The Epistemological problem is that the Sakka state is religious in the Tripitakaสารบาญ ๑.บทนำ ๒.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ๒.๑ ที่มาของความรู้ของมนุษย์ ๒.๒ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์ ๒.๓ วิธีพิจารณาความจริง ๒.๔ ความสมเหตุสมผลของความรู้๓. การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง๔. บทสรุปผลการวิจัย
๑.บทนำ
โดยทั่วไป ชาวพุทธทั่วโลกมักได้ยินความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ จากพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานในวันธัมมสวนะซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาแล้วชาวพุทธทั่วโลกต่างยอมรับความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะโดยปริยาย โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับความจริงของอาณาจักรสักกะอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เมื่อได้ฟังความจริงจากเรื่องราว ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เช่น มนุษย์ โลก และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้โดยอาศัยตรรกะของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลของนักตรรกะและนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้้งใช้เหตุผลอย่างไท่ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนี้หรือในลักษณะเป็นอย่างนั้น เป็นต้น เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน พระองค์ไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริงและปฏิเสขว่ามันเป็นความรู้ที่แท้จริงของเรื่องนั้น
เมื่อความคิดเห็นของนักตรรกะ นักปรัชญาในสมัยพุทธกาลถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้รับฟังข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่เล่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เราไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยข้อเท็จจริงเหล่านั้นเสียก่อน จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อเรามีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราก็สามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของนั้น ๆ อย่างมีเหตุผล
การฟังข้อเท็จจริงจากพยานเพียงคนเดียวนั้นโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเพราะโดยทั่วไปแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีความคิดที่แนวโน้มลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงถูกหักล้าง พยานคนนั้นอาจยื่นยันข้อเท็จจริงนั้น เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานต่าง ๆ จึงเป็นที่น่าสงสัยและไม่น่าเชื่อถือ วิญญูชนจะไม่ยอมรับว่าคำให้การดังกล่าวเป็นความจริงได้
๒.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ?
เนื่องจากความรู้ทางปรัชญาเป็นของมนุษย์ ซึ่งถูกเรียกว่า "นักปรัชญา" แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอาตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างจำกัด และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความเกลียดชังและความรัก สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้เหตุผลเพื่อแยกแยะความจริงหรือความเท็จ นำไปสู่การตัดใจที่ผิดพลาด พวกเขาต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมูลค่านับแสนล้านบาท ยกตัวอย่างเช่นในสมัยพุทธกาล พราหมณ์บางท่านเป็นนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญา มักแสดงธรรมโดยอาศัยความเข้าใจของตนเองและคาดคะเนความจริงในเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล อย่างไรก็ตาม นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้มักจะใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือบางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น
เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่ามีประวัติความเป็นอย่างไร คำให้การของพยานก็ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันความจริงได้ เมื่อข้อเท็จจริงของสิ่งต่าง ๆ ขาดความน่าเชื่อถือ จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ เนื่องจากญาณวิทยาสนใจศึกษาเรื่อง ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์ วิธีแสวงหาความรู้ของมนุษย์ และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้ว หลักสูตรที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยทั่วโลกนั้น เป็นความรู้ของมนุษย์เช่นนักปรัชญานักปราชญ์ศาสนา นักวิทยาศาสตร์ และพระพุทธเจ้า เป็นต้น ตามหลักญาณวิทยา เราสามารถอธิบายกระบวนการพิจารณาความจริงได้ ดังนี้
๒.๑.ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์
เมื่อเราศึกษาธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระะไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับ "ขันธ์ห้า" นั้น ชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์ จิตใจอาศัยร่างกายหรือกายอาศัยจิตใจเพื่อรับรู้ (เรียกว่า"วิญญาณ") เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และสั่งสมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตของตน (เรียกว่า"สัญญา") จากนั้น จิตใจจึงวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์โดยอนุมานความรู้ (เรียกว่าสังขาร) เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้อธิบายความจริง และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจ
ดังนั้น ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ นำไปสู่การรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตและสั่งสมไว้ในจิตของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์พบว่ามนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะอคติต่อผู้อื่น สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์ มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองและคาดคะเนความจริงบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น เมื่อมนุษย์ให้เหตุผลอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนได้ยินความคิดเห็นของมนุษย์แล้ว ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง
๒.๒ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์
