The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎก

The Epistemological problem is that the Sakka state is religious in the Tripitaka
สารบาญ 
๑.บทนำ   
๒.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง                                                                           ๒.๑ ที่มาของความรู้ของมนุษย์                                                               ๒.๒ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์                                                 ๒.๓  วิธีพิจารณาความจริง                                                                       ๒.๔  ความสมเหตุสมผลของความรู้
๓.    การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง
๔.    บทสรุปผลการวิจัย  

๑.บทนำ 

       โดยทั่วไป   ชาวพุทธทั่วโลกมักได้ยินความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ จากพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์    ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานในวันธัมมสวนะซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาแล้วชาวพุทธทั่วโลกต่างยอมรับความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะโดยปริยาย   โดยไม่มีข้อสงสัยใด  ๆ  เกี่ยวกับความจริงของอาณาจักรสักกะอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา  เมื่อได้ฟังความจริงจากเรื่องราว ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน  เช่น  มนุษย์ โลก     และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า      เป็นต้น  นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้โดยอาศัยตรรกะของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น  อย่างไรก็ตาม  การใช้เหตุผลของนักตรรกะและนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง  บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้้งใช้เหตุผลอย่างไท่ถูกต้อง   บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนี้หรือในลักษณะเป็นอย่างนั้น  เป็นต้น  เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  พระองค์ไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริงและปฏิเสขว่ามันเป็นความรู้ที่แท้จริงของเรื่องนั้น 

            เมื่อความคิดเห็นของนักตรรกะ นักปรัชญาในสมัยพุทธกาลถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ     พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้รับฟังข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่เล่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน    เราไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยข้อเท็จจริงเหล่านั้นเสียก่อน   จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อเรามีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราก็สามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ  เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  ๆ    โดยการใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของนั้น ๆ  อย่างมีเหตุผล 

          การฟังข้อเท็จจริงจากพยานเพียงคนเดียวนั้นโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเพราะโดยทั่วไปแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีความคิดที่แนวโน้มลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง   เมื่อข้อเท็จจริงถูกหักล้าง พยานคนนั้นอาจยื่นยันข้อเท็จจริงนั้น เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง    คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานต่าง ๆ จึงเป็นที่น่าสงสัยและไม่น่าเชื่อถือ   วิญญูชนจะไม่ยอมรับว่าคำให้การดังกล่าวเป็นความจริงได้ 

๒.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ? 

         เนื่องจากความรู้ทางปรัชญาเป็นของมนุษย์  ซึ่งถูกเรียกว่า "นักปรัชญา" แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอาตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างจำกัด และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้    ความกลัว ความเกลียดชังและความรัก สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์  ทำให้มนุษย์ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์    ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้เหตุผลเพื่อแยกแยะความจริงหรือความเท็จ   นำไปสู่การตัดใจที่ผิดพลาด พวกเขาต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมูลค่านับแสนล้านบาท  ยกตัวอย่างเช่นในสมัยพุทธกาล พราหมณ์บางท่านเป็นนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญา มักแสดงธรรมโดยอาศัยความเข้าใจของตนเองและคาดคะเนความจริงในเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล  อย่างไรก็ตาม  นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้มักจะใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง  บางครั้งใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือบางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น     

           เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่ามีประวัติความเป็นอย่างไร     คำให้การของพยานก็ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันความจริงได้ เมื่อข้อเท็จจริงของสิ่งต่าง ๆ ขาดความน่าเชื่อถือ จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ เนื่องจากญาณวิทยาสนใจศึกษาเรื่อง  ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์    วิธีแสวงหาความรู้ของมนุษย์ และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ เป็นต้น      

         โดยทั่วไปแล้ว หลักสูตรที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยทั่วโลกนั้น เป็นความรู้ของมนุษย์เช่นนักปรัชญานักปราชญ์ศาสนา นักวิทยาศาสตร์ และพระพุทธเจ้า เป็นต้น ตามหลักญาณวิทยา   เราสามารถอธิบายกระบวนการพิจารณาความจริงได้ ดังนี้  

         ๒.๑.ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ เมื่อเราศึกษาธรรมชาติของชีวิตมนุษย์    ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระะไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับ "ขันธ์ห้า" นั้น ชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์  จิตใจอาศัยร่างกายหรือกายอาศัยจิตใจเพื่อรับรู้ (เรียกว่า"วิญญาณ") เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต    และสั่งสมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตของตน (เรียกว่า"สัญญา")  จากนั้น จิตใจจึงวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์โดยอนุมานความรู้ (เรียกว่าสังขาร)  เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้อธิบายความจริง และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจ 

