The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎก

Metaphysical problems regarding Sakka as a Brahmin religious state in the Tripitaka.

๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 

              โดยทั่วไป  นักปรัชญา นักตรรกะเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตและจิตใจมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่น เนื่องจากความโง่เขลา ทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความืดมน  เพราะจิตใจเต็มไปด้วยอารมณ์โลภ โกรธ และหลง   เป็นต้น   ดังนั้น   มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  จึงไม่สามารถคิดโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ  เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างสมเหตุสมผล 

          เมื่อนักปรัชญา นักตรรกศาสตร์เหล่านี้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงหรือทัศนคติของตนเองตามหลักเหตุผล  และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยิน    การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น     บางครั้งนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์อาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง    บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างผิด ๆ  บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้         บางครั้งใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น ดังนั้น  เมื่อความคิดเห็นของนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาใช้คำอธิบายที่คลุมเครือ และไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะจะทรงไม่เชื่อว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง และไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง 

            เมื่อเราศึกษาข้อเท็จจริงที่ว่า สักกะเป็นรัฐทางศาสนาพราหมณ์จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เราจึงได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าอาณาจักรสักกะ เป็นเพียงรัฐเล็ก ๆที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ในสมัยพุทธกาลโดยมีรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (Unwritten Constitution)      ที่เรารู้จักกันในามว่า "ราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งเป็นหลักการปกครองประเทศที่ยึดถือกันมายาวนาน  แก่นแท้ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ เมื่อมีการตรากฎหมายแล้วกฎหมายนั้นจะไม่สามารถเพิกถอนได้  

     เมื่ออาณาจักรสักกะและโกลิยะปกครองภายใต้ระบบสามัคคีธรรม (unity)      สิทธิ  เสรีภาพและหน้าที่ของชาวสักกะและชาวโกลิยะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ซึ่งกำหนดให้พวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะคือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร  เมื่อชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงนี้   พวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่าอาณาจักรสักกะและโกลิยะ เป็นรัฐเอกราชเป็นอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีมาก่อนสมัยพุทธกาล โดยไม่มีข้อสงสัยใด  ๆ  เกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อีกต่อไป   

๒.ตามหลักอภิปรัชญา  

               โดยทั่วไปแล้ว ปรัชญาเป็นความรู้ของบุคคลบางคนในโลกที่ถูกเรียกว่า "นักปรัชญา" แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ปัจจัยทั้งสองนี้พึ่งพาอาศัยกัน  หากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไป ผู้นั้นก็จะตายไป   เมื่อจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถอาศัยร่างกายผ่านอายตนะภายในในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ  ได้  เพราะร่างกายถูกยิงตาย  อุบัติเหตุทางรถยนต์   แผ่นดินไหว  อาคารถล่มหรือ สาเหตุอื่น ๆ  เป็นต้น  เมื่อนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ ได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล   เช่นการมีอยู่ของพระพรหม พระอิศวร และเทพเจ้าอื่น ๆ     พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนั้น ๆ   โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง หรือคาดคะเนความจริง เช่น "อัตตา" "โลกเที่ยง" เป็นต้น  หรือศาสดาบางท่านในโลกนี้ เป็นนักปรัชญา นักตรรกศาสตร์ พวกเขามักจะแสดงธรรมที่เรียกว่า"ความจริง"ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้นๆ บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น  เมื่อความคิดเห็นของนักปรัชญาหรือนักตรรกศาสตร์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าทรงไม่เชื่อความคิดเห็นนั้นว่าเป็นความจริงได้   

๓.ประเภทของความจริงในพระไตรปิฎก         

            โดยทั่วไป เมื่อนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์  โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และข้อพิสูจน์ของเทพเจ้า   พวกเขารับรู้ความจริงของเรื่องราวเหล่านี้ผ่านอายตนะภายในของตนเอง และรวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะเพียงการรับรู้และรวบรวมหลักฐานเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะของการเป็นนักคิดอีกด้วย  เมื่อชีวิตมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขาจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นเช่น มนุษย์ โลก ดวงอาทิตย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความจริงขั้นปรมัตถ์ เช่นการมีอยู่ของเทพเจ้า และภาวะนิพพาน   ซึ่งเป็นความรู้เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ ดังนั้น  เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าในการศึกษาปรัชญาและพระพุทธศาสนา เราจึงแบ่งความจริงทางปรัชญาและพระพุทธศาสนาออกเป็น ๒ ประเภท กล่าวคือ  

              ๓.๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality)  

                  โดยทั่วไป   ชีวิตมนุษย์ดำรงอยู่ภายในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติรอบตัวเรา            ซึ่งอาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น     ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว    สลายไปในอากาศ         อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เหตุการณ์ฺเหล่านี้จะหายไปจากสายตามนุษย์  มนุษย์สามารถรับรู้เหตุการณ์เหล่านี้ผ่านอายตนะภายใน  และบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ        ยกตัวอย่างเช่น    พระอานนท์ซึ่งประสูติในราชวงศ์ศากยะทรงทราบประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะ      ตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต      พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ธรรมได้ด้วยพระองค์เอง           พระอานนท์ทรงเก็บรักษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เป็นประจักษ์พยานถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า       เนื่องจากชีวิตของพระพุทธเจ้ามีลักษณะเกิดขึ้น  ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและปรินิพพาน    เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นมนุษย์ดังนั้น       ชีวิตของพระพุทธเจ้าจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น  เป็นต้น     

                   ในสมัยสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก  ณ  เมืองราชคฤห์  อาณาจักรมคธ  พระอานนท์ทรงถ่ายทอดพระธรรมะวินัยจากความทรงจำของท่านไปยังพระอรหันต์ ๕๐๐  รูป      โดยวิธีการมุขปาฐะหรือการบอกเล่าปากต่อปาก,         การบอกเล่าต่อ ๆ กันมา  โดยมิได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นต้น            เมื่อพระอรหันต์ได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้  พระอรหันต์ก็ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้      เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจแล้วถ่ายทอดต่อไปยังพระภิกษุรุ่นต่อไป    

