม่สามารถคิดโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่อธิบายควาามจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่เิกดขึ้นในชีวิตได้

แม้ยุคปัจจุบันเป็นยุคของวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างเเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ แต่ก็ยังไม่หลักฐานที่ยืนยันว่านักวิทยาศาสตร์ไได้ค้นพบความรู้ซึ่งเป็นนความจริงขั้นปรมัตถ์ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ได้อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้พบหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงได้พัฒนาศักยภาพของพระองค์ด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเวลาหลายปี จนกว่าพระองค์ทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในระดับอภิญญา๖ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นความรู้อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ เช่นสภาวะนิพพานของมนุษย์ ผู้ยั่งรู้ความจริงข้นปรมัตถ์ได้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น
ในปัจจุบัน แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้ก็ตาม เพื่อช่วยให้มนุษย์ศึกษา ค้นคว้าและแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเชื้อโรคหลายชนิด โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พวกเขาจึงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้ว จิตใจของมนุษย์จะเป็นฝ่ายคิดโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล ตามหลักฐานที่อยู่ จิตใจของจะใช้ผลของการวเคราะห์นั้น มาวินิจฉัยและพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการรักษาโรคต่าง ๆ กับผู้อื่นต่อไป เป็นต้น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย
ในการเขียนบทความนี้ มีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าชีวิตนั้น ตายแล้วสูญสิ้นหรือไม่ เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และพระไตรปิฎกฉบับหลวง ได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยก่อนพุทธกาล ชาวโกฬิยะมีทั้งเชื้อสายอารยันและดราวิเดียน อาศัยอยู่ในอาณาจักรโกฬิยะ มีพระเจ้าโอกกากราชทรง เป็นมหาราชา ผู้ปกครองอาณาจักรโกฬิยะ ชาวโกฬิยะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันว่า พระพรหม พระอิศวร และพระอินทร์ สามารถช่วยมนุษยชาติให้ประสบความสำเร็จในชีวิตและลงโทษมนุษย์ได้ เพียงแต่ทำพิธีบูชายัญกับของพราหมณ์อารยันเท่านั้น ส่วนชาวดราวิเดียนเชื่อว่าน้ำเป็นเทวดา เมื่อชาวโกฬิยะเชื่อว่าเทพเจ้าและเทวดามีอยู่จริง ในยามยากลำบากในชีวิต พวกเขาจะไปสักการะเทพเจ้ากับพราหมณ์ที่นับถือจนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน พวกพราหมณ์จึงมีรายได้จากการบูชาเทพเจ้ามีมูลค่ามหาศาล หากมหาราชเจ้าเมืองใดทำพิธีบูชายัญกับพราหมณ์สำนักใด และเกิดความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะเกิดศรัทธาและแต่งตั้งพราหมณ์นั้น เป็นปุโรหิตมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในด้านนิติศาสตร์ขนบธรรมประเพณี และนโยบายทางการเมืองของประเทศนั้น เมื่อปุโรหิตต้องการผูกขาดการทำพิธีบูชายัญเพียงฝ่ายเดียวจึงหาทางจำกัดหน้าที่พรามหณ์ดราวิเดียน โดยถวายคำแนะนำให้วรรณะกษัตริย์ออกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งผู้คนเป็น ๔ วรรณะเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการบูชายัญและการประกอบอาชีพ เป็นต้น เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะไว้ดีแล้ว ย่อมยกเลิกไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองอาณาจักรสักกะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงเห็นปัญหาจัณฑาลซึ่งถูกลงโทษตลอดชีวิตโดยถูกคนในสังคมขับไล่ออกจากถิ่นพำนัก ต้องใชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์แม้จะอยู่ในวัยชรา ป่วยและตายข้างถนน เป็นต้น