       ดังนั้น ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ  นำไปสู่การรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตและสั่งสมไว้ในจิตของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์พบว่ามนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ  และมีแนวโน้มที่จะอคติต่อผู้อื่น  สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์   มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์   เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองและคาดคะเนความจริงบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น เมื่อมนุษย์ให้เหตุผลอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  วิญญูชนได้ยินความคิดเห็นของมนุษย์แล้ว   ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง 

       ๒.๒ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์  เมื่อมนุษย์เป็นนักคิดโดยธรรมชาติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า"สังขาร" ซึ่งหมายถึงความคิดซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า  เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ  ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ  เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้สิ่งใดโดยธรรมชาติก็จะคิดถึงสิงนั้น   ความคิดของมนุษย์คือจินตนาการอันไร้ขอบเขต หรือการสร้างภาพที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนในจิตใจของตนเอง เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์และพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองโดยอนุมานความจริง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง  โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น  ๆ เช่น  สักกะเป็นรัฐศาสนาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  เป็นต้น  อย่างไรก็ตามการใช้เหตุผลของพวกเขา บางคนก็ใช้เหตุผลได้ถูกต้อง  บางคนก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง   บางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือบางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้น  เป็นต้น 

   ตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์เราแยกองค์ประกอบความรู้ได้ดังนี้  ๑.มนุษย์คนใด  ๒. รับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ๓. สั่งสมเป็นความรู้ในจิตใจ     ๔.การคิดของมนุษย์    ๕.การใช้เหตุผลอธิบายความจริง 

        ๒.๒.๑. มนุษย์คนใด    โดยทั่วไปแล้ว  มนุษย์คือความจริงที่สมมติขึ้น  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงสลายไป นี่คือกฎธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับรู้ผ่านอายตนะภายใน และเก็บเรื่องราวของมนุษย์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตไม่ได้หมายถึงการรับรู้และเก็บเรื่องราวไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังธรรมชาติของชีวิตในฐานะนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งผ่านอายตนะภายใน บุคคลนั้นก็จะใคร่ครวญถึงสิ่งนั้น    เมื่อคิดแล้ว บุุคคลนั้นก็จะใช้เหตุผลอธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ผู้นั้น ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นปัจจัยทางกายภาพและจิตใจ โดยรวมตัวกันในครรภ์มารดาเป็นวลาเก้าเดือน แล้วมนุษย์คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นจากครรภ์มารดา  ร่างกายและจิตใจพึ่งพาอาศัยกัน  หากร่างกายหยุดทำงานและจิตใจไม่สามารถพึ่งพาได้  จิตวิญญาณก็จะไปเกิดใหม่ในโลกอื่นตามกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ 

       ๒.๒   การรับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งของชีวิตมนุษย์    เมื่อร่างกายและจิตใจเป็นปัจจัยในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต จากการศึกษา  ค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยการอ่าน    การเขียน  การพูด  และการบรรยาย หรือจากการลงมือทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรับรู้ว่าในสมัยพุทธกาล มีอาณาจักสักกะอยู่ในอนุชมพูทวีป ผู้เขียนได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสงสัยว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐทางศาสนาพราหมณ์หรือไม่    เป็นต้น

        ๒.๒.๓   การสั่งสมความรูู้ไว้ในจิตใจ   เมื่อธรรมชาติชีวิตมนุษย์มีร่างกายและจิตใจเป็นปัจจัยในการรับรู้แล้ว   หลังจากรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ   ความรู้ก็จะถูกสั่งสมเป็นความรู้ในจิตใจ  ยกตัวอย่างเช่น  ความรู้ในวิชาต่าง ๆ  ที่สอนในมหาวิทยาลัยนั้น ก็จะถูกสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทุกวันจนสำเร็จการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรนั้น ๆ   เป็นต้น  

         ๒.๒.๔.การคิดของมนุษย์   โดยธรรมชาติของชีวิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจแล้ว  ชีวิตมนุษย์ยังมีธรรมชาติของการคิดหรือสร้างภาพให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปขึ้นหรือเป็นเรื่องขึ้นในจิต  แล้วมนุษย์ใช้เหตุผลอธิบายภาพที่ปรากฏเป็นรูป หรือประกอบให้เป็นรูปขึ้น หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในจิตใจ  เป็นต้น  