                   อย่างไรก็ตาม      จิตใจของมนุษย์ไม่เพียงแต่รับรู้และเก็บรักษาเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น         แต่ยังมีธรรมชาติของนักคิดอีกด้วย   เมื่อพวกเขารับรู้สิ่งใด    จิตใจก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริง       อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายใน  ที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ในชีวิตและมักมีอคติต่อผู้อื่น  ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน     ส่งผลให้ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์            เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญาได้ยินความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง     พวกเขาจะแสดงความคิดเห็นของตนเองโดยอาศัยเหตุผล       หรือการคาดคะเนความจริงในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น  เมื่อการใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างคุลมเครือ   และไม่ชัดเจนแล้ว วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็นแล้ว     ย่อมไม่เชื่อถือความคิดเห็นนั้นว่าเป็นความจริง  เป็นต้น  

                เมื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของน้ำท่วมโลก   ฝนตกหนัก  พายุรุนแรง   น้ำแข็งละลายที่ขั้วโลกเหนือ      นักปรัชญาหรือนักตรรกศาสตร์     มักจะแสดงความเห็นของตนเองโดยอาศัยไหวพริบของตนเอง       โดยใช้เหตุผลอธิบาย และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น       การใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา  บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล     เพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง  และอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น    ดังนั้นเมื่อความจริงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้น     ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง   แล้วหายไปในอากาศ       ถือว่าปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเป็นเพียงความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์       เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นตามธรรมชาติ    ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง  แล้วหายไปจากสายตาของมนุษย์ถือว่าเป็นความจริงที่มนุษย์สมมติขึ้น   เป็นต้น 

               การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ  ณ สวนลุมพินี   จังหวัดลุมพินี  สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล     เป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในอาณาจักรสักกะ      พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่เป็นเวลา ๘๐ ปี         ก่อนจะเสดฺ็จสวรรคตตามกฎธรรมชาติของมนุษย์ ชีวิตของพระองค์ทรงมีลักษณะเกิดขึ้น          ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไปจากสายตาชาวโลก  ถือว่าเป็นเพียงความรู้ในระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น          เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ  พระองค์ทรงดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และสวรรคต  ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นเพียงความจริงที่สิ่งที่สมมติขึ้นตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นต้น    
                 อาณาจักรสักกะในอินเดียโบราณเป็นชุมชนการเมืองที่ชาวอาณาจักรสักกะรวมตัวกัน เพื่อก่อตั้งเป็นรัฐเอกราชที่มีอำนาจอธิปไตยในปกครองของตนเอง    ภายใต้ระบอบแบบสามัคคีธรรมตามกฎหมายวรรณะ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔  วรรณะ      ชาวสักกะเชื่อคำสอนของพราหมณ์มาหลายร้อยปี               อาณาจักรสักกะจึงล่มสลายตามกฎธรรมชาติ       ทั้งนี้เป็นพระเจ้าอโศกมหาราชทรงยึดอำนาจอธิปไตยและผนวกอาณาจักรสักกะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรพรรดิโมริยะ  ดังนั้น เมื่ออาณาจักรสักกะโบราณ     เป็นชุมชนทางการเมืองที่ก่อตั้งโดยชาวสักกะ   ดำรงเอกราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและล่มสลายตามกฎธรรมชาติ ตามหลักปรัชญา      จึงถือเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์  ดังนั้น  อาณาจักรสักกะจึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น

.๒ ความจริงขั้นปรมัตถ์  

                  ตามนิยามของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔        คำว่า "ปรมัตถ์หมายถึง ลึกซึ้งยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้"    เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น   เราเติมคำว่า "ความจริง"  ไว้ข้างหน้า   คำว่า "ปรมัตถ์"  จึงเป็น "ความจริงขั้นปรมัตถ์" ผู้เขียนจึงอธิบายว่า ความจริงขั้นปรมัตถ์ หมายถึงความรู้อันลึกซึ้งที่ปุถุชนเข้าใจได้ยากเพราะเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์     เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน            ไม่สามารถรับรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้เนื่องจากอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมได้      นอกจากนี้ มนุษย์ยังมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ซึ่งทำให้ชีวิตมนุษย์มืดมน   ด้วยเหตุนี้ชีวิตมนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น  และความจริงขั้นปรมัตถ์ และไม่สามารถใช้เหตุผล              ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ในการอธิบายความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างมีเหตุผล 

                    แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตกเพื่อสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตร์        แต่เหล่านักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วโลกก็กำลังพัฒนาศักยภาพของตัวเอง       เพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม    นักวิทยาศาสตร์ยังคงมีอายตนะภายในมีความสามารถในการรับรู้อย่างจำกัด    และมักมีความคิดลำเอียงไปข้างใดหรือข้างหนึ่ง      ทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   ดังนั้น  เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองตามหลักเหตุผล     หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา  นักวิทยาศาสตร์บางคนอาจใช้เหตุผลที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น    บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น     ซึ่งเป็นความเห็นที่คลุมเครือ (wague)   ซึ่งทำให้ความเห็นทางวิชาการนั้นเป็นที่น่าสงสัย  ไม่น่าเชื่อถือและไม่เป็นที่ยอมในแวดวงวิชาการ     เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของนักวิทยาศาสตร์           พวกเขาจึงสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อแสวงหาความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ 

             อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์          เพื่อค้นพบความรู้ที่เป็นความจริงขั้นปรมัตถ์อย่างไรก็ตาม   ผู้เขียนได้พบหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยว่า      พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงพัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘  และบรรลุถึงอภิญญา  ๖  ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ หรือความเข้าใจของมนุษย์    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเมื่อมนุษย์ทำความดี  วิญญาณของพวกเขาจะไปสู่สวรรค์      ซึ่งเป็นความจริงอันลึกซึ้งนี้เป็นเรื่องยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายใน     ที่ความสามารถในการรับรู้ได้จำกัดและมีอคติเพื่อเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด       ทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมนเว้นแต่จะปฏิบัติมรรคมีองค์  ๘  เท่านั้น 

                แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยทลายขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์  ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ค้นหาเชื้อโรคที่เล็กที่สุด       แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น  หรือความจริงขั้นปรมัตถ์ ซึ่งอยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของอายตนะภายในและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า       ยกตัวอย่างเช่น  ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี  หรือดวงดาวที่อยู่ห่างไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะรับรู้ความจริงได้    

              อย่างไรก็ตาม             ยังไม่หลักฐานใดบ่งชี้ว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงขั้นปรมัตถ์  อย่างไรก็ตาม พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่บันทึกไว้ว่า  พระโพธิสัตว์ทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์เอง  ผ่านการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘    อันเป็น "ปัญญาญาณ" เหนือมนุษย์คือ  ความรู้ในระดับอภิญญา ๖  แม้ว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้มนุษย์ค้นพบความจริงอันน่าสงสัย  ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการรวบรวมหลักฐาน     เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว        ก็สามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น    โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความเป็นจริงในเรื่องนั้นอย่างมีเหตุผล     ท้ายที่สุดแล้ว  จิตใจของมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบประเมินข้อมูลและนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลไปใช้ประโยชน์แก่นักปราชญ์ในสาขานั้น            
               
                 ดังนั้น     เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสร้างความรู้เกี่ยวกับกระบวน การพิจารณาความจริง       โดยเริ่มตั้งแต่จิตใจมนุษย์รับรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง     พระองค์จึงทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อทันที  แต่ควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้สอบสวนข้อเท็จจริง    และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ  เราจะใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากพยานเอกสาร      พยานบุคคล    พยานวัตถุและพยานเอกสารดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  ๆ          โดยใช้เหตุผล      ซึ่งเป็นเครื่องมือของพระพุทธเจ้าในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น    ๆ   

              กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากในพุทธกาล  พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปราชญ์    พวกเขามักแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยเหตุผล     หรือคาดคะเนความจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง     นักตรรกะและนักปรัชญามักใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น      บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ถูกต้องบางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงไม่ถูกต้อง  บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล       เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้นเมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นที่มาของเรื่องนั้น        วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็นของคำตอบในเรื่องนั้น   พวกเขาจะไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง  

               เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้เขียนชอบแสวงความรู้ในเรื่องนี้    โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเช่น พระไตรปิฎก  อรรถกถา  และบันทึกของพระภิกษุจีน  ๒ รูป  ที่คัดลอกพระไตรปิฎกกลับมายังจีน รวมทั้งโบราณสถานทางพุทธศาสนา     ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช    เพื่อเป็นการรำลึกถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐต่าง ๆ  เอกสารดิจิทัลประกอบด้วยแผนที่โลกของกูเกิล       และแผนที่อินเดียโบราณในสมัยพุทธกาล       เมื่อมีหลักฐานเพียงพอหลักฐานเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้      เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น     โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงนั้น         หากปราศจากหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้    การวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎกเพียงอย่างเดียวข้อเท็จจริงของสถานที่ตั้งของอาณาจักรสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์      ก็ไม่เพียงพอที่จะยืนยันความจริงของสถานที่ตั้งของอาณาจักรสักกะได้  ข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารเพียงอย่างเดียว   นักวิชาการสมัยใหม่เห็นว่ามีน้ำหนักน้อย    และข้อเท็จจริงยังคงเป็นที่น่าสงสัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ตั้งของอาณาจักรสักกะโบราณ เป็นต้น  


๔.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะ            

                 เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจากหลักฐานพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ    อรรถกถา  บทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ   เอกสารวิชาการอื่น ๆ แผนที่โบราณของอินเดียและแผนที่โลกของกูเกิล  เป็นต้น       ผู้เขียนได้ทราบว่า      อาณาจักรสักกะโบราณเป็นชุมชนการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นแคว้นหรือประเทศ (country)          ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชแห่งรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (customary constitution)   ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ในการบริหารอาณาจักรสักกะ      ประเด็นสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรสักกะ คือ ห้ามยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว    ระบอบการปกครองของอาณาจักรสักกะ     ตั้งอยู่บนหลักกฎหมายวรรณะ  ซึ่งแบ่งพลเมืองออกเป็น ๔ วรรณะคือ  วรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์  และวรรณะศูทร  สิทธิและหน้าที่ของประชาชนถูกกำหนดโดยกฎหมายวรรณะ    ซึ่งกำหนดให้พลเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา   และห้ามมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลจากวรรณะอื่น    เมื่อชุมชนอาณาจักรสักกะ (Sakka country)       เป็นชุมชนทางการเมืองที่ก่อตั้งเป็นประเทศขึ้น         หลังจากแยกตัวจากอาณาจักรโกลิยะในก่อนสมัยพุทธกาล     โดยรักษาเอกราชไว้ได้หลายร้อยปีแล้ว  อาณาจักรสักกะก็เสื่อมลงตามกฎธรรมชาติ        เนื่องจากอำนาจอธิปไตยของอาณาจักรสักกะ  ถูกกองทัพของพระเจ้าอโศกมหาราชยึดครองไป เมื่ออาณาจักรสักกะโบราณมีสภาวะการมีอยู่เกิดขึ้น  ก็ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมลงไป    ตามหลักอภิปรัชญาแล้ว อาณาจักรสักกะโบราณถือเป็นความจริงที่สมมติขึ้น

                 มีปัญหาให้พิจารณาว่า      เราสามารถศึกษาความจริงของอาณาจักรสักกะจากมุมมองทางปรัชญาได้หรือไม่  เนื่องจากอาณาจักรสักกะโบราณเป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น   เป็นรัฐอิสระอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็เสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ      ซึ่งเป็นความจริงที่สมมติขึ้นเราจึงสามารถศึกษาเรื่องนี้จากมุมมองทางปรัชญา     โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของแคว้นสักกะได้         ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะโบราณ เมื่อผู้เขียนพิจารณา  จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว       ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า อาณาจักรสักกะโบราณเป็นรัฐเอกราช โดยชนวรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศากยะใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ มีอาณาเขตของอาณาจักรสักกะโบราณชัดเจน  เป็นชุมชนการเมืองที่มีประชากรหนาแน่น     มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม        โดยแบ่งหน้าที่ของประชาชนตามวรรณะที่ตนเกิดมา  มีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาประจำชาติ  เป็นต้น    

                     คำถามที่ควรพิจารณา   คือ อาณาจักรสักกะตั้งอยู่ที่ไหน ?  แม้จะมีหลักฐานเอกสาร  เช่น       พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะให้ข้อมูลนี้อย่างชัดเจน         แต่หลักฐานทางเอกสารยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันความจริงของคำตอบนี้  ผู้เขียนยังคงไม่ทราบแน่ชัดว่าอาณาจักรสักกะโบราณ        เป็นเหตุการณ์ชุมชนการเมืองที่ดำรงอยู่มานานกว่า ๒,๕๐๐       ปี    และชุมชนทางการเมืองนี้ตั้งอยู่ในอนุทวีปอินเดีย      ซึ่งทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ      เนื่องจากแหล่งที่มาของความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะยังไม่ชัดเจน  ผู้เขียนมีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในของตนเอง แม้จะจินตนาการตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา      ก็ยังไม่สามารถบรรลุความจริงได้       เนื่องจากเมืองกบิลพัสดุ์โบราณอยู่เหนือการรับรู้ผ่านอาตนะภายในของผู้เขียน        ที่จะรับรู้ร่องรอยของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณได้  ซึ่งทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของอาณาจักรโบราณนี้     

                แต่ผู้เขียนรักที่จะแสวงหาความรู้ (love of wisdom)    เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะโบราณ            จึงได้ค้นคว้าข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งหลักฐานเอกสาร  หลักฐานทางวัตถุ     และหลักฐานจากผู้เห็นเหตุการณ์ เป็นต้น      แม้ว่าหลักฐานเหล่านี้จะหาได้ยากเพราะหลังจากจากผ่านไปกว่า  ๒,๕๐๐ ปี         หลักฐานเหล่านั้นก็แทบจะสูญหายไปแล้ว  หลักฐานที่เหลืออยู่มีเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น  การจะเดินทางสำรวจสถานที่ตั้งของอาณาจักรสักกะโบราณนี้ ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัยในประเทศเนปาล      ห่างจากประเทศไทยกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตร    จึงถือเป็นการยากที่จะสำรวจอาณาจักรโบราณนี้การสำรวจอาณาจักรโบราณนี้ต้องใช้งบประมาณมหาศาล       ที่สำคัญอาณาจักรสักกะโบราณสูญเสียอำนาจอธิปไตยไปกว่า  ๒,๕๐๐  ปี   หลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า    และอาณาจักรสักกะโบราณก็ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่โลกของกูเกิล
  
           แม้ว่าสถานะดินแดนของอาณาจักรสักกะ (Sakka country) นั้น     จะระบุชัดในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน   แต่เป็นเพียงหลักฐานเอกสารเท่านั้น     พยานวัตถุที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของอาณาจักรสักกะอยู่ที่ไหน ? พยานทุกคนที่เกิดในยุคนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณของพวกเขาออกจากร่างไปเวียนว่ายตายแล้วกลับมาเกิดในวัฏสังสารไม่รู้จบสิ้นแล้ว 

            ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๐ รัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียได้สละอำนาจอธิปไตยให้แก่สาธารณรัฐอินเดีย  ที่เพ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากได้รับเอกราชจากการปกครองของอังกฤษ และในปี พ. ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ.1957) นายชวาหะร์ลาล เนรูห์  นายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐอินเดีย ได้เชิญชวนชาวพุทธทั่วโลกให้สร้างวัดในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แห่งในสาธารณรัฐอินเดีย รวมถึงสวนลุมพินีสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ในเขตรูปานเดฮี (Rupandehi)  จังหวัดหมายเลข ๕     ของประเทศเนปาล  เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ศาสนาพุทธเสื่อมถอยลงตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๓๐๐(พ.ศ.๑๘๔๓)  เนื่องจากพราหมณ์ได้ปฏิรูปศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดู โดยงดเว้นการบูชายัญสัตว์และการรับประทานเนื้อสัตว์  เมื่อพฤติกรรมของพราหมณ์เปลี่ยนไป     พวกเขาก็กลายเป็นที่ศรัทธาของมหาราชาในรัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย 

             เมื่อศาสนาพุทธถูกทำลายโดยมหาราชาแห่งรัฐต่าง ๆ  ที่นับถือศาสนาฮินดู  วัดพุทธหลายแห่งจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดฮินดูและเสาอโศกก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นศิวลึงค์ ทำให้พุทธศาสนาสูญหายไปจากดินแดนของสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล  ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา  มีเพียงหลักฐานซากปรักหักพังของศาสนสถานทางพุทธศาสนาโบราณ    ให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงคำสอนเรื่อง "ความประมาท" ของพระพุทธเจ้าและบันทึกไว้เป็นหลักฐานในพระไตรปิฎกเท่านั้น  

           เมื่ออินเดียและเนปาลเปิดพรมแดนให้ชาวพุทธจากทั่วโลก ได้เดินทางไปแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์ทั้ง ๔  แห่ง  วิถีชีวิตแบบพุทธได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่   ชาวพุทธจากทั่วโลกจึงเดินทางไปแสวงบุญตามรอยพระพุทธบาทที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔  แห่งนี้   ชาวพุทธยังให้ความสนใจศึกษาพระไตรปิฎกมากขึ้นกว่าในอดีต ความสนใจในแวดวงวิชาการชาวพุทธจึงกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในด้านวิชาการและการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘  เพื่อพัฒนาศักยภาพของชาวพุทธ ได้รับความสนใจจากชาวพุทธทั่วโลก หัวข้อต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ เริ่มถูกนำมาใช้ในการสัมมนาทางพระพุทธศาสนา และได้รับการแก้ไขใหม่เพื่อใช้เป็นคำบรรยายสำหรับผู้แสวงบุญ  

๕.การมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ    

              เมื่อผู้เขียนมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะนี้  และมีความลำเอียงที่ผู้เขียนต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอันเนื่องมาจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของผู้เขียนจึงตกอยู่ในความมืดมน  จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ของเรื่องนี้       ผลที่ตามมาคือผู้เขียนไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงในเรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะได้อย่างมีเหตุผล  หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้อธิบายความจริง      ผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้ถูกต้องบ้าง  ได้อย่างไม่ถูกต้องบ้าง  ผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือใช้เหตุผลในลักษณะนั้นบ้าง  เมื่อเหตุผลอธิบายความจริงยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าอาณาจักรสักกะมีความเป็นมาอย่างไร  การให้เหตุผลของผู้เขียนวิญญูชนย่อมไม่เชื่อถือว่าเป็นความจริง  เป็นต้น 

              
          เมื่อองค์ประกอบของความรู้ของรัฐศาสนาพราหมณ์      ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในประเด็นต่างๆ ยังไม่ชัดเจน ผู้เขียนจำเป็นต้องกำหนดขอบเขตความรู้ขึ้น เพื่อให้ความจริงของสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ไม่คลุมเครือ และชัดเจนยิ่งขึ้น   โดยใช้คำนิยามของคำว่า "รัฐ" ที่ระบุไว้ในพจนานุกรมแปลไทย - ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔  เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ ของรัฐศาสนาพราหมณ์ โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากหลักฐานต่าง ๆ  ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ โดยใช้เหตุผล   ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะ    

