Metaphysical problems regarding Sakka as a Brahmin religious state in the Tripitaka.
โดยทั่วไปแล้ว นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วโลกคงเคยได้ยินความคิดเห็นของนักวิชาการด้านการเมืองมาแล้ว พระพุทธศาสนาและปรัชญาในงานสัมมนาวิชาการระดับปริญญาเอกทางพระพุทธศาสนา ปรัชญา และรัฐศาสตร์ เป็นต้น เมื่อได้ฟังการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้ให้ความเห็นทางวิชาการว่าแคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะเป็นรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีกฎหมายรัฐธรรมจารีตประเพณีสูงสุดของประเทศ ที่ใช้ในการบริหารประเทศเรียกว่า "หลักการของราชอปริหานิยธรรม" ถือเป็นหลักการปกครองประเทศที่มีมายาวนาน โดยมีสาระสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่ตราไว้แล้วมีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรมโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ คือวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร ตามคำแนะนำของปุโรหิตที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของวรรณะกษัตริย์ เป็นต้น เมื่อชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว ก็ยอมรับความจริงโดยปริยายว่าแคว้นสักกะเป็นรัฐเอกราชจริงตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลโดยไม่มีเรื่องที่น่าสงสัยอีกต่อไป
ตามหลักอภิปรัชญา มันคือความรู้ของมนุษย์นั้น ต้นกำเนิดความรู้อภิปรัชญาของมนุษย์ องค์ประกอบความรู้ทางอภิปรัชญาของมนุษย์ที่เรียกว่า "นักปรัชญา" วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนาและอภิปรัชญา ประเด็นสุดท้ายคือความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ อภิปรัชญาสนใจที่จะศึกษาปัญหาความจริงขั้นสูงสุดเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น แม้อภิปรัชญาจะเป็นความรู้ของมนุษย์ แต่โดยทั่วไปแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์รวมกันในครรภ์มารดา กำเนิดจากครรภ์มารดาแล้ว ก็จะเกิดเป็นมนุษยใหม่ ร่างกายและจิตใจมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน จิตใจของมนุษย์อาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกาย เพื่อรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต แต่อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของมนุษย์ก็มีข้อจำกัดในการรับรู้และจิตใจของมนุษย์ มีแนวโน้มที่จะอคติต่อมนุษย์คนอื่น ๆเพราะมันเกิดจากความไม่รู้ของตน เกลียดชังผู้อื่นเพราะถูกดูหมิ่น ความกลัวเพราะเขามีบทบาทในหน้าที่ดีกว่าตัวเอง สามารถเป็นประโยชน์และลงโทษตัวเอง และความรัก ความเสน่หาซึ่งกันและกัน ในฐานะเพื่อนร่วมงานรุ่นพี พวกเขาเป็นญาติกัน เป็นต้น ทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในความมืดมน และขาดแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับตัวเองเพื่อการดำเนินชีวิตตามความฝัน จึงเป็นภาระของสังคมและประเทศชาติในการเก็บภาษี เพื่อเยี่ยวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินเพราะเป็นทรัพยากร มนุษย์ที่ขาดคุณภาพไม่มีสติ จำความรู้จากประสบการณ์ของชีวิต และไม่ยอมใช้ปัญญาเพื่อใช้ความรู้นั้น มาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตด้วยตนเอง
ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับสักกะในฐานะรัฐศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎ ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับแคว้นสักกะในฐานะรัฐของศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎก? นี่เป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจและควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการคิดของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า มนุษย์ได้พัฒนาความรู้มาอย่างไร ? จากความคิดของตนเองเป็นลำดับ อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเข้าใจและเข้าถึงสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ของตนเองลดปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อผู้อื่นในสังคม อันเกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่เอาเปรียบซึ่งกันกันด้วยการละเมิดต่อชีวิต และทรัพย์สินจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามหลักวิชาการทางปรัชญานั้น เมื่อผู้ใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงใด ๆ เกี่ยวกับโลก มนุษย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการพิสูจน์ความจริงของเทพเจ้า จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้นๆ ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องดังกล่าวให้พิจารณาว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากประจักษ์พยานเพียงคนเดียว ขาดความน่าเชื่อถือ มีเหตุผลน้อยและไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นความจริง เพราะธรรมชาติโดยทั่วไป มนุษย์มีอคติต่อกันเพราะความเกลียดชัง ความรักใครชอบพอ ความกลัวและความโง่เขลา และมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ ในร่างกายของมนุษย์ มีข้อจำกัดในการรับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ดวงอาทิตย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น จึงทำให้มนุษย์ไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโลก มนุษย์ ดวงอาทิตย์ และการมีอยู่ของเทพเจ้า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์มีทั้งสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์และสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ เราจึงแบ่งความจริงตามหลักอภิปรัชญาออกเป็น ๒ ประเภทกล่าวคือว่า
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality) โดยทั่วไป สิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์ เป็นความจริงที่ยอมรับโดยปริยายและไม่คำนึงถึงสภาพที่แท้จริงของสิ่งนั้น อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น มันอยู่ในสภาพนั้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วจางหายไปในอากาศ แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านี้จะหายไป มนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของตนแล้วสมมติชื่อว่า แผ่นดินไหวในสหภาพเมียน มาร์ พายุในอ่าวไทย, น้ำท่วมทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นต้น เมื่อรับรู้แล้ว จิตใจของมนุษย์จะดึงดูดอารมณ์ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น มาเป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตน แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่รับรู้ และสั่งสมอารมณ์ของปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ จิตยังมีหน้าที่เป็นผู้ปรุงแต่งหรือคิดแล้วก็จะวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นเมื่อความรู้เกี่ยวกับความจริงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้ว สลายตัวเองไปในอากาศ ถือว่าเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้นและเป็นความจริงที่สมมติขึ้น ตัวอย่างเช่น