เมื่อมนุษย์เป็นนักคิดโดยธรรมชาติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า"สังขาร" ซึ่งหมายถึงความคิดซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้สิ่งใดโดยธรรมชาติก็จะคิดถึงสิงนั้น ความคิดของมนุษย์คือจินตนาการอันไร้ขอบเขต หรือการสร้างภาพที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนในจิตใจของตนเอง เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์และพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองโดยอนุมานความจริง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น ๆ เช่น สักกะเป็นรัฐศาสนาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นต้น อย่างไรก็ตามการใช้เหตุผลของพวกเขา บางคนก็ใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางคนก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือบางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้น เป็นต้น ตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์เราแยกองค์ประกอบความรู้ได้ดังนี้ ๑.มนุษย์คนใด ๒. รับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ๓. สั่งสมเป็นความรู้ในจิตใจ ๔.การคิดของมนุษย์ ๕.การใช้เหตุผลอธิบายความจริง
๒.๒.๑. มนุษย์คนใด โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์คือความจริงที่สมมติขึ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงสลายไป นี่คือกฎธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับรู้ผ่านอายตนะภายใน และเก็บเรื่องราวของมนุษย์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตไม่ได้หมายถึงการรับรู้และเก็บเรื่องราวไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังธรรมชาติของชีวิตในฐานะนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งผ่านอายตนะภายใน บุคคลนั้นก็จะใคร่ครวญถึงสิ่งนั้น เมื่อคิดแล้ว บุุคคลนั้นก็จะใช้เหตุผลอธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ผู้นั้น ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นปัจจัยทางกายภาพและจิตใจ โดยรวมตัวกันในครรภ์มารดาเป็นวลาเก้าเดือน แล้วมนุษย์คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นจากครรภ์มารดา ร่างกายและจิตใจพึ่งพาอาศัยกัน หากร่างกายหยุดทำงานและจิตใจไม่สามารถพึ่งพาได้ จิตวิญญาณก็จะไปเกิดใหม่ในโลกอื่นตามกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์
๒.๒ การรับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เมื่อร่างกายและจิตใจเป็นปัจจัยในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต จากการศึกษา ค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยการอ่าน การเขียน การพูด และการบรรยาย หรือจากการลงมือทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรับรู้ว่าในสมัยพุทธกาล มีอาณาจักสักกะอยู่ในอนุชมพูทวีป ผู้เขียนได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสงสัยว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐทางศาสนาพราหมณ์หรือไม่ เป็นต้น
๒.๒.๓ การสั่งสมความรูู้ไว้ในจิตใจ เมื่อธรรมชาติชีวิตมนุษย์มีร่างกายและจิตใจเป็นปัจจัยในการรับรู้แล้ว หลังจากรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ความรู้ก็จะถูกสั่งสมเป็นความรู้ในจิตใจ ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ในวิชาต่าง ๆ ที่สอนในมหาวิทยาลัยนั้น ก็จะถูกสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันจนสำเร็จการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรนั้น ๆ เป็นต้น
๒.๒.๔.การคิดของมนุษย์ โดยธรรมชาติของชีวิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจแล้ว ชีวิตมนุษย์ยังมีธรรมชาติของการคิดหรือสร้างภาพให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปขึ้นหรือเป็นเรื่องขึ้นในจิต แล้วมนุษย์ใช้เหตุผลอธิบายภาพที่ปรากฏเป็นรูป หรือประกอบให้เป็นรูปขึ้น หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นต้น
๒.๒.๕.การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง เมื่อมนุษย์คิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พวกเขาใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงจากความคิดของตนเอง อย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะมีธรรมชาติของการเป็นนักคิด เมื่อรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจของพวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง แต่การใช้เหตุผลจากความคิดของมนุษย์นั้น บางคนการใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้องหรือบางคนใช้เหตุผลได้อย่างไม่ถูกผิด เพราะมนุษย์มีอายตนะภายใน มีความสามารถในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาบทบาทหน้าที่ต่อสังคม เช่น พราหมณ์ทำหน้าที่เป็นนักตรรกะและนักปรัชญาแล้ว มักใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนย่อมเชื่อถือความคิดเห็นของบุคคลดังกล่าวว่าเป็นความจริง เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือความคิดเห็นของนักตรรกะศาสตรืและนักปรัชญาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมาเพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์
๒.๓ วิธีพิจารณาความจริง
เมื่อมนุษย์มีความสามารถในการรับรู้ผ่านอาตนะภายในได้จำกัด และลำเอียงต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขามีบทบาทในสังคมเช่น ในสมัยพุทธกาล พราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกวิทยา นักปรัชญา ปุโรหิตที่ปรึกษาวรรณะกษัตริย์ และในสมัยปัจจุบันข้าราชการดำรงตำแหน่งในหน่วยงานราชการของราชอาณาจักรไทย มักจะแสดงความคิดตามทัศนะของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพิจารณาถึงเหตุผลที่บุคคลเหล่านี้ใช้ เพื่ออธิบายความจริงของบุคคลดังกล่าว บางคนก็ให้เหตุผลถูกต้อง บางคนให้เหตุผลผิด บางคนให้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของบุคคลเหล่านี้ใช้คลุมเครือ ไม่ชัดเจนและน่าสงสัยในความจริง วิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้าก็จะทรงไม่เชื่อความเห็นเช่นเรื่องนั้น เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ พยานวัตถุและพยานที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เราจะได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า สักกะเป็นรัฐเอกราชขนาดเล็กตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศของตน และเป็นอิสระจากรัฐโกลิยะมาตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราช ผู้ปกครองรัฐโกลิยะ (โกฬิยะ) หลังจากอภิเษกสมรสกับพระนางกัญญา พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการพระราชทานสิทธิ และหน้าที่ในการปกครองรัฐโกลิยะแก่พระราชโอรสของพระนางกัญญา พระองค์ทรงรับสั่งให้พระราชโอรสของอดีตพระราชินีสร้างเมืองแห่งใหม่ชื่อ "พระนครกบิลพัสดุ์แห่งอาณาจักรสักกะ" นครแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่าสาละริมฝั่งฝั่งทะเลสาบโบกขรณีซึ่งเป็นพื้นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอาณาจักรสักกะ กับอาณาจักรโกลิยะอาณาจักรสักกะมีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับเทือกเขาหิมาลัย อาณาจักรโกลิยะอยู่ทางทิศตะวันออก อาณาจักรโกศลอยู่ทางทิศตะวันตก ทางทิศใต้ติดกับอาณาจักรโกศล ในรัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราชผู้ปกครองอาณาจักรโกลิยะ พระองค์ทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ ทรงเชื่อว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ระบอบการปกครองของอาณาจักรสักกะ เกิดขึ้นจากคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งอ้างว่าพระพรหมได้สร้างวรรณะต่าง ๆ ขึ้นสำหรับประชาชนของพระองค์ ได้แก่ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหม์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เพื่อให้รับใช้ตามสิทธิและหน้าที่ของแต่ละวรรณะนั้น เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงนี้ จึงเกิดประเด็นที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า"เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นความจริง"ผู้เขียนจึงแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬา ฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์[๒๒] เมื่อได้ฟังดังนี้ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ นิโครธาราม เขตกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ในเวลานั้น ท้องพระโรงหลังใหม่ที่เหล่าสมาชิกราชวงศ์ศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ ยังสร้างไม่เสร็จนานแล้ว ยังไม่มีสมณะ พราหม์หรือมนุษย์อาศัยอยู่ ต่อมาเหล่าสมาชิกราชวงศ์ศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าณ ที่ประทับถวายบังคม แล้วประทับนั่ง ณ ที่อันสมควร พวกเขาได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ ได้มีโอกาสถวายท้องพระโรงหลังใหม่ ที่สมาชิกแห่งศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ได้สร้างเสร็จไม่นานและยังไม่มีสมณะ พราหม์หรือมนุษย์คนใดอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ขอพระพุทธเจ้าทรงใช้ท้องพระโรงนี้เป็นปฐมฤกษ์แล้ว เรื่องนี้จะเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อประโยชน์สุขแก่เหล่าศากยะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ตลอดไป"
เมื่อผู้เขียนได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในสมัยพุทธกาล พบว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะหลายพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ปกครองพระนครกบิลพัสด์ุ ได้สร้างท้องพระโรงขึ้นใหม่หรือสถานที่ทำการรัฐสภาแห่งราชศากยะ ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อาณาจักรสักกะได้สถาปนาชุมชนการเมืองขึ้นอย่างมั่นคงในกรุงกบิลพัสดุ์ โดยมีเส้นแบ่งเขตทางการเมืองที่ชัดเจน โดยใช้แม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน ระหว่างอาณาจักรสักกะ และอาณาจักรโกลิยะ มีธรรมของกษัตริย์ที่เรียกว่า"หลักปริหานิยธรรม" เป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศแล้ว ระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ที่แบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอาณาจักรโกลิยะตั้งแต่สมัยพระเจ้าโอกกากราช
ดังนั้น เมื่ออาณาจักรสักกะประกาศตนเป็นเอกราชและใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง แต่ระบอบการปกครองอาณาจักรโกลิยะก็นำมาใช้ในอาณาจักรสักกะเช่นกัน ในรัชสมัยพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรสักกะ มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม สมาชิกรัฐสภาจากวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารอาณาจักรสักกะ และใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ ผ่านรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศายะ ในขณะนั้น สำนักงานของรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะเป็นที่รู้จักในภาษาบาลีว่า "สันถาคาร" "ท้องพระโรง"ในภาษาไทย และ "สัณฑาคาร" ในภาษาสันสกฤต รัฐสภาแห่งนี้เป็นสถานที่ประชุมของสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ ซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ พิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในอาณาจักรสักกะ
๑.บทนำ
โดยทั่วไป ชาวพุทธทั่วโลกมักได้ยินความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ จากพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานในวันธัมมสวนะซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาแล้วชาวพุทธทั่วโลกต่างยอมรับความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะโดยปริยาย โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับความจริงของอาณาจักรสักกะอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เมื่อได้ฟังความจริงจากเรื่องราว ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เช่น มนุษย์ โลก และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้โดยอาศัยตรรกะของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลของนักตรรกะและนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้้งใช้เหตุผลอย่างไท่ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนี้หรือในลักษณะเป็นอย่างนั้น เป็นต้น เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน พระองค์ไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริงและปฏิเสขว่ามันเป็นความรู้ที่แท้จริงของเรื่องนั้น
เมื่อความคิดเห็นของนักตรรกะ นักปรัชญาในสมัยพุทธกาลถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้รับฟังข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่เล่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เราไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยข้อเท็จจริงเหล่านั้นเสียก่อน จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อเรามีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราก็สามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของนั้น ๆ อย่างมีเหตุผล
การฟังข้อเท็จจริงจากพยานเพียงคนเดียวนั้นโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเพราะโดยทั่วไปแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีความคิดที่แนวโน้มลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงถูกหักล้าง พยานคนนั้นอาจยื่นยันข้อเท็จจริงนั้น เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานต่าง ๆ จึงเป็นที่น่าสงสัยและไม่น่าเชื่อถือ วิญญูชนจะไม่ยอมรับว่าคำให้การดังกล่าวเป็นความจริงได้