        ๒.๒.๕.การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง  เมื่อมนุษย์คิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พวกเขาใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงจากความคิดของตนเอง อย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะมีธรรมชาติของการเป็นนักคิด     เมื่อรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง   จิตใจของพวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง แต่การใช้เหตุผลจากความคิดของมนุษย์นั้น บางคนการใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้องหรือบางคนใช้เหตุผลได้อย่างไม่ถูกผิด  เพราะมนุษย์มีอายตนะภายใน มีความสามารถในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน  พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาบทบาทหน้าที่ต่อสังคม เช่น  พราหมณ์ทำหน้าที่เป็นนักตรรกะและนักปรัชญาแล้ว  มักใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  วิญญูชนย่อมเชื่อถือความคิดเห็นของบุคคลดังกล่าวว่าเป็นความจริง    เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือความคิดเห็นของนักตรรกะศาสตรืและนักปรัชญาแล้ว  เจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมาเพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ 

 ๒.๓  วิธีพิจารณาความจริง   

          เมื่อมนุษย์มีความสามารถในการรับรู้ผ่านอาตนะภายในได้จำกัด และลำเอียงต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน  จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   เมื่อพวกเขามีบทบาทในสังคมเช่น ในสมัยพุทธกาล พราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกวิทยา  นักปรัชญา  ปุโรหิตที่ปรึกษาวรรณะกษัตริย์   และในสมัยปัจจุบันข้าราชการดำรงตำแหน่งในหน่วยงานราชการของราชอาณาจักรไทย มักจะแสดงความคิดตามทัศนะของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพิจารณาถึงเหตุผลที่บุคคลเหล่านี้ใช้ เพื่ออธิบายความจริงของบุคคลดังกล่าว บางคนก็ให้เหตุผลถูกต้อง   บางคนให้เหตุผลผิด   บางคนให้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น     เมื่อเหตุผลของบุคคลเหล่านี้ใช้คลุมเครือ  ไม่ชัดเจนและน่าสงสัยในความจริง   วิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้าก็จะทรงไม่เชื่อความเห็นเช่นเรื่องนั้น   เป็นต้น   

        เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ  พยานวัตถุและพยานที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เราจะได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า สักกะเป็นรัฐเอกราชขนาดเล็กตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย  มีอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศของตน และเป็นอิสระจากรัฐโกลิยะมาตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราช ผู้ปกครองรัฐโกลิยะ (โกฬิยะ) หลังจากอภิเษกสมรสกับพระนางกัญญา   พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการพระราชทานสิทธิ และหน้าที่ในการปกครองรัฐโกลิยะแก่พระราชโอรสของพระนางกัญญา พระองค์ทรงรับสั่งให้พระราชโอรสของอดีตพระราชินีสร้างเมืองแห่งใหม่ชื่อ "พระนครกบิลพัสดุ์แห่งอาณาจักรสักกะ" นครแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่าสาละริมฝั่งฝั่งทะเลสาบโบกขรณีซึ่งเป็นพื้นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย   แม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอาณาจักรสักกะ กับอาณาจักรโกลิยะอาณาจักรสักกะมีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับเทือกเขาหิมาลัย อาณาจักรโกลิยะอยู่ทางทิศตะวันออก อาณาจักรโกศลอยู่ทางทิศตะวันตก  ทางทิศใต้ติดกับอาณาจักรโกศล   ในรัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราชผู้ปกครองอาณาจักรโกลิยะ     พระองค์ทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ ทรงเชื่อว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ระบอบการปกครองของอาณาจักรสักกะ เกิดขึ้นจากคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งอ้างว่าพระพรหมได้สร้างวรรณะต่าง ๆ  ขึ้นสำหรับประชาชนของพระองค์  ได้แก่ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหม์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เพื่อให้รับใช้ตามสิทธิและหน้าที่ของแต่ละวรรณะนั้น เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงนี้  จึงเกิดประเด็นที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า"เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นความจริง"ผู้เขียนจึงแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม 

           เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬา ฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์[๒๒]  เมื่อได้ฟังดังนี้ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ นิโครธาราม เขตกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ในเวลานั้น   ท้องพระโรงหลังใหม่ที่เหล่าสมาชิกราชวงศ์ศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ ยังสร้างไม่เสร็จนานแล้ว  ยังไม่มีสมณะ พราหม์หรือมนุษย์อาศัยอยู่   ต่อมาเหล่าสมาชิกราชวงศ์ศากยะ ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าณ ที่ประทับถวายบังคม แล้วประทับนั่ง   ณ ที่อันสมควร  พวกเขาได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ ได้มีโอกาสถวายท้องพระโรงหลังใหม่   ที่สมาชิกแห่งศากยะ  ผู้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ได้สร้างเสร็จไม่นานและยังไม่มีสมณะ พราหม์หรือมนุษย์คนใดอาศัยอยู่ ณ  ที่นั้น  ขอพระพุทธเจ้าทรงใช้ท้องพระโรงนี้เป็นปฐมฤกษ์แล้ว เรื่องนี้จะเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อประโยชน์สุขแก่เหล่าศากยะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ตลอดไป" 

          เมื่อผู้เขียนได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในสมัยพุทธกาล พบว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา    เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะหลายพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ปกครองพระนครกบิลพัสด์ุ ได้สร้างท้องพระโรงขึ้นใหม่หรือสถานที่ทำการรัฐสภาแห่งราชศากยะ  ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อาณาจักรสักกะได้สถาปนาชุมชนการเมืองขึ้นอย่างมั่นคงในกรุงกบิลพัสดุ์    โดยมีเส้นแบ่งเขตทางการเมืองที่ชัดเจน โดยใช้แม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน ระหว่างอาณาจักรสักกะ และอาณาจักรโกลิยะ  มีธรรมของกษัตริย์ที่เรียกว่า"หลักปริหานิยธรรม" เป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศแล้ว ระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ที่แบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอาณาจักรโกลิยะตั้งแต่สมัยพระเจ้าโอกกากราช 

          ดังนั้น เมื่ออาณาจักรสักกะประกาศตนเป็นเอกราชและใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง  แต่ระบอบการปกครองอาณาจักรโกลิยะก็นำมาใช้ในอาณาจักรสักกะเช่นกัน ในรัชสมัยพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรสักกะ มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม  สมาชิกรัฐสภาจากวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารอาณาจักรสักกะ  และใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ ผ่านรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศายะ   ในขณะนั้น สำนักงานของรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะเป็นที่รู้จักในภาษาบาลีว่า "สันถาคาร" "ท้องพระโรง"ในภาษาไทย และ "สัณฑาคาร" ในภาษาสันสกฤต รัฐสภาแห่งนี้เป็นสถานที่ประชุมของสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ ซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ  พิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในอาณาจักรสักกะ

๓.กฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

       เมื่อผู้เขียนได้ศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญของอาณาจักรสักกะ (Sakka country) จากพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เขียนกลับไม่พบการอ้างอิงถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่กลับเรียกกฎหมายรัฐธรรมนูญในอีกนัยหนึ่งว่า "ธรรมของกษัตริย์" ซึ่งเป็นหน้าที่ของวรรณะกษัตริย์ในการปกครองประเทศ ที่รัฐเอกราชทุกรัฐต้องมีหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ เพื่อให้เกิดความสงบสุขบนพื้นฐานของศีลธรรมและกฎหมาย    ซึ่งเรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม"นั้น แม้ว่าจะไม่ถูกเรียกอย่างชัดเจนว่า "รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรสักกะ" อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน      แต่เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาของ"หลักอปริหานิยธรรม" แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า"มีสภาพบังคับของกฎหมาย" เช่นเดียว กับกฏหมายรัฐธรรมลายลักษณ์อักษรที่บัญญัติขึ้นในยุคปัจจุบัน  โดยระบุอย่างชัดเจนว่า "ห้ามมิให้ยกเลิกที่บัญญัติไว้แล้ว" และ "ห้ามมิให้บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ" เป็นต้น     

           จากข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎก  ผู้เขียนเชื่อว่า"ธรรมของกษัตริย์" นั้นศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากฏหมายรัฐธรรมนูญ   ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศในยุคปัจจุบัน มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และสันติภาพให้แก่ชนชั้นวรรณะสูงโดยฝ่ายเดียว คำว่า "มีสภาพบังคับ"  ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้ดีแล้ว  ดังนั้นกฏหมายใด  ๆ  ที่บัญญัติขึ้นมาภายหลัง จึงไม่อาจขัดแย้งกับหลักอปริหานิยธรรมของอาณาจักรสักกะ ด้วยการเสนอยกเลิกกฎหมายที่วางไว้แล้วนั้น  ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหา ที่จัณฑาลสูญเสียสิทธิและหน้าที่ของวรรณะไป     เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนต่างวรรณะ โดยอ้างถูกพระพรหมลงโทษ   โดยให้สังคมขับไล่พวกเขาออกจากสังคมไปตลอดชีวิต   พวกเขาต้องอยู่อย่างคนไร้บ้านบนท้องถนนในพระนครกบิลพัสดุ์   เป็นต้น 