การเกิดของมนุษย์คนใหม่เป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ดำรงชีวิตอยู่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะตายไปตามกฎธรรมชาติมนุษย์จึงเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น เป็นความจริงที่สมมติชื่อขึ้น เป็นต้น แคว้นสักกะโบราณเป็นชุมชาทาการเมืองที่ชาวแคว้นสักกะรวมตัวกันต่อตั้งเป็นรัฐเอกราชที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม เป็นรัฐของศาสนาพราหมณ์ที่พราหมณ์อารยันได้รับแต่งตั้งเป็นพราหมณ์ ที่ประสูติของพระศากยมุนีพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ที่สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลห่างจากประเทศไทยประมาณ ๓,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร เมื่อแคว้นสักกะโบราณเป็นชุมชนทางการเมืองที่ชาวสักกะรวมตัวกันเป็นรัฐอิสระ ที่มีอำนาจอธิปไตยในการปกครองเป็นของตนเองและปกครองในระบอบสามัคคีธรรม เพราะมีการแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ประชาชนเชื่อในคำสอนของพราหมณ์ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์ เป็นต้น ดังนั้น แคว้นสักกะโบราณ จึงเป็นชุมชนทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ ตามหลักวิชาการทางปรัชญาว่า ด้วยความจริงของสื่งทั้งปวงถือว่าแคว้นสักกะเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
๒. ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยทั่วไป ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่สามารถรับรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ด้วยตนเอง เพราะการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์มีจำกัดและอคติของมนุษย์ที่มีต่อกัน ทำให้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในความมืดมิดตลอดเวลา แม้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับมนุษย์ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยมนุษย์ค้นหาสิ่งที่เล็กที่สุดกว่าสายตาจะรับรู้ได้ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นแล้ว ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี หรือเกิดขึ้นอยู่ไกลออกไปเกินที่มนุษย์จะรู้ได้โดยตรง แต่ก็ไม่หลักฐานการค้นพบความรู้ที่แท้จริงในขั้นปรมัตถ์ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ได้แต่อย่างใด แต่เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ก็ค้นพบว่า พระโพธิสัติทรงพัฒนาศักยภาพของชีวิตของพระองค์เองด้วยการปฏิบัติธรรมตามแนวอริยมรรคมีองค์ ๘ จนเกิดญาณทิพย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งเป็นความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้แม้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะมีส่วนช่วยให้มนุษย์ในการค้นหาความจริงของสิ่งต่างๆ ได้ด้วยนักวิทยาศาสตรสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานรวมทั้งช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วจิตของมนุษย์ทำหน้าที่ประเมินข้อมูลและนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ ไปใช้ประโยชน์ในเชิงวิชาการในด้านนั้น ๆ ได้
ด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อนักวิชาการสมัยใหม่ได้พัฒนากระบวน การวิเคราะห์ข้อมูลจาก พยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ และหลักฐานเอกสารดิจิทัล เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ เป็นองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นอย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ ความรู้ทางปรัชญาและพระพุทธศาสนา ควรเริ่มจากความสงสัยของมนุษย์ นักปราชญ์รักในการแสวงความรู้ในเรื่องนั้น ก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากแหล่งความรู้ในพระไตรปิฎก อรรถกถาและบันทึกของพระภิกษุจีน ๒ รูปที่คัดลอกพระไตรปิฎกกลับไปยังประเทศจีน รวมถึงพุทธสถานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐต่าง ๆ เอกสารดิจิทัลได้แก่ แผนที่โลกของกูเกิลและแผนที่ ๑๖ รัฐโบราณในสมัยพุทธกาล เมื่อมีพยานหลักฐานอย่างพอเพียงแล้ว ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อพิสจน์ความจริงในเรื่องนั้นถ้าไม่พยานหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้แล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกอย่างเดียว เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น นักวิชาการสมัยใหม่เห็นว่ายังเหตุผลของคำตอบ ยังมีความน่าเชื่อถือน้อยและข้อเท็จจริงยังมีข้อน่าสงสัยอยู่โดยเฉพาะที่ตั้งของรัฐสักกะ เป็นต้น ดังนั้นหลักวิชาการทางปรัชญาและพระพุทธศาสนา จำเป็นต้องต้องพัฒนาตัวเองให้เท่าทันวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อเป็นที่พึ่งของมนุษย์ในการแก้ปัญหาความทุกข์ในชีวิตได้
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแคว้นสักกะเป็นรัฐในศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา เมื่อผู้เขียนสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากเว็บไซต์ต่าง ๆ และพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และเอกสารหลักฐานอื่น ๆ เป็นต้น ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ นั้น แคว้นสักกะเป็นรัฐเล็กๆ ที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะตามกฎหมายจรีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ได้แก่วรรณะพราหมณ์, วรรณะกษัตริย์, วรรณะแพศย์, วรรณะศูทร เป็นต้น และกำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชนทำงานตามหน้าที่ของวรรณะของตนและห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะ แต่ธรรมชาติของชาวสักกะมีชีวิตที่อ่อนแอจึงไม่สามารถหักห้ามตัณหาราคะของตนเองได้ จึงเกิดการสมสู่กับคนต่างวรรณะ ก็ถูกคนในสังคมตรวจสอบในเรื่องศีลธรรมและสามารถลงโทษได้ตามกฎหมายด้วยการขับไล่ออกถิ่นพำนักไปตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนตามถนนในเมืองใหญ่ เช่น พระนครกบิลพัสดุ์ และพระนครเทวทหะ คนในสังคมยุคนั้นเรียกว่า "คนจัณฑาล เป็นต้น แม้พยานเอกสารคือพระไตรปิฎกมหาจุฬา จะมีข้อมูลในเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน แต่พยานเอกสารยังไม่มีข้อมูลพอเพียงที่จะยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้ได้ เพราะผู้เขียนยังไม่รู้เลยว่าแคว้นสักกะโบราณ เป็นเหตุการณ์ทางชุมชนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านนั้น ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของชุมชนทางการเมืองนี้ตั้งอยู่ในชมพูทวีปในปัจจุบันนั้นตั้งที่ไหนของโลก ทำให้ผู้เขียนสงสัยในการมีอยู่ของแคว้นสักกะ เมื่อที่มาของความรู้เรื่องแคว้นสักกะนั้นยังไม่ชัดเจนเพราะผู้เขียนมีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอวัยวะอินทรีย์ ๖ ของร่างกายของตนเอง แม้จะจินตนาการตามตำราพระพุทธศาสนาก็ไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้เพราะเมืองโบราณกบิลพัสดุ์นั้นตั้งอยู่ไกลจากอวัยวะอินทรีย์ ๖ ของผู้เขียนที่จะรับรู้ร่องรอยโบราณสถานของตัวเมืองพระนครกบิลพัสดุ์ทำให้ผู้เขียนสงสัยการมีอยู่ของเมืองโบราณแห่งนี้ ไม่มีหลักฐานอื่นใดพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ แต่ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ (love of wisdom) เกี่ยวกับแคว้นสักกะต่อไป จึงได้สอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องนี้ทั้งเอกสารหลักฐาน วัตถุพยานและประจักษ์พยาน เป็นต้น แม้ว่าหลักฐานเหล่านี้จะหาได้ยากเพราะเวลาผ่านไป ๒,๕๐๐ กว่าปี พยานหลักฐานเกือบหายไปหมดสิ้นหลักฐานเดียวที่เหลือในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เท่านั้น การที่จะเดินทางสำรวจที่ตั้งของอาณาจักรสักกะโบราณแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาหิมาลัยในประเทศเนปาลห่างจากไทยกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตร เป็นการยากที่จะสำรวจอาณาจักรโบราณแห่งนี้ ซึ่งต้องใช้ทุนมหาศาลในการสำรวจแคว้นสักกะซึ่งสูญเสียอำนาจอธิปไตยไปกว่า ๒,๕๐๐ ปีหลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และไม่มีชื่อแคว้นสักกะปรากฏบนแผนที่โลกของกูเกิลแต่สถานภาพของแคว้นสักกะนั้นปรากฏชัดจากหลักฐานในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน แต่เป็นเพียงหลักฐานทางเอกสารเท่านั้นพยานวัตถุที่แสดงว่าแคว้นสักกะเคยตั้งเป็นแคว้นสักกะอยู่ที่ไหน? ส่วนพยานบุคคลที่เกิดในยุคนั้นก็ตายไปจนหมดแล้วและควงวิญญาณได้ออกจากร่างไปจุติในสังสารวัฏแล้ว
ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๐ สาธารณรัฐอินเดียได้รับเอกราชจากการปกครองของอังกฤษและในปี พ. ศ. ๒๕๐๐ นายชวาหะร์ลาลเนรูห์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งสาธารณรัฐอินเดียได้เชิญประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั่วโลกมาสร้างวัดในสังเวนียสถานทั้ง ๓ เมือง ที่สาธารณรัฐอินเดีย และสวนลุมพินีสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ตั้งอยู่อำเภอรูปานเดฮี (Rupandehi) จังหวัดหมายเลข ๕ ของประเทศเนปาล ทำให้พระพุทธศาสนาที่เสื่อมถอยลงตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๓๐๐ เนื่องจากพราหมณ์ได้ปฏิรูปสังคมในศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดู โดยละเว้นการฆ่าสัตว์บูชายัญและละเว้นการกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร จึงเป็นที่ศรัทธาของมหาราชาของรัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย เมื่อพระพุทธศาสนาถูกทำลายล้างโดยอำนาจของผู้นำทางการเมือง ชาวฮินดูเปลี่ยนวัดพุทธเป็นวัดฮินดู ดัดแปลงเสาหินอโศกเป็นศิวลึงค์ ทำให้ชาวหายไปจากอาณาเขตของสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพุทธศาสนา ที่ยังคงมีเพียงหลักฐานซากปรักหักพังของพุทธโบราณสถานให้คนรุ่นหลังระลึกถึงความประมาทในชีวิตของชาวพุทธ และบันทึกไว้เป็นหลักฐานไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้นเมื่ออินเดียและเนปาลเปิดประเทศรับชาวพุทธทั่วโลก เพื่อให้ชาวพุทธจากทั่วโลกเดินทางไปแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ และฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวพุทธให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ชาวพุทธทั่วโลกแห่กันมาแสวงบุญเพื่อเจริญรอยตามพระพุทธเจ้าในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ และชาวพุทธเริ่มสนใจศึกษาพระไตรปิฎกมากกว่ายุคอื่นๆ ทำให้วงการวิชาการพระพุทธศาสนากลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยเฉพาะประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง๔ เมืองซึ่งพระภิกษุผู้ชำนาญด้านพระพุทธศาสนาทั้งด้านวิชาการและการปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตชาวพุทธ จึงได้รับความสนใจจากผู้แสวงบุญชาวพุทธในประเทศไทยและชาวพุทธทั่วโลก หัวข้อของพระพุทธศาสนามีอยู่ในพระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารทางวิชาการอื่น ๆ การสัมมนาวิชาการด้านพระพุทธศาสนาเริ่มถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อใช้ในการบรรยายให้กับผู้แสวงบุญอีกครั้ง ดังนั้นการพิสูจน์การมีอยู่จริงของแคว้นสักกะนี้ ขึงต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากแหล่งความรู้ในพยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคล และพยานเอกสารดิจิทัลแล้ว แต่โครงสร้างของความเป็นรัฐศาสนาของพราหมณ์ยังไม่ชัดเจน จึงต้องใช้คำจำกัดความของคำว่า"รัฐ" จากแหล่งความรู้ในพจนานุกรมแปลไทย-ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ เพื่อเป็นหลักในการวิเคราะห์องค์ประกอบของความเป็นรัฐศาสนาจากหลักฐานต่างๆ เพื่อหาเหตุผลของคำตอบเกี่ยวกับ รัฐสักกะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานเกี่ยวกับลักษณะของความเป็น"รัฐ" จากแหล่งความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามคำว่า "ประเทศ" ว่า บ้านเมือง แว่นแคว้น และประเทศ เป็นต้นและตามพจนานุกรมแปลไทย-ไทยราชบัณฑิตยสถานได้นิยามว่า"รัฐคือชุมชนแห่งมนุษย์ที่มั่นอยู่ในดินแดน อันมีอาณาเขตแน่นอนมีอำนาจอธิปไตยจะใช้อย่างอิสระ และมีการปกครองอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ของบรรดามนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนั้น [1] จากคำนิยามของข้อมูลคำว่า"รัฐ" จากแหล่งความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ และพจนานุกรมแปลไทย-ไทยราชบัณฑิตย สถานนั้นผู้เขียนตีความคำนิยามได้ว่า รัฐ หมายถึง บ้านเมือง หรือแว่นแคว้น ส่วนลักษณะของรัฐนั้นต้องมี
(๑) เป็นชุมชนของประชาชน
(๒) ที่ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนอันมีอาณาขตแน่นอน
(๓) มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้อย่างอิสระมิได้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐหนึ่งรัฐใด และ
(๔) มีการปกครองอย่างมีระเบียบเพื่อประโยช์ของประชาชนที่อยู่ร่วมกันนั้น
เมื่อศึกษาคำนิยามจากพยานเอกสารข้างต้น มีประเด็นต้องตีความเพื่อแสดงความลักษณะของความเป็นรัฐสักกะดังต่อไปนี้กล่าวคือ
๑. รัฐสักกะเป็นชุมชนของประชาชน โดยธรรมชาติ มนุษย์มีความกลัวซ่อนอยู่ในจิตใจจึงเป็นเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนทางการเมืองเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิและหน้าที่ของตนเองเพื่อมิให้ผู้ใดละเมิดชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง เมื่อชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะพัฒนาตัวเองเป็นรัฐอิสระที่มีอธิปไตยของตนเอง คำว่า"รัฐ" ต้องมีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น จึงถือเป็นรัฐสมบูรณ์ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ถ้ารัฐใดไม่มีคนอยู่ถือก็จะกลายเป็นรัฐร้างและรักษาเอกราชไม่ได้ ดังนั้นทำให้สูญเสียความเป็นรัฐไป
มีปัญหาที่สงสัยเกี่ยวกับความจริงของชุมชนชาวสักกะ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ หน้า: ๕๒๒] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [๑๑.โสตาปัตติสังยุต] ๓.สรณานิวรรค ๑.ปฐมมหานามสูตร [ข้อ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่า มหานามะเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กรุงพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีถนนคับแคบ ภายในพระนครกบิลพัสดุ์นั้นในสมัยพุทธกาลนั้นจะเห็นช้างบ้าง เห็นม้าบ้าง เห็นรถ เห็นเกวียนบ้าง เห็นคนพลุกพล่านขวักไขว่......
ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ และได้ฟังข้อเท็จจริงว่า พระนครกบิลพัสดุ์เมืองหลวงของแคว้นสักกะนั้น มีความมั่งคั่งเพราะเป็นย่านการค้าขาย มีความอุดมสมบูรณ์เพราะปลูกข้าวได้มาก มีผู้คนจำนวนมากตั้งบ้านเรือนและอยู่รวมกัน ชาวกบิลพัสดุ์ทำธุรกิจค้าข้าวและส่งออกไปต่างประเทศสั่งซื้อสินค้าเช่นเสื้อผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผ้าไหมจากแคว้นกาสีที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมใช้ในชนวรรณะกษัตริย์ รัฐสักกะเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์เพราะเป็นแหล่งผลิตข้าว ปลา เป็นอาหารหาง่าย ในพระนครกบิลพัสดุ์ จึงมีชนวรรณะสูงนิยมกันสร้างปราสาทในเขตพระราชวังศากยวงศ์ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหลายหลังทุกวันบนท้องถนน การจราจรคับคั่งเต็มไปด้วยช้าง ม้า รถ เกวียน ผู้คนเดินพลุ่กพล่านไปมาหาสู่กันตลอดทั้งวัน เป็นสภาพปรากฎการณ์ทางสังคมในพระนครกบิลพัสดุ์ เมื่อไม่มีพยานเอกสารแลพยานบุคคลอื่นใดยกข้อความขึ้นมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ ก็ไม่มีเหตุผลน่าสงสัยสำหรับคำตอบอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าแคว้นสักกะเป็น รัฐอิสระที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริงและเจริญรุ่งยิ่งในช่วงยุคต้นพุทธกาลแล้ว
๒. รัฐสักกะตั้งมั่นคงในดินแดนที่มีอาณาขตแน่นอน จากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๙ พระสุตตัตปิฎกเล่มที่๑ (ฉบับมหาจุฬาฯ) ฑีฆนิกายสีลกขันธวรรค๓. อัมพัฏธสูตรกล่าวว่าข้อ(๒๗๖) ว่าพระเจ้าโอกกากราชตรัสถามอำมาตย์ราชบริพารว่าเวลานี้พระราชกุมารอยู่ไหนเวลานี้ อำมาตย์ตอบว่าพระราชกุมารอยู่ราวป่า ณ สากะใหญ่ ริมฝั่งโบกขรณี เชิงเขาหิมพานต์" รัฐสักกะนอกจากจะมีชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู๋แล้ว ยังมีปัจจัยหนึ่งที่จะแสดงความเป็นประเทศได้ ชุมชนนั้นต้องมีอาณาเขตแน่นอนและมีพรมแดนติดกับรัฐต่าง ๆ หรือไม่ ผู้เขียนฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า แคว้นสักกะแยกตัวเองเป็นอิสระจากแคว้นโกลิยะ เมื่อพระเจ้าโอกกากราช ทรงโปรดให้พระราชบุตรและพระราชธิดาไปสร้างเมืองแห่งใหม่เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ได้ฟังข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าเมืองใหม่ของพระราชบุตรและพระราชบุตรีของพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ที่ราวป่าสากะ ริมฝั่งโบกขรณีและเชิงเขาหิมพานต์ มีประเด็นต้องแยกวิเคราะห์ดังต่อไปนี้
๒.๑ ป่าสากะใหญ่ จากข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกนั้นฟังได้ว่า เมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงตัดสินพระทัยมอบราชสมบัติแก่พระโอรสซึ่งประสูติกาลจากพระมเหสีองค์ใหม่และทรงโปรด ฯ ให้พระโอรสของพระมเหสีองค์ก่อนไปสร้างพระนครแห่งใหม่ ที่ตั้งอยู่ ณ ราวป่าสากะนั้น คำว่า"ป่าสากะ" ผู้เขียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความจริงของ "ต้นไม้สาละ" จากเอกสารทางวิชาการป่าไม้ในอินเตอร์เน็ต ผู้เขียนพบข้อมูลว่า ต้นสาละเป็นต้นไม้พื้นเมืองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าของเทือกเขาหิมาลัยในประเทศสหพันธรัฐประชาธิปไตยเนปาล ซึ่งสอดคล้องกับข้อความในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ได้ว่า พระนครแห่งใหม่ของพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ในเขตป่าสาละติดกับเชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัยอย่างชัดเจนไม่มีข้อสงสัย เมื่อไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดยกขึ้นมากล่าวอ้าง เพื่อโต้แย้งหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกอีกต่อไป ผู้เห็นว่าชุมชนของรัฐสักกะตั้งอยู่ในดินแดนป่าสาละขนาดใหญ่จริง
๒.๒ ริมฝั่งสระโบกขรณี ความเป็นรัฐสักกะในองค์ประกอบของรัฐนอกจากตั้งอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอนแล้ว จากแหล่งความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ระบุว่าเมืองหลวงแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ในป่าสาละเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม และตั้งอยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี เพื่อเป็นแหล่งน้ำให้ประชาชนได้บริโภคและอุปโภคได้อย่างพอเพียงเพื่อหุงหาอาหาร ซักเสื้อผ้าชำระล้างร่างกาย การเกษตรกรรมและเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติให้ประชาชนหาปลามาบริโภคได้ตลอดทั้งปี
ปัญหาว่าสระโบกขรณีมีหรือไม่ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสธุดงค์ไปที่อำเภอกบิลพัสดุ์จังหวัดหมายเลข๕ ตั้งอยู่ในทางใต้ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มีโอกาสได้เยี่ยมชมทะเลสาบจากาดิสปูร์ ( jagadispur Lake) หรือรัฐาลเรียกว่าอ่างเก็บน้ำจากาดิสปูร์ (Jagadispur Reservoir) เนื้อที่ ๒๒๕ เฮกเตอร์ หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าไร่ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำบางอันกา (Banganga River) ผู้เขียนเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คือสระโบกขรณีที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎกเพราะเป็นหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลตั้งอยู่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (Ancient Apilavastu)
ปัญหาว่าสระโบกขรณีมีหรือไม่ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสธุดงค์ไปที่อำเภอกบิลพัสดุ์จังหวัดหมายเลข๕ ตั้งอยู่ในทางใต้ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มีโอกาสได้เยี่ยมชมทะเลสาบจากาดิสปูร์ ( jagadispur Lake) หรือรัฐาลเรียกว่าอ่างเก็บน้ำจากาดิสปูร์ (Jagadispur Reservoir) เนื้อที่ ๒๒๕ เฮกเตอร์ หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าไร่ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำบางอันกา (Banganga River) ผู้เขียนเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คือสระโบกขรณีที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎกเพราะเป็นหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลตั้งอยู่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (Ancient Apilavastu)