๒.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ?
เนื่องจากความรู้ทางปรัชญาเป็นของมนุษย์ ซึ่งถูกเรียกว่า "นักปรัชญา" แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอาตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างจำกัด และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความเกลียดชังและความรัก สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้เหตุผลเพื่อแยกแยะความจริงหรือความเท็จ นำไปสู่การตัดใจที่ผิดพลาด พวกเขาต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมูลค่านับแสนล้านบาท ยกตัวอย่างเช่นในสมัยพุทธกาล พราหมณ์บางท่านเป็นนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญา มักแสดงธรรมโดยอาศัยความเข้าใจของตนเองและคาดคะเนความจริงในเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล อย่างไรก็ตาม นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้มักจะใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือบางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น
เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่ามีประวัติความเป็นอย่างไร คำให้การของพยานก็ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันความจริงได้ เมื่อข้อเท็จจริงของสิ่งต่าง ๆ ขาดความน่าเชื่อถือ จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ เนื่องจากญาณวิทยาสนใจศึกษาเรื่อง ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์ วิธีแสวงหาความรู้ของมนุษย์ และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้ว หลักสูตรที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยทั่วโลกนั้น เป็นความรู้ของมนุษย์เช่นนักปรัชญานักปราชญ์ศาสนา นักวิทยาศาสตร์ และพระพุทธเจ้า เป็นต้น ตามหลักญาณวิทยา เราสามารถอธิบายกระบวนการพิจารณาความจริงได้ ดังนี้
๒.๑.ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์
เมื่อเราศึกษาธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระะไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับ "ขันธ์ห้า" นั้น ชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์ จิตใจอาศัยร่างกายหรือกายอาศัยจิตใจเพื่อรับรู้ (เรียกว่า"วิญญาณ") เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และสั่งสมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตของตน (เรียกว่า"สัญญา") จากนั้น จิตใจจึงวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์โดยอนุมานความรู้ (เรียกว่าสังขาร) เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้อธิบายความจริง และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจ
ดังนั้น ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ นำไปสู่การรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตและสั่งสมไว้ในจิตของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์พบว่ามนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะอคติต่อผู้อื่น สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์ มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองและคาดคะเนความจริงบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น เมื่อมนุษย์ให้เหตุผลอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนได้ยินความคิดเห็นของมนุษย์แล้ว ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง
๒.๒ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์
เมื่อมนุษย์เป็นนักคิดโดยธรรมชาติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า"สังขาร" ซึ่งหมายถึงความคิดซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้สิ่งใดโดยธรรมชาติก็จะคิดถึงสิงนั้น ความคิดของมนุษย์คือจินตนาการอันไร้ขอบเขต หรือการสร้างภาพที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนในจิตใจของตนเอง เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์และพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองโดยอนุมานความจริง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น ๆ เช่น สักกะเป็นรัฐศาสนาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นต้น อย่างไรก็ตามการใช้เหตุผลของพวกเขา บางคนก็ใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางคนก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือบางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้น เป็นต้น ตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์เราแยกองค์ประกอบความรู้ได้ดังนี้ ๑.มนุษย์คนใด ๒. รับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ๓. สั่งสมเป็นความรู้ในจิตใจ ๔.การคิดของมนุษย์ ๕.การใช้เหตุผลอธิบายความจริง
๒.๒.๑. มนุษย์คนใด โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์คือความจริงที่สมมติขึ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงสลายไป นี่คือกฎธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับรู้ผ่านอายตนะภายใน และเก็บเรื่องราวของมนุษย์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตไม่ได้หมายถึงการรับรู้และเก็บเรื่องราวไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังธรรมชาติของชีวิตในฐานะนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งผ่านอายตนะภายใน บุคคลนั้นก็จะใคร่ครวญถึงสิ่งนั้น เมื่อคิดแล้ว บุุคคลนั้นก็จะใช้เหตุผลอธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ผู้นั้น ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นปัจจัยทางกายภาพและจิตใจ โดยรวมตัวกันในครรภ์มารดาเป็นวลาเก้าเดือน แล้วมนุษย์คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นจากครรภ์มารดา ร่างกายและจิตใจพึ่งพาอาศัยกัน หากร่างกายหยุดทำงานและจิตใจไม่สามารถพึ่งพาได้ จิตวิญญาณก็จะไปเกิดใหม่ในโลกอื่นตามกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์
๒.๒ การรับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เมื่อร่างกายและจิตใจเป็นปัจจัยในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต จากการศึกษา ค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยการอ่าน การเขียน การพูด และการบรรยาย หรือจากการลงมือทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรับรู้ว่าในสมัยพุทธกาล มีอาณาจักสักกะอยู่ในอนุชมพูทวีป ผู้เขียนได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสงสัยว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐทางศาสนาพราหมณ์หรือไม่ เป็นต้น