           เจ้าชายสิทธัตถะทรงตระหนักถึงปัญหา  และพระองค์ทรงโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง ต่อความทุกข์ทรมานมาตลอดชีวิตของพวกจัณฑาล โดยไม่ทรงมีโอกาสกลับคืนสู่สถานะเดิมในสังคม  พระองค์ทรงมีพระเมตตาอย่างเหลือล้นต่อพวกจัณฑาล เพื่อนร่วมโลกของพระองค์ที่เกิด แก่ เจ็บ  และตาย พระองค์ทรงปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ยากและทรงปฏิรูปสังคมเพื่อให้ประชาชนพลเมืองมีสิทธิและหน้าที่ต่อประเทศชาติอย่างเท่าเทียม   เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงเสนอร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ เพื่อยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีในอาณาจักรสักกะ ต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ   อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะดังกล่าว ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอ โดยให้เหตุผลว่าการยกเลิกวรรณะนั้น เป็นการละเมิดต่อหลักอปริหานิยธรรมหรือรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี เมื่อพระองค์ทรงปฏิรูปสังคมในอาณาจักรไม่สำเร็จ พระองค์ผนวชเพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิตเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น  

         คำถามที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือ  สมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะนั้น    ได้นำหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์บัญญัติในกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี    เพื่อปกครองอาณาจักรสักกะหรือไม่ ตามแนวคิดทางอภิปรัชญาของศาสนาพราหมณ์เกี่ยวข้องกับความจริงแห่งแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์   มนุษย์เชื่อว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมาจากพระกายของพระพรหม      เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้แก่ชาวสักกะที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ให้ปฎฏิบัติหน้าที่ต่ออาณาจักรสักกตามวรรณะของตน     เมื่อพิจารณาข้อมูลนี้  ผู้เขียนเชื่อว่าข้อเท็จจริงชี้ชัดเจนว่าอาณาจักรสักกะมีการแบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประเทศ วรรระพราหมณ์มีหน้าที่ท่องพระเวท วรรณะแพศย์มีหน้าที่เกษตรกรรม ววและวรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้วรรณะสูง   ส่วนเหตุผลส่วนหนึ่งที่ความเชื่อเรื่องวรรณะ ยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในจิตใจ  ชาวอินเดียมักปรุงแต่งอารมณ์เกี่ยวกับวรรณะ ซึ่งเกิดจากอคติต่อผู้อื่นอันเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ความรู้สึกนี้ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจของพวกเขา แม้ว่ากฎหมาย ขนบธรรมและจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะจะไม่ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ไว้ภายใต้รัฐธรรมฉบับปัจจุบันก็ตาม    

       เมื่อวรรณะกษัตริย์ขึ้นครองอำนาจปกครองนั้น พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยการตรากฎหมายวรรณะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ 
  ๑. วรรณะสูงได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ และวรรณะแพศย์ เป็นต้น 
        ๒. ชนวรรณะต่ำคือวรรณะศูทร  เป็นชาวสักกะในชนบท เชื้อสายดราวิเดียนมีผิวคล้ำ

        เมื่อคำสอนของพราหมณ์ถูกบัญญัติให้เป็นกฎหมาย  ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี ย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายที่ประชาชนในอาณาจักรสักกะต้องปฏิบัติตาม คือห้ามประชาชนสมสู่กับคนต่างวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่วรรณะอื่น  เป็นต้น หากผู้ใดละเมิดคำสอนทางศาสนาและกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ จะถูกพระพรหมลงโทษเรียกว่า "พรหมทัณฑ์" โดย พระพรหมทรงสั่งให้สังคมลงโทษตามกฎหมายด้วยการขับออกจากสังคมตลอดชีวิตและไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมของตนเองได้   

        ผลของการใช้อำนาจอธิปไตย คือ การแบ่งแยกประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ   โดยมีสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรณะของตน  วรรณะพราหมณ์มีหน้าที่สวดพระเวท วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประชาชน วรรณะแพศย์มีหน้าที่ทำการเกษตรกรรม วรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้ขุนนาง จัณฑาลคือ นักโทษที่ถูกพระพรหมลงโทษโดยให้คนในสังคมขับไล่ออกจากบ้านเรือน เนื่องจากพวกเขากระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนทางศาสนา     และกฎหมายวรรณะโดยการร่วมประเวณีกับตนต่างวรรณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น  เป็นต้น