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบจากาดิสปูร์jagadispur Lake ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ และไม่ไกลจากเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณสภาพทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบันจึงสอดคล้องกับข้อมูลในพระไตรปิฎกเมื่อผู้เขียนดูภาพถ่ายของแผนที่โลก(Google Map) เราพบทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้เชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัยและรายล้อมไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมของชาวเนปาลที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น ผู้เขียนเห็นว่าJagadispur Reservoir ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่นั้นคือสระน้ำโบกขรณีได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเอง
๒.๓ เชิงเขาหิมพานต์ คำว่า "หิมพานต์" ในเบื้องต้น เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่แหล่งความรู้ในพยานเอกสารพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้น คำว่า "หิมพานต์" หมายถึงป่าหนาวแถบเหนือของอินเดียหมายถึง ป่าดงดิบในเขตภูเขาหิมาลัยและเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิล ได้ชี้ชัดว่าภูเขาทางตอนเหนือของสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล คือเทือกเขาหิมาลัยตั้งอยู่จริง ๆ
๒.๔แผนที่โลก(Google Maps) เมื่อผู้เขียนได้ค้นคว้าข้อมูลของแผนที่โลกกูเกิลซึ่งเป็นพยานเอกสารดิจิทัลที่สำคัญต่อพุทธศาสนา เเนื่องจากเป็นภาพถ่ายจากดาวเทียมซึ่งเป็นแผนที่โลกที่นักวิชาการยอมรับว่าเป็นแผนที่ที่แม่นยำที่สุดและมีความเป็นสากลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากนักโบราณคดีคิดจะใช้ข้อมูลในพระไตรปิฎกในการสำรวจภาคสนาม เพื่อค้นหาป่าสาละ แอ่งน้ำสระโบกขรณี และที่ราบเชิงเขาหิมาลัย เพื่อค้นหาสถานที่ตั้งของเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ค่อนข้างยาก เนื่องจากขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์มีข้อจำกัด ในการค้นหาดินแดนของแคว้นสักกะ ต้องอาศัยทีมสำรวจจำนวนมาก มีการใช้จ่ายงบประมาณมหาศาลในด้านต่าง ๆ และใช้เวลาหลายปี เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วต้องอาศัยนักวิชาการในหลาย ๆ สาขา ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อค้นหาเหตุผลสำหรับคำตอบเกี่ยวกับการมีอยู่ของแคว้นสักกะ นั่นคือความรู้ที่ผ่านเกณฑ์ตัดสินที่สมเหตุสมผล และอธิบายเหตุผลของข้อเท็จจริงที่ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของสถานที่ตั้งของรัฐสักกะ เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลก (Google Map) ผู้เขียนค้นพบชื่อเมืองกบิลพัสดุ์ถูกระบุไว้ในพยานเอกสารดิจิทัลคือแผนที่โลกของกูเกิลอย่างชัดเจน ตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขาหิมาลัย ห่างกัน ๑๖ กิโลเมตรนอกจากนี้ในแผนที่โลกของกูเกิล ใกล้กับเมืองกบิลพัสดุ์มีทะเลสาบโบราณขนาดใหญ่อีก ๑ แห่ง ตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน ทำให้ปราศจากข้อสงสัยของความร้และความจริงที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด (ตรวจ) ๒.๕ อาณาเขตของแคว้นสักกะติดต่อกับรัฐใดบ้างนั้น เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพยานเอกสารดิจิทัลคือแผนที่ชมพูทวีปสมัยพุทธกาล ได้นักวิชาการหลายท่านได้จัดทำขึ้นมาและแชร์ข้อมูลไว้ในอินเตอร์เน็ตจำนวนหลายฉบับด้วยกันเมื่อรับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นข้อยุติว่าอาณาเขตของแคว้นสักกะนั้นทิศเหนือจดภูเขาหิมาลัย ทิศตะวันตกจดแคว้นโกลิยะ ทิศตะวันออกจดแคว้นมัลละ ทิศใต้จดแคว้นโกศล จากข้อมูลพยานพุทธวิทยาศาสตร์ของแผนที่ชมพูทวีปโบราณที่ถูกแชร์ไว้ในโลกออนไลน์นั้น ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า เมื่อข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสาร พยานวัตุ และพยานพุทธวิทยาศาสตร์ได้แก่ แผนที่โลกของกูเกิลนั้น ผู้เขียนเห็นว่า ดินแดนแคว้นสักกะชนบทนในสมัยพุทธกาล เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ในป่าสาละอันเป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในภูเขาหิมาลัยแล้ว ประชาชนตั้งถิ่นฐานอยู่บนริมฝั่งสระน้ำโบกขรณีแล้ว และดินแดนตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขาหิมพานต์ด้วยเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิลและแผนที่ชมพูทวีปโบราณผู้เขียนเห็นว่าทางทิศเหนือของพระนครกบิลพัสดุ์นั้นเป็นเทือกเขาหิมาลัยมีเป็นลักษณะทอดยาวไปยังดินแดนของหลายรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระนครกบิลพัสดุ์ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกสอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของภาพถ่ายจากดาวเทียมในแผนที่โลกกูเกิล เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผล และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุผลในความมีอยู่ของรัฐสักกะต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าพระนครกบิลพัสดุ์ตั้งอยู่กับเชิงหิมาลัยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