      เกี่ยวกับลักษณะของความเป็น"รัฐ" นั้น  ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้นิยามคำว่า "ประเทศ" ว่า บ้านเมือง แว่นแคว้นและประเทศ เป็นต้น   ตามพจนานุกรมแปลไทย - ไทยราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า "รัฐคือชุมชนแห่งมนุษย์ที่มั่นอยู่ในดินแดน อันมีอาณาเขตแน่นอน  มีอำนาจอธิปไตยและใช้อำนาจนั้นโดยอิสระ และปกครองกันอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันนั้น [1]
 
           ตามคำนิยามดังกล่าวข้างต้นดูเหมือนจะซับซ้อน  แต่จริง ๆ แล้ว ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ที่เข้าใจง่าย เราแยกองค์ประกอบของความรู้ในเรื่อง "รัฐ"ได้ดังต่อไปนี้  
           ๔.๑ ชุมชนแห่งมนุษย์ 
           ๔.๒ ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนอันมีอาณาขตแน่นอน 
           ๔.๓ มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้โดยอิสระ
          ๔.๔ การปกครองอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยช์ของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน
          ตามองค์ประกอบของความรู้ของนักปรัชญาที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถตีความเรื่องความเป็นรัฐได้ โดยใช้เหตุผล    ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของธรรมชาติของความเป็นรัฐดังนี้

          ๔.๑. รัฐสักกะเป็นชุมชนแห่งมนุษย์   โดยธรรมชาติ มนุษย์มีความกลัวอยู่ในจิตใจเพื่อต่อสู้กับความกลัว ดังนั้น   พวกเขาจึงเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่ร่วมกัน ในฐานะชุมชนทางการเมือง เพื่อปกป้องสิทธิและหน้าที่ของตน   และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นละเมิดชีวิตและทรัพย์สินของตน เมื่อชุมชนขยายตัวขึ้น  รัฐก็จะพัฒนาตนเองเป็นรัฐเอกราชที่มีอำนาจอธิปไตยเพื่อใช้ในการปกครองตนเอง ดังนั้น คำว่า"รัฐ"จึงต้องครอบคลุมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น จึงถือว่ารัฐนั้นเป็นรัฐที่สมบูรณ์ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ รัฐใดที่ปราศจากประชาชนอาศัยอยู่จะสูญสิ้นเป็นความรัฐรและเมื่อรัฐไม่สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ ก็จะสูญเสียความเป็นรัฐไป 

           ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของชุมชนชาวสักกะ   เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙        พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ หน้า: ๕๒๒] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [๑๑.โสตาปัตติสังยุต] ๓.สรณานิวรรค ๑.ปฐมมหานามสูตร [ข้อ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้  สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่า มหานามะเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กรุงพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีถนนคับแคบ ภายในพระนครกบิลพัสดุ์นั้นในสมัยพุทธกาลนั้นจะเห็นช้างบ้าง เห็นม้าบ้าง เห็นรถ เห็นเกวียนบ้าง เห็นคนพลุกพล่านขวักไขว่...... 

         เมื่อผู้เขียนพิจารณาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และรับฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า พระนครกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นราชธานีของอาณาจักรสักกะนั้น เจริญรุ่งเรืองด้วยผลผลิตข้าวที่อุดมสมบูรณ์ประชากรจำนวนมากได้ตั้งถิ่นฐานและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ชาวกบิลพัสดุ์ประกอบอาชีพค้าขายข้าวและส่งออกข้าวไปยังอาณาจักรต่าง ๆในอนุทวีปอินเดีย  รวมทั้งซื้อเครื่องนุ่งห่มไหม และผลิตภัณฑ์จากไหมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผ้าไหมจากอาณาจักรกาสีอันเลืองชื่อและเป็นที่นิยมในหมู่สมาชิกราชวงศ์แห่งอาณาจักรต่าง ๆ   เนื่องจากอาณาจักรสักกะเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวและปลาที่หาได้ง่าย   ชนชั้นวรรณะสูงจึงนิยมสร้างปราสาทภายในเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์ เพื่อเป็นที่ประทับของสมาชิกพระราชวงศ์ศากยะ ราษฎรสร้างบ้านเรือนมากมายและถนนหนทางก็คับคั่งไปด้วยช้าง ม้า รถ รถม้าและเกวียน   ขณะที่ผู้คนสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน  นี่คือปรากฎการณ์ทางสังคมในเมืองกบิลพัสดุ์  เมื่อไม่มีหลักฐานเอกสารและพยานบุคคลอื่นใด มาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะสงสัยข้อเท็จจริงของคำตอบอีกต่อไป ผู้เขียนชื่อว่าอาณาจักรสักกะ เป็นรัฐเอกราชที่มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในสมัยต้นพุทธกาลแล้ว

๒.อาณาจักรสักกะเป็นดินแดนที่มีอาณาขตแน่นอน   

            เมื่อผู้เขียนพิจารณาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ   เล่ม ๙   พระสุตตัตปิฎกเล่ม ๑  ฑีฆนิกายสีลกขันธวรรค ๓. อัมพัฏธสูตร  ปรากฏในข้อ  (๒๗๖) ว่าพระเจ้าโอกกากราชทรงถามเหล่าเสนาบดีว่า เวลานั้นพระราชกุมารประทับอยู่ที่ไหน  เสนาบดีทูลตอบว่าพระราชกุมารประทับอยู่ในป่า ณ สากะใหญ่ ริมฝั่งสระโบกขรณีเชิงเขาหิมพานต์"  

           ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงมาว่า อาณาจักรสักกะเป็นชุมชนการเมืองที่มีอยู๋และประชากรอาศัยอยู่จริง  อีกปัจจัยหนึ่งที่บ่งชี้ชัดว่า อาณาจักรสักกะต้องมีดินแดนและพรมแดนติดกับรัฐอื่น ๆ  คือพระเจ้าโอกกากราชทรงบัญชาให้พระโอรสและพระธิดาไปสร้างอาณาจักรใหม่คือเมืองกบิลพัสดุ์แห่งอาณาจักสักกะขึ้น นครใหม่ของพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ในป่าสักกะ ริมฝั่งอ่างเก็บน้ำโบกขรณีและเชิงเขาหิมพานต์  ในยุคหลังอาณาจักรได้ประกาศเอกราชจากอาณาจักรโกลิยะ   เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งของอาณาจักรสักกะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย    ผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ดังนี้  

