The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563

ปัญหาอภิปรัชญาเเรื่อง"ชีวิตหลังความตาย" ในพระไตรปิฎก

Epistemological Problems regarding   " life after dead in Tripitaka.

 บทนำชีวิตหลังความตายในพระไตรปิฎก

        โดยทั่วไป  มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องตาย ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของชีวิตมนุษย์ตายแล้วสูญสิ้นในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ตามหลักวิชาการทางปรัชญา เมื่อบุคคลใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด? จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ ถ้าไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น นักปรัชญาถือข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากประจักษ์พยานเพียงคนเดียวนั้นไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงว่าเป็นความจริงได้ โดยทั่วไป เพราะมนุษย์ชอบอคติต่อกันด้วยความลำเอียงจากความเกลียดชัง, ความรักใคร่ชอบพอ, ความกลัวและความโง่เขลา และมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ ในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ทำให้ประจักษ์พยาน (eyewitness)  เป็นต้น เมื่ออภิปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ ซึ่งเป็นความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ และข้อพิสูจน์ความจริงของเทพเจ้าในยุคอินเดียโบราณ ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์  เมื่อมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมต่อกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและคนอื่นตลอดเวลา  มนุษยจำเป็นต้องเรียนรู้ประการณ์ชีวิตเหล่านั้นตลอดชีวิตของตนเอง  ดังนั้นความจริงทางอภิปรัชญาเมื่อเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ตลอดชีวิต จึงแบ่งออกเป็น ๒ ประการกล่าวคือ 

       ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality)  โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์เอง อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เป็นสภาวะตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  และเสื่อมสลายไปในอากาศธาตุ  แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านั้นจะเลือนหายไปจากสายตาของมนุษย์ จิตของมนุษย์สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้อวัยวะอินทรีย์ท้ง ๖ในร่างกายของเขา ตัวอย่างของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหวในพม่า  พายุเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ น้ำท่วมทางภาคใต้ของประเทศไทย  ตัวอย่างเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์ที่นักเรียนยิงกันในโรงเรียน, นักท่องเทียวเหยียบกันตายในสถานเริงรมย์ในต่างประเทศ,  หลอกกันเล่นแชรืจนเกิดความเสียหายนับสิบล้านบาท เป็นต้น   เมื่อจิตรับรู้เหตุการณ์เหล่านั้น ก็จะดึงดูดอารมณ์เหล่านั้น เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง  แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์เป็นผู้คิด   เมื่อรู้จากสิ่งไหนก็คิดจากสิ่งนั้น  เมื่อมีหลักฐานทางอารมณ์อยู่ในจิตใจ ก็จะคิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้น  ตัวอย่างเช่นมนุษย์รับรู้เรื่องราวของมนุษย์ว่าเกิดมาต้องตายกันทุกคน เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น  ดำรงสภาวะของความเป็มนุษย์อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง  และถึงเวลาชีวิตมนุษย์ก็เสื่อมสลายไปในอากาศธาตุ และเลือนหายไปจากสายตาของมนุษย์  ดังนั้นตามหลักวิชการทางปรัชญาจึงถือว่าความรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของมนุษย์เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ จึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น  เป็นต้น   

          ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์  (ultimate truth) คือความจริงอันเป็นที่สุดหรือความจริงที่ลึกซึ้งที่สุดยากที่ปุถุชนจะหยั่งรู้ได้ เป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์  โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรับรู้อันเป็นที่สุดได้ด้วยตนเอง  เพราะอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมและเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิด    นอกจากนี้มนุษย์ชอบมีอคติต่อผู้อื่นเพราะความเลียดชัง,  ความรักใคร่, ความกลัว, ความโง่เขลา  ทำให้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในความมืดมิด เป็นต้น   แม้ยุคปัจจุบันเป็นยุคของวิทยาศาสตร์ 

         ตามแนวคิดญาณวิทยา นักปรัชญาได้สร้างทฤษฎีความรู้เชิงประจักษ์ขึ้นมาโดยกำหนดว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ ต้องเป็นความรู้จากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น จึงจะถือว่าบุคคลนั้นเป็นพยานบุคคลให้การยืนยันความจริงในเรื่องนั้นได้ ตามทฤษฎีความรู้ข้างต้น ผู้เขียนตีความได้ว่า  บุคคลที่สามารถเป็นพยานเกี่ยวกับชีวิตตายแล้วสูญไป จะต้องมีความรู้ผ่านประสาทสัมผัสของตนเองได้  จึงจะเป็นพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือและสามารถให้การยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้   นการเขียนบทความนี้ มีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าชีวิตนั้น ตายแล้วสูญสิ้นหรือไม่ 

         เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และพระไตรปิฎกฉบับหลวง ได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยก่อนพุทธกาล  ชาวโกฬิยะมีทั้งเชื้อสายอารยันและดราวิเดียน อาศัยอยู่ในอาณาจักรโกฬิยะ มีพระเจ้าโอกกากราชทรง เป็นมหาราชา ผู้ปกครองอาณาจักรโกฬิยะ ชาวโกฬิยะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันว่า พระพรหม พระอิศวร และพระอินทร์ สามารถช่วยมนุษยชาติให้ประสบความสำเร็จในชีวิตและลงโทษมนุษย์ได้ เพียงแต่ทำพิธีบูชายัญกับของพราหมณ์อารยันเท่านั้น ส่วนชาวดราวิเดียนเชื่อว่าน้ำเป็นเทวดา เมื่อชาวโกฬิยะเชื่อว่าเทพเจ้าและเทวดามีอยู่จริง  ในยามยากลำบากในชีวิต พวกเขาจะไปสักการะเทพเจ้ากับพราหมณ์ที่นับถือจนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน พวกพราหมณ์จึงมีรายได้จากการบูชาเทพเจ้ามีมูลค่ามหาศาล หากมหาราชเจ้าเมืองใดทำพิธีบูชายัญกับพราหมณ์สำนักใด และเกิดความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะเกิดศรัทธาและแต่งตั้งพราหมณ์นั้น เป็นปุโรหิตมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในด้านนิติศาสตร์ขนบธรรมประเพณี และนโยบายทางการเมืองของประเทศนั้น เมื่อปุโรหิตต้องการผูกขาดการทำพิธีบูชายัญเพียงฝ่ายเดียวจึงหาทางจำกัดหน้าที่พรามหณ์ดราวิเดียน โดยถวายคำแนะนำให้วรรณะกษัตริย์ออกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งผู้คนเป็น ๔ วรรณะเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการบูชายัญและการประกอบอาชีพ เป็นต้น เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะไว้ดีแล้ว ย่อมยกเลิกไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองอาณาจักรสักกะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงเห็นปัญหาจัณฑาลซึ่งถูกลงโทษตลอดชีวิตโดยถูกคนในสังคมขับไล่ออกจากถิ่นพำนัก ต้องใชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์แม้จะอยู่ในวัยชรา ป่วยและตายข้างถนน เป็นต้น       

        ปัญหาต้องวิเคราะห์ต่อไปอีกว่าเราจะได้อย่างไรชีวิตตายแล้วสูญ ตามแนวคิดทางญาณวิทยานั้น มีแนวคิดว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์มนุษย์ต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของตนได้เท่านั้น จึงถือว่าความรู้ในเรื่องนั้น เป็นความจริง หากความรู้ใด ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองแล้ว ถือว่าเป็นที่เป็นเท็จในเรื่องนั้น ของตนชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่ตายแล้วสูญใช่หรือไม่ มีเหตุผลของคำตอบเพียงใด

๑.ทฤษฎีว่าด้วยความรู้ว่าด้วยความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย 

        ในแนวคิดทฤษฎีความรู้เชิงประจักษ์นิยมนั้นมีแนวคิดว่า " สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอยู่จริงต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น"จากทฤษฎีความรู้นั้น ผู้เขียนตีความได้ความรู้ใดจะมีอยู่จริงมิใช่ความรู้ที่เป็นเท็จ มนุษย์ต้องรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่มีอยู่จริงตัวอย่างเช่นความตายของคนนั้นมนุษย์รับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสว่าเป็นความจริง มีปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่าชีวิตมนุษย์ตายแล้วสูญหรือไม่มีเหตุผลเพียงใดในยามมีผู้เสียชีวิตลงไปด้วยสาเหตุต่าง ๆ นั้นคนธรรมดาทั่วไปนั้นไม่เคยมีใครเห็นผ่านประสาทสัมผัสของตนเห็นจิตวิญญาณของคนตายออกจากร่างกายไปสู่ภพภูมิอื่นแต่อย่างใด เพราะเป็นความรู้เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ได้ ทำให้มนุษย์หลายคนไม่เชื่อว่า วิญญาณเป็นสิ่งมีอยู่จริงเมื่อระลึกถึงข้อเท็จจริงได้เช่นนี้ คนทั่วไปวิเคราะห์ข้อมูลหาเหตุผลของคำตอบนั้น คนส่วนใหญ่นั้นมักจะตอบว่า"ชีวิตตายแล้วสูญเท่านั้น"เพราะเมื่อเผาศพคนตายไหม้ไปจนหมดสิ้นแล้วเหลือแต่ขึ้เถ้ากระดูกเท่านั้นดังนั้นตามทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมแล้วผู้เขียนเห็นว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนตายแล้วสูญเพราะไม่มีใครเห็นผ่านประสาทสัมผัสตนว่าวิญญาณออกจากร่างไปสู่ภพอื่นแต่อย่างใด  