๓.รัฐสักกะมีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้อย่างอิสระมิได้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐหนึ่งรัฐใดประเทศหรือรัฐอิสระต้องมีอำนาจประชาธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน ดังปรากฏหลักฐานที่มาของความรู้จากพยานเอกสารออนไลน์ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ [2] และประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น ๓ อำนาจด้วยกันกล่าวคือ อำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายผ่านรัฐสภาที่เรียกว่า"สัณฐาคาร"เป็นที่ประชุมของรัฐสภา อำนาจนิติบริหารผ่านประชุมของคณะรัฐบาลเพื่อประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เพื่อลงมติในการตัดสินปัญหาต่างๆของประเทศ อำนาจตลุลาการ ในการตัดสินอรรถคดีต่าง ๆ มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้อย่างอิสระมิได้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐหนึ่งรัฐใดเป็นต้นในสมัยพุทธกาลนั้น แคว้นสักกะ มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ใช้อำนาจออกตนอย่างอิสระ ไม่ปรากฏหลักฐานใดในพระไตรปิฎกว่า แคว้นสักกะนั้นอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของรัฐโกศลและรัฐโกลิยะแต่อย่างใดมีแต่ราชอาณาจักรโกศลนั้นที่ยกทัพมาโจมตีเพราะมิจฉาทิฐิของพระเจ้าวิฑูฑพะดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าแคว้นสักกะมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
๔. รัฐสักกะมีการปกครองอย่างมีระเบียบ เพื่อประโยช์ของประชาชนที่อยู่ร่วมกัน
ในยุคปัจจุบัน เมื่อรัฐเป็นชุมชนขนาดใหญ่มีผู้คนอาศัยอยู่ในชุมชนนั้น และแต่ละคนมีจริตแนวโน้มของความชอบแตกต่างกันออกไปตามตัณหาของตนเอง เมื่อผู้คนแสวงหาสิ่งที่ตัวเองพอใจมาสนองตัณหาที่ไม่มีวันพอเพียง ทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีกันไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ทำร้ายและฆ่ากัน การลักเล็กขโมยน้อย แย่งคนที่เขาสมัครรักใคร่กัน การดูหมิ่นเกลียดชังซึ่งกันและกัน และการดื่มสุรายาเมาเพื่อเพิ่มปริมาณความสุขในชีวิตให้มากยิ่งขึ้นเป็นความสุขที่ได้โดยการแลกสุขภาพ ผลของกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน มีเหตุผลในการดำเนินชีวิตแตกต่างกันและแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมที่ตนอยู่อาศัยนั้นตามตัณหาตน เมื่อได้ผลประโยชน์ที่ตนต้องการแล้วชีวิตก็มีความพอใจแต่ถ้าไม่ได้ตามปรารถนาของตนต้องการเกิดความคิดริษยาจิตมิจฉาทิฏฐิหาทางแก้แค้นไม่ยอมแก้ไขด้วยสติปัญญาของตนเอง แสดงเจตนาที่กำเนิดขึ้นมานั้น ผ่านการรับรองจากสมาชิกขององค์การสหประชาชาติได้นั้น ต้องมีความสามารถปกครองตนเองมีเอกราชคืออำนาจอธิปไตยเป็นตนเอง เป็นต้น เมื่อแคว้นสักกะได้ประกาศอิสระภาพ แยกตัวเองออกมาจากแคว้นโกลิยะแล้วเป็นรัฐมีความสามารถในการปกครองตนเอง และมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ ตั้งอยู่ห่างจากพระนครเทวทหะไปประมาณ ๘๐ กิโลเมตรมีแม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตของแคว้นทั้งสองให้อิสระจากกัน ต่างก็มีอำนาจอธิไตยเป็นของตนเอง
สระโบกขรณีที่เรียกว่า jagadispur Lake |
๔.๑ กฏหมายรัฐธรรมนูญของแคว้นสักกะ มีปัญหาที่ยังสงสัยต้องหาข้อมูลมาวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบว่า แคว้นสักกะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้เป็นระเบียบในการบริหารปกครองแคว้นหรือไม่เพียงใด เมื่อผู้เขียนหาข้อมูลคำว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญในพยานเอกสารพระไตรปิฎกดิจิทัล ไม่ปรากฏกหลักฐานแต่อย่างใด ผู้เขียนตัดสินใจค้นหาข้อความอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกันคือคำว่า "นิติศาสตร์" ผู้เขียนค้นพบข้อความคำว่านิติศาสตร์ใช้อธิบายคำว่า"ธรรมของกษัตริย์" ในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.อสีตินิบาต] ๕.มหาสุตโสมชาดก[๔๓๐] พระองค์ทรงพ้นจากเงื้อมมือโจรโปริสาทเสด็จไปถึงราชมณเฑียรของพระองค์ ทรงเพลิดเพลินอยู่ในกาม เสด็จกลับมาสู่เงื้อมมือของหม่อมฉันผู้เป็นศัตรูอีก พระองค์ช่างเป็นผู้ไม่ฉลาด ในธรรมของกษัตริย์ เลยนะพระเจ้าข้า" คำว่า"ธรรมของกษัตริย์" ได้อธิบายอ้างอิงไว้หมายถึง"หลักนิติศาสตร์" เป็นระเบียบในการบริหารปกครองประเทศของพวกวรรณะกษัตริย์ในสมัย เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าในสมัยพุทธกาลนั้นแคว้นแต่ละแคว้นในชมพูทวีปนั้น มีระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองประเทศเรียกว่าธรรมกษัตริย์หรือหลักนิติศาสตร์ ไม่ใช่คำว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญเช่นในยุคสมัยปัจจุบันแต่อย่างใด สำหรับหลักธรรมสำหรับนักบริหารที่ปรากฎหลักฐานในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์เรียกว่า"อปริหานิยธรรม" แต่นักบริหารในสมัยพุทธกาลไม่ได้มีความหมายหลากหลายอย่างทุกวันนี้ผู้มีสิทธิหน้าที่อย่างชัดเจนตามกฎหมายแบ่งชนชั้นใน๔ วรรณะได้แก่ชนวรรณะกษัตริย์มีสิทธิหน้าที่ในการบริหารปกครองประเทศเท่านั้น
๔.๒ ปัญหาว่าแคว้นสักกะได้แบ่งผู้คนเป็น ๔ วรรณะหรือไม่ เพียงใด เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ตามพยานเอกสารดิจิทัลในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาฯเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ทีฆนิกายปาฏิกวรรค [๔.อัคคัญญสูตร] ข้อ ๑๑๔..... พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรสเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น...และข้อ. ๑๑๕....วรรณ ๔ เหล่านี้คือ (๑)กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์ และ(๔) ศูทร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๔.พราหมณมนวรรค] ๕.จังกีสูตร ข้อ ๔๓๕ วรรคสุดท้าย.....สมณโล้นเหล่านี้ เป็นสามัญชนเกิดจากพระบาทของพระพรหมเป็นกัณหชาติ (วรรณะศูทร) และในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๒.จุฬวรรค] ๗.พรหมณธัมมิกสูตร ข้อ.๓๑๘ กษัตริย์ พราหมณ์ พร้อมทั้งแพศย์และศูทรที่เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพรหม ที่ได้รับความคุ้มครองจากวงศ์ตระกูลของตน....