             ๒.๑  ป่าสาละใหญ่         หลังจากศึกษาข้อเท็จจริงในพระไตร ปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว   ผู้เขียนได้ทราบว่า เมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงตัดสินพระทัยแต่งตั้งพระราชโอรส ประสูติในพระมเหสีองค์ใหม่เป็นมกุฏราชกุมาร    เพื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป    พระองค์จึงทรงบัญชาให้พระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมเหสีองค์แรกไปสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ในป่าสากะ และพระราชทานนามเมืองนี้ว่า "อาณาจักรสักกะ"     และ
ผู้เขียนศึกษาความจริงของ "ต้นสาละ"            จากเอกสารวิชาการด้านป่าไม้ที่หาได้ทางออนไลน์ผู้เขียนศึกษาความจริงของต้นสาละซึ่งเป็นต้นไม้พื้นเมืองที่พบตามธรรมชาติในป่าหิมาลัย  ของสหพันธรัฐประชาธิปไตยเนปาล  ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่ว่า เมืองใหม่ของพระราชโอรส และพระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ในป่าสาละแห่งเทือกเขาหิมาลัยอย่างไม่ต้องสงสัย   เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมที่จะโต้แย้ง    และหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎก ผู้เขียนจึงเชื่อว่าชุมชนการเมืองของอาณาจักรสักกะตั้งอยู่ในป่าสาละจริง 

       ๒.๒ ริมฝั่งทะเลสาบโบกขรณี    เมื่อผู้เขียนศึกษาเขตแดนของอาณาจักรสักกะ จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลกรณราชวิทยาลัย   ก็ได้ทราบข้อเท็จจริงว่าอาณาจักรสักกะตั้งอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตชัดเจน เมืองใหม่กบิลพัสด์ุตั้งอยู่ในป่าสาละ ซึ่งเป็นที่ตั้งเหมาะสมและอยู่ริมทะเลสาบสโบกขรณี เพื่อเป็นแหล่งน้ำที่เพียงพอสำหรับการบริโภค  การปรุงอาหาร ซักเสื้อผ้า    ชำระล้างร่างกาย  และการเกษตรกรรม  อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติให้ประชาชนจับปลาบริโภคได้ตลอดปี 

         ปัญหาว่าสระโบกขรณีมีหรือไม่      เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสธุดงค์ไปที่อำเภอกบิลพัสดุ์     จังหวัดหมายเลข ๕ ตั้งอยู่ในทางใต้ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มีโอกาสได้เยี่ยมชมทะเลสาบจากาดิสปูร์ ( jagadispur Lake)   หรือรัฐบาลเรียกว่า อ่างเก็บน้ำจากาดิสปูร์ (jagadispur Reservoir)  เนื้อที่ ๒๒๕ เฮกเตอร์หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าไร่ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำบางอันกา (Banganga River)  ผู้เขียนเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คือสระโบกขรณีที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพราะเป็นหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล     ตั้งอยู่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ  (Ancient Apilavastu)  

 ดังนั้นเมื่อพิจารณาที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบจากาดิสปูร์ (jagadispur Lake) ในเขตกบิลพัสดุ์และไม่ไกลจากพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณ      ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบันจึงสอดคล้องกับข้อมูลในพระไตรปิฎก เมื่อผู้เขียนดูภาพจากแผนที่โลก (Google Map)     เราพบทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้เชิงเขาหิมาลัยล้อมรอบไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมของชาวเนปาล ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งทะเลสาบโบกขรานั้น ผู้เขียนเชื่อว่า Jagadispur Reservoir คือสระน้ำโบกขรณี (Bokkharani) ที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎก  

        ๒.๓ เชิงเขาหิมพานต์  คำว่า "หิมพานต์"    เดิมทีผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากแหล่งความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้น  คำว่า "หิมพานต์"  หมายถึงป่าดิบชื้นทางเหนือของอินเดีย    หมายถึงป่าดงดิบในเขตภูเขาหิมาลัย  และเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากแผนที่โลกของกูเกิลก็ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เทือกเขาทางตอนเหนือของสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล แท้จริงแล้ว คือ เทือกเขาหิมาลัย เป็นต้น  

         ๒.๔ แผนที่โลก(Google Maps)   เมื่อผู้เขียนค้นคว้าแผนที่โลกกูเกิลซึ่งเป็นเอกสารดิจิทัล  ที่เป็นพยานหลักฐานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นภาพถ่ายดาวเทียมของเป็นแผนที่โลก ที่นักวิชาการเห็นพ้องต้องกันว่า มีความถูกต้องแม่นยำ และนำไปใช้ได้จริงอย่างกว้างขวางที่สุด หากนักโบราณคดีวางแผนที่จะใช้ข้อมูลจากพระไตรปิฎกในการสำรวจภาคสนาม  เพื่อค้นหาป่าสาละ ทะเลสาบโบกขรณี และเชิงเขาหิมาลัย เพื่อระบุเขตพระนครกบิลพัสดุ์ คงจะเป็นเรื่องยากเนื่องจากข้อจำกัดของอายตนะภายในของมนุษย์ การค้นหาเขตอาณาจักรสักกะ จำเป็นต้องใช้ทีมงานสำรวจจำนวนมาก งบประมาณจำนวนมาก และใช้เวลาหลายปี  

           เมื่อได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว  ก็ต้องใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยใช้ทีมนักวิจัยจากหลากหลายสาขา มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง     โดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่อใช้อธิบายความจริงของคำตอบ เกี่ยวกับ การมีอยู่ของอาณาจักรสักกะโบราณ   คำตอบจากการวิจัยจะเป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์ตัดสินที่สมเหตุสมผลและเหตุผลเหล่านั้น         สามารถอธิบายเหตุผลของข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง   ไม่สงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของตำแหน่งของอาณาจักรสักกะ เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลก  ผู้เขียนพบว่าชื่อเมืองกบิลพัสดุ์ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจนในเอกสารดิจิทัล คือ แผนที่โลกของกูเกิลตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาหิมาลัย ห่างออกไป ๑๖ กิโลเมตร นอกจากนี้บนแผนที่โลกของกูเกิล ใกล้กับเมืองกบิลพัสดุ์ ยังมีทะเลสาบโบราณขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง ดังที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระไตรปิฎก ซึ่งทำให้ไม่สงสัยข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด

          ๒.๕ อาณาจักรสักกะมีพรมแดนติดต่อกับภูมิภาคใด หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานเอกสารดิจิทัลได้แก่ แผนที่อนุทวีปอินเดียในสมัยพุทธกาล        ซึ่งจัดทำและเผยแพร่ทางออนไลน์โดยนักวิชาการจำนวนมาก ผู้เขียนอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงได้ว่าอาณาจักรสักกะมีพรมแดนติดกับเทือกเขาหิมาลัยทางทิศเหนือ อาณาจักรโกลิยะทางทิศตะวันตก อาณาจักรมัลละทางทิศตะวันออกและแคว้นโกศลทางทิศใต้ เป็นต้น  ดังนั้น ผู้เขียนจึงวิเคราะห์ความจริงของหลักฐานเอกสารดิจิทัล และแผนที่ชมพูทวีปอินเดียที่เผยแพร่ทางออนไลน์นั้น   ผู้เขียนวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากพยานเอกสาร พยานวัตุ และพยานเอกสารดิจิทัลรวมถึงแผนที่โลกของกูเกิล

         ผู้เขียนเชื่อว่า อาณาจักรสักกะในสมัยพุทธกาล ตั้งอยู่ในป่าสาละ ซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของเทือกเขาหิมาลัย   ผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งทะเลสาบโบกขรณีและตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาหิมาลัย จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิลและแผนที่โบราณของอนุทวีปอินเดียผู้เขียนเชื่อว่าทางตอนเหนือของพระนครกบิลพัสดุ์ มีเทือกเขาหิมาลัยซึ่งทอดยาวไปถึงดินแดนของหลายรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระนครกบิลพัสดุ์  ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกสอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของภาพถ่ายดาวเทียมบนแผนที่โลกกูเกิล ถือเป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผล และไม่ต้องสงสัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความมีอยู่ของรัฐสักกะอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่า พระนครกบิลพัสดุ์ตั้งอยู่เชิงหิมาลัยดังเหตุผลที่ได้อธิบายความจริงมาแล้วข้างต้น 
  
๓.อาณาจักรสักกะมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง
     
            ประเทศเอกราชทั่วโลกต้องมีอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อใช้อำนาจสั่งการภายในการบังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน ดังปรากฏหลักฐานในเอกสารออนไลน์ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ [2] ประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ    อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น ๓ อำนาจได้แก่  อำนาจนิติบัญญัติ   ซึ่งตรากฎหมายผ่านรัฐสภาที่เรียกว่า "สัณฐาคาร" ซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานที่ประชุมเพื่อตรากฎหมาย การใช้อำนาจบริหารของคณะรัฐมนตรี ซึ่งปกครองประเทศผ่านการประชุมของคณะรัฐมนตรีเพื่อหารือและตัดสินใจในประเด็นต่าง  ๆ ของชาติ    อำนาจตุลาการซึ่งทำหน้าที่พิจารณาตัดสินอรรถคดีต่าง ๆ  เป็นต้น  ดังนั้น รัฐเอกราชจึงมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองและใช้อย่างอิสระ  ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐหนึ่งรัฐใด    ในสมัยพุทธกาลนั้นอาณาจักรสักกะมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง และใช้อำนาจปกครองอาณาจักรของตนอย่างอิสระ ไม่ปรากฏหลักฐานใดในพระไตรปิฎกว่าอาณาจักรสักกะนั้นอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของอาณาจักรโกศล    และอาณาจักรโกลิยะแต่อย่างใด   มีเพียงอาณาจักรโกศลที่ยกทัพมาโจมตีเพราะมิจฉาทิฐิของพระเจ้าวิฑูฑพะ  ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าอาณาจักรสักกะมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง 

๔.รัฐสักกะมีการปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อประโยช์ของประชาชนที่อยู่ร่วมกัน             

        ในยุคปัจจุบัน เมื่อรัฐเป็นชุมชนการเมืองขนาดใหญ่ที่ประชากรอาศัยอยู่  แต่ละคนมีอุปนิสัยและความชอบเฉพาะตัว เมื่อผู้คนแสวงหาสิ่งที่ตนเองชอบ เพื่อตอบสนองตัณหาอันไม่มีที่สิ้นสุด    สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการแข่งขัน ความขัดแย้ง   การทำร้ายร่างกายและการฆาตรกรรม การลักขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ  การลักพาตัวบุคคลอันเป็นที่รัก   การถูกเหยียดหยาม และการดื่มสุราเพื่อเพิ่มพูนความสุขในชีวิต ซึ่งก็คือความสุขที่ได้จากการแลกเปลี่ยนสุขภาพ  ผลการกระทำเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทุกคนมีเหตุผลในการดำธงชีวิต และแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมที่ตนอาศัยอยู่ตามความปรารถนา เมื่อได้รับผลประโยชน์ที่ปรารถนาแล้ว   พวกเขาก็มีชีวิตที่สุขสบาย  แต่หากไม่ได้สิ่งที่ต้องการ  พวกเขากลับกลายเป็นคนอิจฉาริษยาและหลงผิด   แสวงหาทางแก้แค้น โดยไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้ด้วยสติปัญญาของตนเอง

        ดังนั้น ประเทศใดก็ตามที่กำลังก่อตั้งขึ้นทั่วโลก จะต้องได้รับการยินยอมรับจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติว่า เป็นรัฐที่สามารถปกครองตนเองและเป็นเอกราช กล่าวคือมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองในการปกครองประเทศ ไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศมหาอำนาจใด  ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออาณาจักรสักกะประกาศแยกตัวเองออกจากอาณาจักรโกลิยะ   อาณาจักรแห่งนี้สามารถใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง มีพระนครกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรสักกะ ตั้งอยู่ห่างจากพระนครเทวทหะเมืองหลวงของอาณาจักรโกลิยะไปประมาณ ๘๐ กิโลเมตร   มีแม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตของอาณาจักรทั้งสองให้อิสระจากกัน 