๒.๒.๓ การสั่งสมความรูู้ไว้ในจิตใจ เมื่อธรรมชาติชีวิตมนุษย์มีร่างกายและจิตใจเป็นปัจจัยในการรับรู้แล้ว หลังจากรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ความรู้ก็จะถูกสั่งสมเป็นความรู้ในจิตใจ ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ในวิชาต่าง ๆ ที่สอนในมหาวิทยาลัยนั้น ก็จะถูกสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันจนสำเร็จการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรนั้น ๆ เป็นต้น
๒.๒.๔.การคิดของมนุษย์ โดยธรรมชาติของชีวิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจแล้ว ชีวิตมนุษย์ยังมีธรรมชาติของการคิดหรือสร้างภาพให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปขึ้นหรือเป็นเรื่องขึ้นในจิต แล้วมนุษย์ใช้เหตุผลอธิบายภาพที่ปรากฏเป็นรูป หรือประกอบให้เป็นรูปขึ้น หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นต้น
๒.๒.๕.การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง เมื่อมนุษย์คิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พวกเขาใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงจากความคิดของตนเอง อย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะมีธรรมชาติของการเป็นนักคิด เมื่อรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจของพวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง แต่การใช้เหตุผลจากความคิดของมนุษย์นั้น บางคนการใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้องหรือบางคนใช้เหตุผลได้อย่างไม่ถูกผิด เพราะมนุษย์มีอายตนะภายใน มีความสามารถในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาบทบาทหน้าที่ต่อสังคม เช่น พราหมณ์ทำหน้าที่เป็นนักตรรกะและนักปรัชญาแล้ว มักใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนย่อมเชื่อถือความคิดเห็นของบุคคลดังกล่าวว่าเป็นความจริง เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือความคิดเห็นของนักตรรกะศาสตรืและนักปรัชญาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมาเพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์
๒.๓ วิธีพิจารณาความจริง
เมื่อมนุษย์มีความสามารถในการรับรู้ผ่านอาตนะภายในได้จำกัด และลำเอียงต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขามีบทบาทในสังคมเช่น ในสมัยพุทธกาล พราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกวิทยา นักปรัชญา ปุโรหิตที่ปรึกษาวรรณะกษัตริย์ และในสมัยปัจจุบันข้าราชการดำรงตำแหน่งในหน่วยงานราชการของราชอาณาจักรไทย มักจะแสดงความคิดตามทัศนะของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพิจารณาถึงเหตุผลที่บุคคลเหล่านี้ใช้ เพื่ออธิบายความจริงของบุคคลดังกล่าว บางคนก็ให้เหตุผลถูกต้อง บางคนให้เหตุผลผิด บางคนให้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของบุคคลเหล่านี้ใช้คลุมเครือ ไม่ชัดเจนและน่าสงสัยในความจริง วิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้าก็จะทรงไม่เชื่อความเห็นเช่นเรื่องนั้น เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ พยานวัตถุและพยานที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เราจะได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า สักกะเป็นรัฐเอกราชขนาดเล็กตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศของตน และเป็นอิสระจากรัฐโกลิยะมาตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราช ผู้ปกครองรัฐโกลิยะ (โกฬิยะ) หลังจากอภิเษกสมรสกับพระนางกัญญา พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการพระราชทานสิทธิ และหน้าที่ในการปกครองรัฐโกลิยะแก่พระราชโอรสของพระนางกัญญา พระองค์ทรงรับสั่งให้พระราชโอรสของอดีตพระราชินีสร้างเมืองแห่งใหม่ชื่อ "พระนครกบิลพัสดุ์แห่งอาณาจักรสักกะ" นครแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่าสาละริมฝั่งฝั่งทะเลสาบโบกขรณีซึ่งเป็นพื้นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอาณาจักรสักกะ กับอาณาจักรโกลิยะอาณาจักรสักกะมีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับเทือกเขาหิมาลัย อาณาจักรโกลิยะอยู่ทางทิศตะวันออก อาณาจักรโกศลอยู่ทางทิศตะวันตก ทางทิศใต้ติดกับอาณาจักรโกศล ในรัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราชผู้ปกครองอาณาจักรโกลิยะ พระองค์ทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ ทรงเชื่อว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ระบอบการปกครองของอาณาจักรสักกะ เกิดขึ้นจากคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งอ้างว่าพระพรหมได้สร้างวรรณะต่าง ๆ ขึ้นสำหรับประชาชนของพระองค์ ได้แก่ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหม์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เพื่อให้รับใช้ตามสิทธิและหน้าที่ของแต่ละวรรณะนั้น เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงนี้ จึงเกิดประเด็นที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า"เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นความจริง"ผู้เขียนจึงแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬา ฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์[๒๒] เมื่อได้ฟังดังนี้ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ นิโครธาราม เขตกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ในเวลานั้น ท้องพระโรงหลังใหม่ที่เหล่าสมาชิกราชวงศ์ศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ ยังสร้างไม่เสร็จนานแล้ว ยังไม่มีสมณะ พราหม์หรือมนุษย์อาศัยอยู่ ต่อมาเหล่าสมาชิกราชวงศ์ศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าณ ที่ประทับถวายบังคม แล้วประทับนั่ง ณ ที่อันสมควร พวกเขาได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ ได้มีโอกาสถวายท้องพระโรงหลังใหม่ ที่สมาชิกแห่งศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ได้สร้างเสร็จไม่นานและยังไม่มีสมณะ พราหม์หรือมนุษย์คนใดอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ขอพระพุทธเจ้าทรงใช้ท้องพระโรงนี้เป็นปฐมฤกษ์แล้ว เรื่องนี้จะเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อประโยชน์สุขแก่เหล่าศากยะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ตลอดไป"