เมื่อผู้เขียนได้ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฏกออนไลน์แล้ว รับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่าชาวแคว้นสักกะมีความเชื่อว่า พระพรหมมีอยู่จริงและสร้างประชาชน ๔ วรรณะได้แก่ ชนวรรณะกษัตริย์ ชนวรรณะพราหมณ์ ชนวรรณะแพศย์ และชนวรรณะศูทร ทรงสร้างขึ้นมาส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายแห่งพระพรหม พวกพราหมณ์นั้นสร้างจากพระโอษฐ์ของพระพรหม และชนวรรณะศูทรจากพระบาทแห่งพระพรหมที่ทรงสร้างขึ้นมา ส่วนวรรณะกษัตริย์และวรรณะแพศย์ แม้จะยังหาหลักฐานในพระไตรปิฎกมิได้ แต่ข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตเล่มที่ ๑๗ รับฟังได้ว่า ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพระพรหม เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดยกขึ้นมาหักล้างโต้แย้งข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ ให้มีข้อพิรุธเป็นอย่างอื่น ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลแล้วเห็นว่า ชาวแคว้นสักกะนั้นในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น มีความเชื่อว่าพระพรหมทรงมีอยู่จริง และสร้างชาวประชาชนชาวสักกะ ๔ วรรณะได้แก่ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์วรรณะแพศย์และวรรณศูทรจากพระวรกายแห่งพระพรหมจริง๔.๓ มีปัญหาต่อไปอีกว่า เมื่อแคว้นสักกะออกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งประชาชนออกเป็นวรรณะ ๔ พวกแล้ว เกิดปัญหาต่อประชาชนชาวสักกะตามมาอย่างไร เกิดปัญหาคนไร้วรรณะขึ้นมาในสังแคว้นสักกะเมื่อมีการแต่งงานข้ามวรรณะขึ้นมาในระหว่างคนวรรณะพราหมณ์กับคนวรรณะศูทรหรือวรรณะอื่น ๆ ต้องสูญเสียสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพของตนตามวรรณะที่เกิดมาตามกฎหมาย และลูกที่เกิดมากลายเป็น "ชนไร้วรรณะ" เช่นกันที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พวกจัณฑาล" ดังปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ ๕.พราหมณวรรค ๒.โทณพราหมณสูตร ข้อ ๑๙๒ วรรคสุดท้ายกล่าวว่า.......พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างไร คือพราหมณ์ในโลกนี้เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูล เขาประพฤติโกมารพรหมจรรย์ เรียนมนต์อยู่ ๔๘ ปีแสวงหาทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่อาจารย์โดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยกสิกรรมบ้าง แสวงหาด้วยพาณิชยกรรมบ้าง แสวงหาด้วยโครักขกรรมบ้าง แสวงหาด้วยการเป็นนักรบบ้าง แสวงหาด้วยการรับราชการบ้าง แสวงหาด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ถือกระเบื้องเที่ยวภิกขาจารบ้าง เขามอบทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่ออาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยการซื้อบ้าง แสวงหาด้วยการขายบ้าง แสวงหานางพราหมณีที่เขายกให้ด้วยการหลั่งน้ำบ้าง สมสู่กับนางพราหมณีบ้าง สตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง นายพรานบ้าง ช่างสานบ้าง ช่างรถบ้าง คนขนขยะบ้าง สตรีมีครรภ์บ้าง สตรีมีลูกอ่อนบ้าง สตรีมีระดูบ้าง สตรีหมดระดูบ้าง พราหมณีนั้นเป็นพราหมณีของพราหมณ์เพราะต้องการความใคร่บ้าง เพราะต้องการความสนุกบ้างเพราะต้องการความยินดีบ้าง เพราะต้องการบุตรบ้าง เขาเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง พวกพราหมณ์ได้กล่าวกับเขาอย่างนี้ว่า "ท่านปฏิญญาว่าเป็นพราหมณ์ ผู้เจริญเพราะเหตุไร จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง เขาตอบอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญเปรียบเสมือนไฟไหม้ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด ถึงแม้พราหมณ์เลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่างก็จริง แต่พราหมณ์ไม่ยึดติดกับการงานนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง" เพราะเหตุดังนี้แล ชาวโลกจึงเรียกว่า พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างนี้แล"
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากข้อความอันเป็นที่มาของความรู้ในพยานเอกสารดิจิทัลพระไตรปิฎกออนไลน์นั้นมีข้อเท็จจริงฟังได้เป็นข้อยุติว่า เมื่อชนวรรณะพราหมณ์สมสู่กับสตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง สตรีชั้นนางวรรณะแพศย์บ้าง และวรรณะศูทรบ้าง ต้องสละวรรณะที่ตนกำเนิดมาและหมดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรระที่ตนเกิดมาต่อไปกลายเป็นคนไร้วรรณะต่อไป ส่วนลูกเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะนั้น เมื่อบุตรเกิดมาจากวรรณะไม่บริสุทธิ์โดยสายเลือดก็ไม่มีวรรระที่ตนกำเนิดมาก็กลายเป็น "พวกจัณฑาล" ไปเช่นเดียวกัน เมื่อชนไร้วรรณะเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นทุกปีเกิดปัญหาการดูหมิ่นเกลียดชังกันมากขึ้น เกิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันมากยิ่งขึ้น กลายเป็นปัญหาขัดต่อสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนชาวสักกะ นำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาในพระพรหม และเมื่อพวกวรรณะสูงมองเห็นปัญหาเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าแล้ว เป็นเรื่องยากที่ชนวรรณะกษัตริย์จะบริหารปกครองประเทศที่จะเจริญรุ่งเรืองแก่ชนวรรณะสูงเพียงฝ่ายเดียวโดยมิได้มีทางเสื่อมลงได้ จำเป็นต้องออกฎหมายจารีตประเพณีห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ ผู้ใดฝ่าจะถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมด้วยการถูกขับไล่ออกจากถิ่นพำนักที่ตนอาศัยโดยคนในสังคมนั้น