ปัญหาต้องวิเคราะห์ต่อไปอีกว่าเราจะได้อย่างไรชีวิตตายแล้วสูญ ตามแนวคิดทางญาณวิทยานั้น มีแนวคิดว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์มนุษย์ต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของตนได้เท่านั้น จึงถือว่าความรู้ในเรื่องนั้น เป็นความจริง หากความรู้ใดไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองแล้ว ถือว่าเป็นที่เป็นเท็จในเรื่องนั้น ของตนชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่ตายแล้วสูญใช่หรือไม่ มีเหตุผลของคำตอบเพียงใด
๑.ทฤษฎีว่าด้วยความรู้ว่าด้วยความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย
ในแนวคิดทฤษฎีความรู้เชิงประจักษ์นิยมนั้นมีแนวคิดว่า " สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอยู่จริงต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น" จากทฤษฎีความรู้นั้น ผู้เขียนตีความได้ความรู้ใดจะมีอยู่จริงมิใช่ความรู้ที่เป็นเท็จ มนุษย์ต้องรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่มีอยู่จริงตัวอย่างเช่นความตายของคนนั้นมนุษย์รับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสว่าเป็นความจริง มีปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่าชีวิตมนุษย์ตายแล้วสูญหรือไม่มีเหตุผลเพียงใดในยามมีผู้เสียชีวิตลงไปด้วยสาเหตุต่าง ๆ นั้นคนธรรมดาทั่วไปนั้นไม่เคยมีใครเห็นผ่านประสาทสัมผัสของตนเห็นจิตวิญญาณของคนตายออกจากร่างกายไปสู่ภพภูมิอื่นแต่อย่างใด เพราะเป็นความรู้เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ได้ ทำให้มนุษย์หลายคนไม่เชื่อว่า วิญญาณเป็นสิ่งมีอยู่จริงเมื่อระลึกถึงข้อเท็จจริงได้เช่นนี้ คนทั่วไปวิเคราะห์ข้อมูลหาเหตุผลของคำตอบนั้น คนส่วนใหญ่นั้นมักจะตอบว่า"ชีวิตตายแล้วสูญเท่านั้น"เพราะเมื่อเผาศพคนตายไหม้ไปจนหมดสิ้นแล้วเหลือแต่ขึ้เถ้ากระดูกเท่านั้นดังนั้นตามทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมแล้วผู้เขียนเห็นว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนตายแล้วสูญเพราะไม่มีใครเห็นผ่านประสาทสัมผัสตนว่าวิญญาณออกจากร่างไปสู่ภพอื่นแต่อย่างใด
๒. ลัทธิของครูปูรณะ กัสสปะ เมื่อผู้เขียนศึกษาค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑ ฉบับมหาจุฬา ฯ ฑีฆนิกายสีลขันธวรรคสามัญผล ลัทธิของครูปูรณ กัสสป ข้อ [๑๖๖] "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามอย่างนี้ ครูปูรณะ กัสสปะ ตอบว่า "มหาบพิตร เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเองใช้ให้ผู้อื่นตัดเบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำให้โศกเศร้าเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เศร้าโศก ทำให้ลำบากเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้ลำบาก ดิ้นรนเองใช้ให้ผู้อื่นทำให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ตัดช่องเบา ปล้น ทำโจรกรรมในบ้านหลังเดียว ดักซุ่มในทางเปลี่ยว เป็นชู้ พูดเท็จ ผู้ทำ(ทำเช่นนั้น) ก็ไม่จัดว่าทำบาป แม้หากบุคคลใช้จักรมีคมดุจมีดโกนสังหารสัตว์เหล่าในปฐพีนั้น ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปฝั่งขวาแม่น้ำคงคาฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้เบียดเบียน เขาย่อมไม่มีบาปเกิดจากกรรมนั้น ไม่มีบาปมาถึงเขา...."

๓. แนวคิดของอชิตะเกสกัมพล เมื่อผู้เขียนศึกษาค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ]ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๓.สามัญญผลสูตรลัทธิที่ถือว่าอัตตาตายแล้วแล้วขาดสูญข้อ [๑๗๑] "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามอย่างนี้ ครูอชิตะ เกสกัมพลตอบว่า "มหาบพิตร ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญบูชาแล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงก็ไม่มีผล ผลแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สัตว์ที่เกิดผุดขึ้นก็ไม่มี สมณพรหามณ์ผู้ประพฤติชอบทำให้แจ้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้งก็ไม่มีในโลก มนุษย์คือที่ประชุมแห่งมหาภูตรูป ๔ เมื่อสิ้นชีวิตธาตุดินไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมผันแปรไปเป็นอากาศธาตุ มนุษย์มีเตียงนอนเป็นที่ ๕ นำศพไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้ากลายเป็นกระดูกขาวโพลนดุจสีนกพิราบการเซ่นสรวงสิ้นสุดลงแค่เถ้าถ่านคนเขลาบัญญัติทานนี้ไว้คำที่คนบางพวกย้ำว่ามีผลนั้นว่างเปล่า เป็นเท็จไร้สาระ เมื่อสิ้นชีวิตไม่ว่าคนเขลา หรือคนฉลาดย่อมขาดสูญไม่เกิดอีก"

๔. ครูมักขลิโคสาล มีมโนคติเกี่ยวกับแก่นแท้ของชีวิตว่าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ดังปรากฏพยานหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกฉบับที่ ๘ พระสุตันตปิฎกเล่มที่๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๓.สามัญญผลสูตร ลัทธิครูมักขลิโคสาล [๑๖๘] ......ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเศร้าหมองเอง ความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายบริสุทธิ์เอง ไม่ใช่เพราะการกระทำของตน มิใช่เพราะการกระทำของผู้อื่นไม่ใช่เพราะการกระทำของมนุษย์ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีความสามารถของมนุษย์ ไม่มีความพยายามของมนุษย์...

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น