เมื่อผู้เขียนได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในสมัยพุทธกาล พบว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะหลายพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ปกครองพระนครกบิลพัสด์ุ ได้สร้างท้องพระโรงขึ้นใหม่หรือสถานที่ทำการรัฐสภาแห่งราชศากยะ ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อาณาจักรสักกะได้สถาปนาชุมชนการเมืองขึ้นอย่างมั่นคงในกรุงกบิลพัสดุ์ โดยมีเส้นแบ่งเขตทางการเมืองที่ชัดเจน โดยใช้แม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน ระหว่างอาณาจักรสักกะ และอาณาจักรโกลิยะ มีธรรมของกษัตริย์ที่เรียกว่า"หลักปริหานิยธรรม" เป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศแล้ว ระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ที่แบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอาณาจักรโกลิยะตั้งแต่สมัยพระเจ้าโอกกากราช
ดังนั้น เมื่ออาณาจักรสักกะประกาศตนเป็นเอกราชและใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง แต่ระบอบการปกครองอาณาจักรโกลิยะก็นำมาใช้ในอาณาจักรสักกะเช่นกัน ในรัชสมัยพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรสักกะ มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม สมาชิกรัฐสภาจากวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารอาณาจักรสักกะ และใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ ผ่านรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศายะ ในขณะนั้น สำนักงานของรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะเป็นที่รู้จักในภาษาบาลีว่า "สันถาคาร" "ท้องพระโรง"ในภาษาไทย และ "สัณฑาคาร" ในภาษาสันสกฤต รัฐสภาแห่งนี้เป็นสถานที่ประชุมของสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ ซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ พิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในอาณาจักรสักกะ
๓.กฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญของอาณาจักรสักกะ (Sakka country) จากพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เขียนกลับไม่พบการอ้างอิงถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่กลับเรียกกฎหมายรัฐธรรมนูญในอีกนัยหนึ่งว่า "ธรรมของกษัตริย์" ซึ่งเป็นหน้าที่ของวรรณะกษัตริย์ในการปกครองประเทศ ที่รัฐเอกราชทุกรัฐต้องมีหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ เพื่อให้เกิดความสงบสุขบนพื้นฐานของศีลธรรมและกฎหมาย ซึ่งเรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม"นั้น แม้ว่าจะไม่ถูกเรียกอย่างชัดเจนว่า "รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรสักกะ" อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาของ"หลักอปริหานิยธรรม" แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า"มีสภาพบังคับของกฎหมาย" เช่นเดียว กับกฏหมายรัฐธรรมลายลักษณ์อักษรที่บัญญัติขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยระบุอย่างชัดเจนว่า "ห้ามมิให้ยกเลิกที่บัญญัติไว้แล้ว" และ "ห้ามมิให้บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ" เป็นต้น
จากข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎก ผู้เขียนเชื่อว่า"ธรรมของกษัตริย์" นั้นศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากฏหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศในยุคปัจจุบัน มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และสันติภาพให้แก่ชนชั้นวรรณะสูงโดยฝ่ายเดียว คำว่า "มีสภาพบังคับ" ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้ดีแล้ว ดังนั้นกฏหมายใด ๆ ที่บัญญัติขึ้นมาภายหลัง จึงไม่อาจขัดแย้งกับหลักอปริหานิยธรรมของอาณาจักรสักกะ ด้วยการเสนอยกเลิกกฎหมายที่วางไว้แล้วนั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหา ที่จัณฑาลสูญเสียสิทธิและหน้าที่ของวรรณะไป เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนต่างวรรณะ โดยอ้างถูกพระพรหมลงโทษ โดยให้สังคมขับไล่พวกเขาออกจากสังคมไปตลอดชีวิต พวกเขาต้องอยู่อย่างคนไร้บ้านบนท้องถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นต้น
เจ้าชายสิทธัตถะทรงตระหนักถึงปัญหา และพระองค์ทรงโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง ต่อความทุกข์ทรมานมาตลอดชีวิตของพวกจัณฑาล โดยไม่ทรงมีโอกาสกลับคืนสู่สถานะเดิมในสังคม พระองค์ทรงมีพระเมตตาอย่างเหลือล้นต่อพวกจัณฑาล เพื่อนร่วมโลกของพระองค์ที่เกิด แก่ เจ็บ และตาย พระองค์ทรงปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ยากและทรงปฏิรูปสังคมเพื่อให้ประชาชนพลเมืองมีสิทธิและหน้าที่ต่อประเทศชาติอย่างเท่าเทียม เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงเสนอร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ เพื่อยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีในอาณาจักรสักกะ ต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะดังกล่าว ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอ โดยให้เหตุผลว่าการยกเลิกวรรณะนั้น เป็นการละเมิดต่อหลักอปริหานิยธรรมหรือรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี เมื่อพระองค์ทรงปฏิรูปสังคมในอาณาจักรไม่สำเร็จ พระองค์ผนวชเพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิตเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น
คำถามที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือ สมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะนั้น ได้นำหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์บัญญัติในกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เพื่อปกครองอาณาจักรสักกะหรือไม่ ตามแนวคิดทางอภิปรัชญาของศาสนาพราหมณ์เกี่ยวข้องกับความจริงแห่งแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ มนุษย์เชื่อว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมาจากพระกายของพระพรหม เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้แก่ชาวสักกะที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ให้ปฎฏิบัติหน้าที่ต่ออาณาจักรสักกตามวรรณะของตน เมื่อพิจารณาข้อมูลนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าข้อเท็จจริงชี้ชัดเจนว่าอาณาจักรสักกะมีการแบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประเทศ วรรระพราหมณ์มีหน้าที่ท่องพระเวท วรรณะแพศย์มีหน้าที่เกษตรกรรม ววและวรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้วรรณะสูง ส่วนเหตุผลส่วนหนึ่งที่ความเชื่อเรื่องวรรณะ ยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในจิตใจ ชาวอินเดียมักปรุงแต่งอารมณ์เกี่ยวกับวรรณะ ซึ่งเกิดจากอคติต่อผู้อื่นอันเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ความรู้สึกนี้ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจของพวกเขา แม้ว่ากฎหมาย ขนบธรรมและจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะจะไม่ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ไว้ภายใต้รัฐธรรมฉบับปัจจุบันก็ตาม