๕ ซากโบราณสถานพระนครกบิลพัสดุ์ (the ancient apilavastu) เป็นพยานวัตถุที่สำคัญที่แสดงถึงความมีอยู่พระนครกบิลพัสดุ์ เมื่อเจ้าหน้าที่กองโบราณคดีได้ค้นพบ สวนลุมพินีได้หลักฐานอย่างมั่นคงยืนยันจากหลักฐานอักษรพรหมีบนเสาหินอโศกว่าสถานที่เรียกว่าMaya devi temple นั้น เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว การค้นหาโบราณสถานเมืองกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่นั้นโดยอาศัยเสาหินอโศกเป็นจุดเริ่มต้นค้นหาได้ค้นพบเมืองโบราณอันเก่าแก่ตั้งอยู่ในอำเภอTaulihawa เมื่อดูแผนที่โลกกูเกิลวัดระยะทางแล้วเห็นว่า ตั้งอยู่ห่างมากนักจาก สวนลุมพินีและเทือกเขาหิมาลัยต่อมาทางราชการของประเทศเนปาลได้เปลี่ยนชื่ออำเภอ Taulihawaให้เป็น อำเภอกบิลพัสดุ์เพื่อให้ชาวพุทธได้ระลึกว่า ที่นี้คือบ้านเกิดเมืองนอนของพระพุทธเจ้า มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ราบที่อยู่ติดกับเชิงหิมาลัย ใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรกรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน สอดคล้องกับพยานเอกสารที่มีการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า ชาวสักกะชนบทและชาวโกลิยวงศ์นั้น มีอาชีพทำนาเป็นหลักทั้งสองแคว้นเคยทำสงครามแย่งน้ำกันเข้านาของตน แม้รัฐแห่งพระราชวงศ์ศากยวงศ์แห่งนี้จะสูญหายไปเพราะถูกทำลายไป ตั้งแต่ในสมัยของพระเจ้าวิฑูทัพพะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพมาทำลายล้างชนวรรณะกษัตริย์ศากยวงศ์ เมื่อ ๒ ปีก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน แต่ก็มีการสร้างใหม่ขึ้นมาปัจจุบันน่าจะอยู่ในเขตประเทศอินเดีย
การวิเคราะห์ข้อมูล จากที่มาของความรู้ในเอกสารหลักฐานตามพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ พยานวัตถุของพุทธสถานโบราณอันเก่าแก่ที่เรียกว่า"Anciennt kapilvastu" และสระโบกขรณีที่เรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir" นั้น รับฟังข้อเท็จจริงโดยสรุปว่า แคว้นสักกะเป็นชุมชนทางการเมืองที่ชาวสักกะตั้งขึ้นอยู่ในบริเวณ (๑) เขตแดนป่าสาละซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเป็นพืชเมืองประจำท้องถิ่นของประเทศเนปาลจริงซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้เขียนต้องวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในประเด็นอีกต่อไป (๒)ตั้งอยู่ริมฝั่งสระโบกขรณีเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคนั้น เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์อยู่ในใจของผู้เขียนเมื่อได้เดินธุดงค์ซึ่งในยุคสมัยปัจจุบันของอำเภอกบิลพัสดุ์แล้ว ผู้เขียนเห็นว่ามีหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนปาลเรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir" ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์นี้ เป็นสถานที่ผลิตน้ำอุปโภคและบริโภคของประชาชนในเมืองนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อได้ว่าแหล่งน้ำใช้บริโภคและอุปโภคตั้งแต่พระเจ้าโอกกากราชจริง (๓) ติดกับภูเขาหิมาลัยเมื่อตรวจสอบข้อมูลสถานที่ตั้งอำเภอกบิลพัสดุ์กับพยานพุทธวิทยาศาสตร์ได้แก่ แผนที่โลกของกูเกิลแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าภูมิศาสตร์ของอำเภอกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบติดกับเชิงเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ราบลุ่มชุ่มไปด้วยน้ำซับไหลมาจากภูเขาหิมาลัยเหมาะแก่การทำการเกษตรกรรมได้ตลอดทั้งปี ในฤดูฝนชาวสักกะสามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้อย่างอุดมสมบูรณ์และสามารถส่งไปขายยังแคว้นมหาอำนาจต่าง ๆ ได้ สามารถนำมาซึ่งความมั่งคั่งสู่แคว้นสักกะชนบทได้พอถึงหน้าแล้งทำเกษตรกรรมปลูกพืชไร่และเลี้ยงสัตว์ส่งไปขายในแคว้นต่าง ๆ ได้ ผู้เขียนเห็นว่าเมื่อข้อมูลของพยานหลักฐานในพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานเอกสารดิจิทัล มีข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกัน และไม่มีพยานหลักฐานใดยกเหตุผลขึ้นมาโต้แย้งเพื่อหักล้างสถานที่ตั้งอยู่ของดินแดนแคว้นสักกะอีกต่อไป ข้อเท็จจริงในพยานหลักฐานมีน้ำหนักรับฟังได้มีเหตุผลเพียง สถานที่ตั้งของพระนครกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ จังหวัดหมายเลข ๕ ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประเทศเนปาลจริง
บรรณานุกรม
[1]http://www.royin.go.th/dictionary/อธิปไตย
[2] https://dictionary.sanook.com/search/ประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น