๒. ลัทธิของครูปูรณะ กัสสปะ  เมื่อผู้เขียนศึกษาค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑ ฉบับมหาจุฬา ฯ ฑีฆนิกายสีลขันธวรรคสามัญผล  ลัทธิของครูปูรณ กัสสป ข้อ [๑๖๖]  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามอย่างนี้ ครูปูรณะ กัสสปะ ตอบว่า "มหาบพิตร เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเองใช้ให้ผู้อื่นตัดเบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำให้โศกเศร้าเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เศร้าโศก ทำให้ลำบากเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้ลำบาก ดิ้นรนเองใช้ให้ผู้อื่นทำให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์  ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ตัดช่องเบา ปล้น ทำโจรกรรมในบ้านหลังเดียว ดักซุ่มในทางเปลี่ยว เป็นชู้ พูดเท็จ ผู้ทำ(ทำเช่นนั้น) ก็ไม่จัดว่าทำบาป  แม้หากบุคคลใช้จักรมีคมดุจมีดโกนสังหารสัตว์เหล่าในปฐพีนั้น  ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปฝั่งขวาแม่น้ำคงคาฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้เบียดเบียน เขาย่อมไม่มีบาปเกิดจากกรรมนั้น ไม่มีบาปมาถึงเขา...."
    

 จากแนวคิดของปูรณกัสสป ดังกล่าวเราวิเคราะห์ได้ว่าแนวคิดของครูปูรณ กัสสปะนั้น การทำบาปด้วยการฆ่า การลักทรัพย์ เป็นชู้ พูดเท็จไม่จัดว่าเป็นบาปเป็นความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฐิ เพราะคิดว่าบาปกรรมจะไม่มาถึงเขา มูลเหตุทำให้เขามีแนวคิดเช่นนั้นเป็นเพราะชีวิตเขา ยังไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพตัวเองขึ้นมาด้วยการฝึกฝนจิตวิญญาณด้วยการทำสมาธิ จนจิตมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องและปราศจากกิเลสความเศร้าหมองมีจิตใจอ่อนโยนเหมาะแก่การทำงาน มีความมั่นคงไม่ไหวั่นไหวในภัยในวัฏสงสารที่มาผัสสะตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าเขามีแนวคิดว่าชีวิตมนุษย์ตายสูญไม่มีเหลืออีกต่อไปกายกรรมที่แสดงออกไปเบียดเบียนผู้อื่นด้วยการฆ่าผู้ตายก็ดี ทำร้ายผู้อื่นตายก็ดี ลักทรัพย์ผู้อื่นก็ดี แย่งคู่ครองผู้อื่นก็ดี การพูดจาเยาะเย้ย ถากถางผู้อื่นก็ดี ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกรรมแก่ผู้กระทำแต่อย่างใด ในทัศนะส่วนของผู้เขียนถือว่าแนวคิดของปูรณกัสสปเป็นแนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ  เป็นต้น 

๓.  แนวคิดของอชิตะเกสกัมพล  เมื่อผู้เขียนศึกษาค้นคว้าหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ]ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๓.สามัญญผลสูตรลัทธิที่ถือว่าอัตตาตายแล้วแล้วขาดสูญข้อ [๑๗๑] "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามอย่างนี้ ครูอชิตะ เกสกัมพลตอบว่า "มหาบพิตร ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญบูชาแล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงก็ไม่มีผล ผลแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สัตว์ที่เกิดผุดขึ้นก็ไม่มี สมณพรหามณ์ผู้ประพฤติชอบทำให้แจ้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้งก็ไม่มีในโลก มนุษย์คือที่ประชุมแห่งมหาภูตรูป ๔ เมื่อสิ้นชีวิตธาตุดินไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมผันแปรไปเป็นอากาศธาตุ มนุษย์มีเตียงนอนเป็นที่ ๕ นำศพไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้ากลายเป็นกระดูกขาวโพลนดุจสีนกพิราบการเซ่นสรวงสิ้นสุดลงแค่เถ้าถ่านคนเขลาบัญญัติทานนี้ไว้คำที่คนบางพวกย้ำว่ามีผลนั้นว่างเปล่า   เป็นเท็จไร้สาระ เมื่อสิ้นชีวิตไม่ว่าคนเขลา หรือคนฉลาดย่อมขาดสูญไม่เกิดอีก" 
                

        เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากข้อความในพระไตรปิฎกนั้น รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้ว่า อชิตะเกสกัมพล มีแนวคิดชีวิตมนุษย์ว่ากรรมใดที่ทำไปแล้วไม่ว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่ผลอันใดตามมา เมื่อสิ้นชีวิตลงไปแล้วย่อมขาดสูญไม่เกิดอีก เมื่อไม่พยานหลักฐานอื่นใดยกข้อความขึ้นโต้แย้งหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกว่า อชิตะเกสกัมพล  มีแนวคิดเป็นอย่างอื่นให้เกิดข้อพิรุธสงสัยในความจริงอีกต่อไป  ผู้เขียนเห็นว่า แนวคิดทางอภิปรัชญาของอชิตะ เกสกัมพลนั้นว่า ด้วยสาระอันเป็นแก่นแท้ของชีวิตนั้น ชีวิตมนุษย์ตายแล้วสูญเพราะเขาไม่เคยรับรู้วิญญาณอันเป็นชีวิตหลังความตายนั้นเอง   

๔. ครูมักขลิโคสาล มีมโนคติเกี่ยวกับแก่นแท้ของชีวิตว่าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ดังปรากฏพยานหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกฉบับที่ ๘ พระสุตันตปิฎกเล่มที่๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๓.สามัญญผลสูตร ลัทธิครูมักขลิโคสาล  [๑๖๘] ......ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเศร้าหมองเอง ความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายบริสุทธิ์เอง ไม่ใช่เพราะการกระทำของตน มิใช่เพราะการกระทำของผู้อื่นไม่ใช่เพราะการกระทำของมนุษย์ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีความสามารถของมนุษย์ ไม่มีความพยายามของมนุษย์...

                  เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลของแนวคิดของครูมักขลิ โคสาลจากที่ของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ รับฟังได้เป็นข้อยุติว่า แนวคิดของของครูมักขลิ โคสาล มีแนวคิดว่า ชีวิตไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยให้มนุษย์กำเนิดขึ้นมาเอง  ความตายก็เช่นเดียวกัน ก็ตายเองไม่มีเหตุปัจจัยแต่อย่างใด เท่ากับยอมรับว่าชีวิตตายแล้วสูญเองจากพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกที่กล่าวมาแล้วต้นนั้น สาระอันเป็นแก่นแท้ชีวิตตามแนวคิดของเจ้าลัทธิที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นรับฟังได้ว่า เป็นความรู้ในระดับประสาทสัมผัสเท่านั้นที่จรเข้ามาสู่ชีวิตของเจ้าลัทธิแต่ละคน และคิดหาเหตุผลจากข้อมูลที่มาผัสสะเท่านั้น ความรู้อธิบายเรื่องชีวิตมนุษย์แก่นแท้อันเป็นสาระสำคัญของชีวิต จึงได้จากประสาทสัมผัสเท่า นั้น เหตุผลของคำตอบยังมีข้อพิรุธให้เกิดสงสัยแก่พระเจ้าอชาตศัตรู ทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าลัทธิทั้ง ๖ นั้นชีวิตยังไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพให้บรรลุถึงความรู้เหนือประสาทสัมผัสขึ้นไป ที่เรียกว่า "อภิญญา ๖ " ย่อมมองไม่เห็นถึงความเป็นไปของวัฏจักรของชีวิตตน  ตัวอย่างเช่นเมื่อเห็นคนตายลงไป ผู้ยังไม่รับการพัฒนาศักยภาพของชีวิตจึงมองไม่เห็นจิตวิญญาณออกจากร่างไปจุติจิตในภพภูมิอื่นได้ เพราะไม่ได้พัฒนาศักยภาพของชีวิตบรรลุถึงความรู้ในระดับจุตูปปาตญาณได้ คนปุถุชนเหล่านี้มีความเชื่อว่าชีวิตตายแล้วสูญไม่เหลือสิ่งอื่นใดอีกต่อไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