            พวกดราวิเดียรอยู่ในวรรณะศูทร   พวกเขาไม่มีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองประเทศเช่นเดียวกับวรรณะกษัตริย์ พวกเขาไม่มีสิทธิศึกษาปรัชญา หรือประกอบพิธีกรรมบูชายัญในศาสนาพราหมณ์เช่นเดียวกับวรรณะพราหมณ์ ซึ่งมีหน้าที่ท่องพระเวทและประกอบพิธีกรรม เพื่อสรรเสริญเทพเจ้าและช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ยาก วรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้ครอบครัวชนชั้นสูงและมีรายได้น้อยจากการทำงานให้กับคนวรรณะที่สูงกว่า แม้จะมีเงิน   แต่ก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินหรือทำการเกษตร เพราะเป็นสิทธิและหน้าที่ของวรรณะอื่น ดังนั้น พวกเขาจึงรับทำงานแบกหามให้กับพ่อค้าในวรรณะแพศย์ ขนส่งสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ  คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีกว่าพวกจัณฑาล เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านคนรับใช้ของวรรณะกษัตริย์  วรรณะพราหมณ์  

            ในทางกลับกัน พวกจัณฑาลเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะ ยกตัวอย่างเช่น วรรณะศูทรแต่งงานกับวรรณะแพศย์ กำเนิดบุตรธิดาเป็นจัณฑาล ซึ่งเป็นฝาฝืนพระประสงค์ของพระพรหม เด็กเหล่านี้เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะจึงไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่วรรณะใดและด้วยเหตุนี้ จึงไม่ได้การยอมรับในสังคมแห่งแคว้นสักกะ พวกเขาถูกกีดกันและเลือกปฏิบัติจากชนชั้นสูง     พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปวัดพราหมณ์ เพื่อการสวดมนต์ หรือฟังเทศน์ของพราหมณ์  ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ตักน้ำจากบ่อน้ำสาธารณะของหมู่บ้านเพราะเชื่อกันว่า จะนำมาซึ่งความโชคร้ายและแปดเปื้อนชีวิต แม้แต่การเหยียบเงาของชนวรรณะสูงก็ต้องผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหมด ดังนั้นจัณฑาลจึงถูกลงโทษอย่างหนัก       

      เนื่องจากไม่มีวรรณะอื่นใดคบค้าสมาคมกับพวกเขา  จัณฑาลจึงจำเป็นต้องสร้างสังคมของตัวเองขึ้นมา เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เฉพาะภายในกลุ่มของตน วิธีการสร้างสังคมของพวกเขานั้น เกี่ยวกับข้องกับการแต่งงานและมีบุตรโดยไม่คุมกำเนิด ส่งผลให้พวกเขามีลูกหลานมากกว่าวรรณะอื่น ครอบครัวหนึ่ง อาจมีสมาชิกมากกว่า ๑๐ คน พวกเขาสร้างที่พักพิงชั่วคราวที่มีหลังคาทำจากใบไม้และหญ้า ตามถนนในกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นต้น บางครั้งผู้คนที่เกิดในวรรณะศูทรถูกขายเป็นทาสให้กับพ่อค้า หรือบุคคลร่ำรวย เนื่องจากพ่อแม่ไม่มีกำลังเลี้ยงดูพวกเขา .

. รัฐบาล  

          เป็นนิติบุคคลหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อบริหารและปกครองรัฐอย่างสงบสุขและมีคุณธรรมเพื่อประชาชน  เมื่อชาวอารยันก่อตั้งรัฐโกลิยะขึ้นมา โดยพระเจ้าโอกกากราชทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โกลิยะ พระองค์ทรงส่งพระราชโอรสไปสร้างรัฐใหม่เรียกว่า "อาณาจักรสักกะ" สร้างพระนครใหม่ในป่าสาละ   ซึ่งเป็นที่พำนักของฤาษีกบิล  ห่างจากพระนครเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่า "เมืองรามคาม"  ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร   พวกเขาได้ก่อตั้งพระราชวงศ์ใหม่เรียกว่า "พระราชวงศ์ศากยะ"   โดยมีธรรมของกษัตริย์เป็นกฎหมายรัฐธรรมสูงสุดที่ปกครองรัฐ  ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "หลักอปริหานิยธรรม" เมื่อรัฐสักกะประสบปัญหาทางการเมืองเนื่องจากชาวดราวิเดียนปฏิเสข ที่จะยอมจำนนต่ออำนาจอธิปไตยของพราหมณ์อารยัน พวกเขาจึงออกกฎหมายวรรณะ  เพื่อจำกัดสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพ โดยอ้างความเชื่อในพระพรหมว่าเป็นเทพเจ้าผู้สร้างมนุษย์ทุกคน วรรณะกษัตริย์มีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองรัฐ การมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการปกครองของวรรณะกษัตริย์นั้น ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศายะ  รูปแบบการปกครองนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของรัฐสภาราชวงศ์ศากยะ ซึ่งบริหารจัดการปัญหาของประเทศในการรักษาความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน 

          ในขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตน  ประธานรัฐสภามาจากวรรณะกษัตริย์ที่ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิก   อาคารที่ทำการรัฐสภาเรียกว่า"สัณฐาคาร" การประชุมของรัฐสภาดำเนินการตาม "หลักอปริหานิยธรรม" โดยตรากฏหมายตามหลักปรัชญาศาสนาพราหมณ์ ตามกฎหมายอปริหานิยธรรมนั้น เมื่อกฎหมายใดถูกตราและประกาศใช้แล้ว จะไม่สามารถยกเลิกได้เพราะขัดต่อธรรมกษัตริย์ในการปกครองประเทศ รัฐสภาลงมติเลือกและแต่งตั้งสมาชิกของราชวงศ์ศากยะให้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสักกะ  ดังนั้น      ก่อนสมัยพุทธกาล พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาเป็นประธานรัฐสภาและได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะ ทรงออกกฏหมาย และใช้อำนาจตุลาการนั้นรวมถึงหน้าที่อื่น ๆ รูปแบบการปกครองที่คล้ายคลึงกันนี้มีอยู่ในอาณาจักรวัชชี  และในหมู่มัลละกษัตริย์แห่งเมืองปาวาและเมืองกุสินาราเป็นต้น   
  
         ๓. ศาสนาพราหมณ์ ตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์แห่งเชิงเขาหิมาลัย ประชาชนจึงมีเวลาพักผ่อนเพราะไม่ต้องดิ้นรนออกไปประกอบอาชีพ พวกเขาจึงมีเวลาคิดหาเหตุผลของคำตอบในความรู้ และความจริงตามแนวคิดของปรัชญาศาสนาพราหมณ์ มีการตั้งสถาบันการศึกษาเป็นกิจลักษณะชีวิตจึงมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทางด้านวิญญาณเพราะมีเหตุผลในการกระทำ และยกย่องศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาประจำชาติ เพราะเป็นศาสนาของชนส่วนใหญ่ในแคว้นสักกะ เมื่อพระพรหมจึงเป็นเทพเจ้าสูงสุดเชื่อว่าเป็นอยู่จริงและสร้างมนุษย์ทุกคนในแคว้นนี้จากส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายพรหม เมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์เกิดมาแล้ว ย่อมกำหนดโชคชะตาชีวิต ให้พวกทำงานตามหน้าที่ต่าง ๆ กันในสังคม เพื่อความเจริญรุ่งเรืองเพียงฝ่ายเดียวไม่มีวันตกต่ำในสังคมของแคว้นสักกะ ยามชีวิตเผชิญกับเภทภัยต่างๆไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม พระองค์ต้องประทานชีวิตให้พวกเขามีชีวิตกลับมาความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าเช่นเดิม 

           ด้วยเหตุผลของคำตอบที่ได้วิเคราะห์จากพยานเอกสาร พยานวัตถุและข้อมูลที่ได้ศึกษาจากแหล่งต่างๆ ในโลกออนไลน์ จึงรับฟังได้ว่ารัฐสักกะ เป็นพรหมแดนทางตอนเหนือติดกับเชิงเขาหิมาลัย เป็นชุมชนทางการเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง     การแบ่งชนชั้นวรรณะ  ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปซึ่งเป็นมรดกทางความคิดมาถึงยุคปัจจุบัน และมีเทวสถานหลายแห่งของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ปรากฏเป็นหลักฐานรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสจริง  เมื่อมนุษย์มีวิธีการคิดหาเหตุผลของคำตอบจนกลายเป็นความรู้และความจริงมีเนื้อวิชาการของวิชาการด้านปรัชญา และศาสนามากยิ่งนั้น ก็นำความรู้ที่มีเหตุผลนั้นไปพัฒนาเป็นปรัชญาการเมือง เพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบทางการเมือง ในการออกกฎหมาย เพื่อใช้เป็นสภาพบังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม หากมิได้ปฏิบัติตาม ย่อมได้รับผลร้ายจากการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายนั้นดังเช่นกฎหมายชนชั้นวรรณะ เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่แบ่งชั้นเป็น ๔ วรรณะโดยอาศัยความเชื่อในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ มีสภาพบังคับตามกฎหมายว่า ผู้ใดฝ่าฝืนถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมจนกลายเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนาน๓,๐๐๐ กว่าปี  
  