เมื่อวรรณะกษัตริย์ขึ้นครองอำนาจปกครองนั้น พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยการตรากฎหมายวรรณะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ ๑. วรรณะสูงได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ และวรรณะแพศย์ เป็นต้น ๒. ชนวรรณะต่ำคือวรรณะศูทร เป็นชาวสักกะในชนบท เชื้อสายดราวิเดียนมีผิวคล้ำ
เมื่อคำสอนของพราหมณ์ถูกบัญญัติให้เป็นกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี ย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายที่ประชาชนในอาณาจักรสักกะต้องปฏิบัติตาม คือห้ามประชาชนสมสู่กับคนต่างวรรณะ และห้ามปฏิบัติหน้าที่วรรณะอื่น เป็นต้น หากผู้ใดละเมิดคำสอนทางศาสนาและกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ จะถูกพระพรหมลงโทษเรียกว่า "พรหมทัณฑ์" โดย พระพรหมทรงสั่งให้สังคมลงโทษตามกฎหมายด้วยการขับออกจากสังคมตลอดชีวิตและไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมของตนเองได้
ผลของการใช้อำนาจอธิปไตยแบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะให้สิทธิหน้าหน้าที่แก่ประชาชนประกอบอาชีพตามวรรณะของตนที่กำเนิดมากล่าวคือ วรรณะพราหมณ์มีหน้าที่สาธยายพระเวท วรรณะกษัตริย์มีหน้าปกครองประชาชน วรรณะแพศย์มีหน้าที่ถือการเกษตรกรรมวรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้คนตระกูลสูงและ ตระกูลจัณฑาลไม่มีวรรณะจึงไม่มีหน้าที่ พวกดราวิเดียรจัดอยู่ในวรรณะศูทรไม่มีสิทธิหน้าที่ในการปกครองประเทศเหมือนวรรณะกษัตริย์ ไม่มีสิทธิในการศึกษาปรัชญาและศาสนาพราหมณ์เช่นเดียวกับชนในวรรณะพราหมณ์เพื่อทำหน้าที่สวดมนต์ในคัมภีร์พระเวททำพิธีกรรมสรรเสริญเทพเจ้าให้ช่วยผู้เหลือผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ของชีวิตได้ส่วนพวกวรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้พวกตระกูลสูงมีรายได้ค่าแรงต่ำในการทำงานให้คนวรรณะสูง เมื่อไม่มีเงินจึงไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินทำการอาชีพเกษตรกรรมแต่อย่างใด จึงรับจ้างเป็นกุลีให้พวกพ่อค้าในวรรณะแพทย์ขนส่งสินค้าไปขายต่างแว่นแคว้น มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าวรรณะจัณฑาลเพราะมีที่อยู่อาศัยในเรือนคนใช้ของคนวรรณะสูงที่เป็นกษัตริย์พราหมณ์เศรษฐีบ้าง ส่วนพวกพวกจัณฑาลมีสาเหตุเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะเช่น วรรณะศูทรแต่งงานกับวรรณะแพศย์ ลูกเกิดที่เกิดมาเป็นพวกจัณฑาลเพราะฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระพรหม ลูกที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะนี้ไม่รู้จะจัดให้อยู่วรรณะไหนจึงไม่เป็นยอมรับกันในวงสังคมของแคว้นสักกะถูกรังเกียจเดียดฉันท์จากคนวรรณะสูงถูกเลือกปฏิบัติไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่เขตเทวสถานในศาสนาพราหมณ์เพื่อการสวดมนต์สรรเสริญเทพเจ้าหรือฟังการแสดงธรรมของพวกพราหมณ์ นอกจากพวกไม่ได้รับอนุญาตให้ไปตักน้ำในบ่อสาธารณะของหมู่บ้านเพราะจะทำให้เกิดเสนียดจัญไรชีวิตมีมลทินแปดเปื้อน แม้กระทั่งการไปยืนเหยียบเงาของพวกวรรณะสูง พวกเขาต้องทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนชีวิตของตัวเองให้หมดสิ้นไป และพวกจัณฑาลจึงถูกลงโทษอย่างรุนแรง

เมื่อไม่มีชนในวรรณะใดยอมคลุกคลีคบค้าสมาคมด้วย พวกจัณฑาลเป็นสัตว์สังคมจึงจำเป็นต้องสร้างสังคมของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตมีความสุขได้เฉพาะในกลุ่มของพวกเขา วิธีคิดของการสร้างสังคมตนเองคือการแต่งงานและมีลูกโดยไม่คุมกำเนิดทำให้พวกเขามีลูกมากกว่าคนในวรรณะอื่น ๆ ครอบครัว ๑ อาจมีกว่า ๑๐ คน ตั้งเพิงขึ้นมุงหลังคาด้วยเศษใบไม้หญ้าคา เป็นที่อยู่อาศัยได้ชั่วคราวในริมสองข้างถนนสายต่างๆ ในกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นต้น ในบางครั้งคนเกิดขึ้นมาในวรรณะศูทรเกิดมาแล้วพ่อแม่ไม่มีปัญญาเลี้ยงถูกขายไปเป็นทาสให้แก่พ่อค้า คหบดีก็มี.
๒. รัฐบาล
เป็นนิติบุคคลหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่บริหารปกครองรัฐให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อพวกอารยันได้สถาปนารัฐโกลิยวงศ์ขึ้นมาโดยมีพระเจ้าโอกกากราชทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระราชวงศ์โกลิยะ และทรงโปรดให้พระราชโอรสไปสร้างรัฐใหม่เรียกว่าแคว้นสักกะ สร้างพระนครใหม่ในป่าสาละเป็นที่อาศัยของฤาษีกบิล ห่างจากพระนครเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่าเมืองรามคาม ออกไปเป็นระยะทางประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร สร้างพระราชวงศ์ใหม่เรียกว่า พระราชวงศ์ศากยะ มีธรรมของกษัตริย์เป็นกฎหมายสูงในการปกครองรัฐเรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม" เมื่อรัฐสักกะมีปัญหาทางการเมืองเพราะพวกดราวิทเดียนไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของอารยัน จึงออกกฎหมายแบ่งชนชั้นวรรณะ เพื่อจำกัดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพ โดยอ้างเหตุของความเชื่อในพระพรหมว่าเป็นเทพเจ้าผู้สร้างมนุษย์ทุกคน วรรณะกษัตริย์มีสิทธิหน้าที่ในการปกครองรัฐการมีส่วนร่วมในการปกครองโดยชนวรรณะกษัตริย์ทั้งหมดย่อมเป็นไป มิได้จำเป็นต้องแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาศายวงศ์ จากชนวรรณะกษัตริย์รูปแบบการบริหารรัฐโดยคณะรัฐบาลคือสมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์ทำหน้าที่บริหารจัดการปัญหาของประเทศให้เกิดความสงบเรียบร้อยด้วยศีลธรรมอันดีของประชาชน ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์จากชนวรรณะกษัตริย์ โดยมีประธานรัฐสภามาจากวรรณะกษัตริย์ได้รับการเลือกตั้งของสมาชิกของรัฐสภา ที่ทำการรัฐสภาเรียกว่า"สัณฐาคาร" วิธีการประชุมของรัฐสภา จะดำเนินการตามหลักอปริหานิยธรรมทำหน้าที่นิติบัญญัติกฏหมายขึ้นตามแนวคิดในหลักปรัชญาศาสนาพราหมณ์ ตามกฎหมายอปริหานิยธรรมนั้น กฎหมายใดตราขึ้นมาและประกาศใช้แล้วจะยกเลิกไม่ได้ เพราะขัดต่อธรรมกษัตริย์ในการปกครองประเทศ รัฐสภาเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และแต่งตั้งให้สมาชิกของศากยวงศ์คนใดคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองรัฐสักกะชนบทดังนั้นสมัยก่อนพุทธกาลพระเจ้าสุทโธทนะทรงได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาเป็นประธานรัฐสภา และแต่งตั้งเป็นพระมหากษัตริย์มีหน้าที่บริหารปกครองแคว้นสักกะ ทรงเป็นประธานรัฐสภามีหน้าที่นิติบัญญัติกฏหมาย และใช้อำนาจตุลาการนั้นเป็นต้น การปกครองลักษณะเดียวกันนี้มีในแคว้นวัชชี มัลละกษัตริย์แห่งเมืองปาวาและเมืองกุสินาราเป็นต้น