       เป็นกฎหมายยกเลิกมิได้เพราะขัดธรรมกษัตริย์ในการปกครองประเทศในยุคนั้น ดังนั้น รัฐศาสนานั้นจึงถือได้ว่า มีต้นกำเนิดมาจากรัฐสักกะและแคว้นโกลิยวงศ์ โดยเอาความเชื่อในปรัชญาศาสนาพราหมณ์นั้น มาคิดหาเหตุผลของคำตอบจนกลายเป็นกฎหมายจารีตประเพณีสืบเนื่องกันมายาวนาน แม้รัฐเหล่านั้นจะสูญสิ้นอำนาจอธิปไตยไป โดยสละอำนาจอธิปไตยให้แก่รัฐบาลกลางของประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ที่เกิดจากการรวมตัวของทุกแคว้นในชมพูทวีป ตั้งเป็นประเทศขึ้นใหม่เรียกก็ตามแต่ความเชื่อที่เป็นตัวตนที่ฝังรากลึกลงสู่ในจิตใต้สำนึกยังคงอยู่ต่อไป แม้จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่รู้กี่อสงไขยหรือกี่แสนกัปป์ก็ตาม ผู้เขียนถือว่ารัฐสักกะเป็นรัฐศาสนาเนื่องจากมีหลักฐานที่แน่นหนากล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ระบบวรรณะเกิดจากความเชื่อเรื่องพระพรหมในฐานะเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นและทำให้พวกเขามีสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ผู้คนเกิดมา สำหรับระบบวรรณะที่ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากมีการตรากฎหมายเพื่อรองรับการแบ่งวรรณะและประกาศใช้เพื่อบังคับประชาชนในรัฐนั้น   

           ดังนั้นเมื่อรัฐสภาศากยวงศ์ได้เห็นภัยจากพราหมณ์มิลักขะในการทำพิธีบูชายัญให้กับมหาราชาแคว้นต่าง ๆ จนที่ศรัทธาและได้รับการแต่งตั้งเป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของมหาราชแคว้นต่าง ๆ จนมีอิทธิพลทางความคิดต่อนโยบายในการบริหารปกครองรัฐสักกะจึงหาทางจำกัดสิทธิและหน้าทีของชาวสักกะเชื้อสายมิลักขะในการประกอบพิธีบูชายัญ การศึกษาและการประกอบอาชีพโดยรัฐสภาศากยวงศ์ ได้นำแนวคิดในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ ตราเป็นกฎหมายแบ่งชั้นวรรณะโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ   ทำงานตามสิทธิและหน้าที่ของตนเท่านั้นทำให้เกิดปัญหาทางสังคมเพราะความรักไม่มีวรรณะ ทำให้เกิดปัญหาของคนจัณฑาล ที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะ ไม่รู้จะจัดให้อยู่ในวรรณะใดจึงไม่มีวรรณะที่ตนเกิดมา 

          ดังนั้นพวกเขาจึงขาดสิทธิ และหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายวรรณะ การแบ่งวรรณะของคนเป็นการจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในการเลือกทางชีวิตในสังคมทำให้ประชาชนแรงบันดาลพัฒนาศักยภาพของชีวิตอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวเท่าทันอารยะประเทศ    ประชาชนถูกการเลือกปฏิบัติเหมือนดั่งชีวิตถูกพระพรหมลิขิตโชคชะตาไว้ รัฐสักกะชนบทจึงเป็นรัฐศาสนาในพระไตรปิฎกด้วยเหตุผลของคำตอบที่กล่าวมาแล้วข้างต้น        

บรรณานุกรม
[๑]https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/epiststemology/02.html
-พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตัตปิฎกเล่มที่ ๑ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) ฑีฆนิกาย สีลกขันธวรรค ๓. อัมพัฏธสูตรกล่าวว่า.....ข้อ (๒๗๖).

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