๓. ศาสนาพราหมณ์ ตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์แห่งเชิงเขาหิมาลัย ประชาชนจึงมีเวลาพักผ่อนเพราะไม่ต้องดิ้นรนออกไปประกอบอาชีพ พวกเขาจึงมีเวลาคิดหาเหตุผลของคำตอบในความรู้ และความจริงตามแนวคิดของปรัชญาศาสนาพราหมณ์ มีการตั้งสถาบันการศึกษาเป็นกิจลักษณะ ชีวิตจึงมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทางด้านวิญญาณเพราะมีเหตุผลในการกระทำ และยกย่องศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาประจำชาติ เพราะเป็นศาสนาของชนส่วนใหญ่ในแคว้นสักกะ เมื่อพระพรหมจึงเป็นเทพเจ้าสูงสุดเชื่อว่าเป็นอยู่จริงและสร้างมนุษย์ทุกคนในแคว้นนี้จากส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายพรหม เมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์เกิดมาแล้ว ย่อมกำหนดโชคชะตาชีวิตให้พวกทำงานตามหน้าที่ต่าง ๆ กันในสังคม เพื่อความเจริญรุ่งเรืองเพียงฝ่ายเดียวไม่มีวันตกต่ำในสังคมของแคว้นสักกะ ยามชีวิตเผชิญกับเภทภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม พระองค์ต้องประทานชีวิตให้พวกเขามีชีวิตกลับมาความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เช่นเดิม ด้วยเหตุผลของคำตอบที่ได้วิเคราะห์จากพยานเอกสาร พยานวัตถุ และข้อมูลที่ได้ศึกษาจากแหล่งต่างๆ ในโลกออนไลน์ จึงรับฟังได้ว่า รัฐสักกะเป็นพรหมแดนทางตอนเหนือติดกับเชิงเขาหิมาลัย เป็นชุมชนทางการเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง การแบ่งชนชั้นวรรณะยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปซึ่งเป็นมรดกทางความคิดมาถึงยุคปัจจุบัน และมีเทวสถานหลายแห่งของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ปรากฎเป็นหลักฐานรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสจริง เมื่อมนุษย์มีวิธีการคิดหาเหตุผลของคำตอบจนกลายเป็นความรู้และความจริงมีเนื้อวิชาการของวิชาการด้านปรัชญา และศาสนามากยิ่งนั้น ก็นำความรู้ที่มีเหตุผลนั้นไปพัฒนาเป็นปรัชญาการเมือง เพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบทางการเมือง ในการออกกฎหมาย เพื่อใช้เป็นสภาพบังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม หากมิได้ปฏิบัติตาม ย่อมได้รับผลร้ายจากการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายนั้นดังเช่นกฎหมายชนชั้นวรรณะ เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่แบ่งชั้นเป็น ๔ วรรณะโดยอาศัยความเชื่อในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ มีสภาพบังคับตามกฎหมายว่า ผู้ใดฝ่าฝืนถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมจนกลายเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนาน๓,๐๐๐ กว่าปี
เป็นกฎหมายยกเลิกมิได้เพราะขัดธรรมกษัตริย์ในการปกครองประเทศในยุคนั้นดังนั้น รัฐศาสนานั้นจึงถือได้ว่า มีต้นกำเนิดมาจากรัฐสักกะและแคว้นโกลิยวงศ์ โดยเอาความเชื่อในปรัชญาศาสนาพราหมณ์นั้น มาคิดหาเหตุผลของคำตอบจนกลายเป็นกฎหมายจารีตประเพณีสืบเนื่องกันมายาวนาน แม้รัฐเหล่านั้นจะสูญสิ้นอำนาจอธิปไตยไป โดยสละอำนาจอธิปไตยให้แก่รัฐบาลกลางของประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ที่เกิดจากการรวมตัวของทุกแคว้นในชมพูทวีป ตั้งเป็นประเทศขึ้นใหม่เรียกก็ตามแต่ความเชื่อที่เป็นตัวตนที่ฝังรากลึกลงสู่ในจิตใต้สำนึกยังคงอยู่ต่อไป แม้จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่รู้กี่อสงไขยหรือกี่แสนกัปป์ก็ตาม ผู้เขียนถือว่ารัฐสักกะเป็นรัฐศาสนาเนื่องจากมีหลักฐานที่แน่นหนากล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ระบบวรรณะเกิดจากความเชื่อเรื่องพระพรหมในฐานะเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นและทำให้พวกเขามีสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ผู้คนเกิดมา สำหรับระบบวรรณะที่ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากมีการตรากฎหมายเพื่อรองรับการแบ่งวรรณะและประกาศใช้เพื่อบังคับประชาชนในรัฐนั้น ดังนั้นเมื่อรัฐสภาศากยวงศ์ได้เห็นภัยจากพราหมณ์มิลักขะในการทำพิธีบูชายัญให้กับมหาราชาแคว้นต่าง ๆ จนที่ศรัทธาและได้รับการแต่งตั้งเป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของมหาราชแคว้นต่าง ๆ จนมีอิทธิพลทางความคิดต่อนโยบายในการบริหารปกครองรัฐสักกะ จึงหาทางจำกัดสิทธิและหน้าทีของชาวสักกะเชื้อสายมิลักขะในการประกอบพิธีบูชายัญ การศึกษา และการประกอบอาชีพ โดยรัฐสภาศากยวงศ์ ได้นำแนวคิดในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ ตราเป็นกฎหมายแบ่งชั้นวรรณะโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ทำงานตามสิทธิและหน้าที่ของตนเท่านั้น ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมเพราะความรักไม่มีวรรณะ ทำให้เกิดปัญหาของคนจัณฑาลที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะไม่รู้จะจัดให้อยู่ในวรรณะใดจึงไม่มีวรรณะที่ตนเกิดมาดังนั้นพวกเขาจึงขาดสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายวรรณะ ดั้งนั้นการแบ่งวรรณะของคนเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเลือกทางชีวิตในสังคมทำให้ประชาชนแรงบันดาลพัฒนาศักยภาพของชีวิตอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวเท่าทันอารยะประเทศ ประชาชนถูกการเลือกปฏิบัติเหมือนดั่งชีวิตถูกพระพรหมลิขิตโชคชะตาไว้ รัฐสักกะชนบทจึงเป็นรัฐศาสนาในพระไตรปิฎกด้วยเหตุผลของคำตอบที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
บรรณานุกรม
[๑]https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/epiststemology/02.html
-พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตัตปิฎกเล่มที่ ๑ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) ฑีฆนิกาย สีลกขันธวรรค ๓. อัมพัฏธสูตรกล่าวว่า.....ข้อ (๒๗๖).
[๑]https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/epiststemology/02.html
-พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตัตปิฎกเล่มที่ ๑ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) ฑีฆนิกาย สีลกขันธวรรค ๓. อัมพัฏธสูตรกล่าวว่า.....ข้อ (๒๗๖).

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น