๔.๑ กฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรสักกะ 

สระโบกขรณีที่เรียกว่า jagadispur Lake 
        
      โดยทั่วไปแล้ว ประเทศหรือแคว้น (country) ที่สถาปนาเป็นรัฐเอกราชและมีอธิปไตยเป็นของตนเอง จะต้องมีรัฐธรรมนูญเป็นมาตรฐานในการปกครองประเทศเพื่อรับรองสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพลเมืองต่อประเทศของตนเองไว้อย่างชัดเจน  ดังนั้น   เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า อาณาจักรสักกะเป็นรัฐโบราณในสมัยพุทธกาลแล้ว ก็ไม่เชื่อทันทีว่าเป็นความจริงและสงสัยว่ามีรัฐธรรมนูญใช้เป็นระเบียบในการบริหารปกครองแคว้นสักกะหรือไม่ 

          เมื่อผู้เขียนค้นหาข้อมูลคำว่า "รัฐธรรมนูญ" ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยดิจิทัล ก็ไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ผู้เขียนตัดสินใจค้นหาข้อความอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน   ซึ่งก็คือคำว่า "นิติศาสตร์" ผู้เขียนได้ค้นพบข้อความคำว่า "นิติศาสตร์" ที่ใช้ในการอธิบายคำว่า "ธรรมของกษัตริย์"  ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.อสีตินิบาต] ๕.มหาสุตโสมชาดก[๔๓๐] พระองค์ทรงพ้นจากเงื้อมมือโจรโปริสาทเสด็จไปถึงราชมณเฑียรของพระองค์ ทรงเพลิดเพลินอยู่ในกาม เสด็จกลับมาสู่เงื้อมมือของหม่อมฉันผู้เป็นศัตรูอีก พระองค์ช่างเป็นผู้ไม่ฉลาด ในธรรมของกษัตริย์ เลยนะพระเจ้าข้า" 

            คำว่า"ธรรมของกษัตริย์" ในสมัยอินเดียโบราณยังถูกเรียกขานและเรียกว่า "นิติศาสตร์" ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการบริหารประเทศโดยชนชั้นวรรณะกษัตริย์ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลในพระไตรปิฎกมหจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยออนไลน์ พบว่าในสมัยพุทธกาลนั้น  อาณาจักรต่างๆ ในอนุทวีปอินเดียนั้น มีกระบวนการบริหารที่เรียกว่า "ธรรมกษัตริย์หรือหลักนิติศาสตร์" โดยไม่ได้กำหนดไว้เป็น "รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร" เช่นในปัจจุบัน   ส่วนหลักธรรมสำหรับนักบริหารที่พบในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเรียกว่า" หลักราชอปริหานิยธรรม"   อย่างไรก็ตาม นักบริหารในสมัยพุทธกาลไม่ได้มีความหมายหลากหลายเหมือนปัจจุบันนี้ ผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ คือ ชนวรรณะกษัตริย์ ซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในการบริหารประเทศเท่านั้น 
   
         ๔.๒ ประเด็นว่าอาณาจักรสักกะมีการแบ่งชนชั้นวรรณะหรือไม่ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓  ทีฆนิกายปาฏิกวรรค [๔.อัคคัญญสูตร] ข้อ ๑๑๔..... พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นบุตรที่เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นมนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้น...และข้อ. ๑๑๕....วรรณ ๔ เหล่านี้คือ (๑)กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์ และ(๔) ศูทร 

       ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๔.พราหมณมนวรรค] ๕.จังกีสูตร ข้อ ๔๓๕ วรรคสุดท้าย.....สมณโล้นเหล่านี้ เป็นคนธรรมดาที่เกิดจากพระบาทของพระพรหมเป็นกัณหชาติ (วรรณะศูทร) และในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๒.จุฬวรรค] ๗.พรหมณธัมมิกสูตร ข้อ.๓๑๘  กษัตริย์ พราหมณ์ พร้อมด้วยแพศย์และศูทรซึ่งเป็นเชื้อสายแห่งพรหม ผู้ได้รับความคุ้มครองจากวงศ์ตระกูลของตนเอง.... 

            หลังจากสืบค้นข้อมูลจากพระไตรปิฏกออนไลน์แล้ว ก็ได้ฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า เมือชาวสักกะเชื่อว่า พระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตน ได้แก่ วรรณะกษัตริย์  วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร   โดยพระพรหมทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาส่วนต่าง ๆ    ของร่างกายแห่งพระองค์ พวกพราหมณ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหม และวรรณะศูทร ถูกสร้างขึ้นจากพระบาทของพระพรหม  ส่วนวรรณะกษัตริย์และวรรณะแพศย์ แม้ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ  ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยยืนยันเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตเล่มที่ ๑๗ รับฟังได้ว่า ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพระพรหม ดังนั้น เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาหักล้างหรือโต้แย้งข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ข้อมูลแล้วเห็นว่า ชาวแคว้นสักกะนั้นในสมัยก่อนพุทธกาลนั้นเชื่อว่าพระพรหมทรงมีอยู่จริง    และสร้างวรรณะให้ชาวสักกะโดยแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ      ได้แก่  ชนวรรณะกษัตริย์   วรรณะพราหมณ์วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร  เป็นต้น

          ๔.๓ ปัญหาอีกประการหนึ่ง  เมื่ออาณาจักรสักกะบัญญัติกฎหมายวรรณะ ซึ่งแบ่งประชาชนออกเป็น   ๔  วรรณะแล้ว เมื่อเป็นกฎหมาย จึงมีสภาพบังคับตามกฎหมาย ที่ประชาชนต้องปฏิบัติตามกล่าวคือ ห้ามประชาชนสมสู่กับคนต่างวรรณะ และห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่วรรณะอื่น เป็นต้น  เนื่องจากประชาชนในแคว้นสักกะ   เกิดมาพร้อมกับอวิชชาและขาดการศึกษา จึงไม่พัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยมืดมน  พวกเขาไม่สามารถอธิบายความจริงได้อย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องวรรณะได้อย่างสมเหตุสมผล   พวกเขาจึงดำเนินชีวิตตามความพอใจของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของศีลธรรมอันดีและกฎหมาย  เมื่อประชาชนมีการสมสู่กับผู้คนต่างวรรณะ สาธารณชนจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน  เมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงและพิสูจน์ได้คนเหล่านี้ละเมิดต่อคำสอนทางศาสนาและกฎหมายวรรณะจริง    พระพรหมก็จะลงโทษพวกเขาโดยบัญชาให้สาธารณชนขับไล่พวกเขาออกจากสังคมตลอดชีวิต  พวกเขาจะสูญเสียสิทธิ หน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมาตามกฎหมายและพวกเขาถูกเรียกว่า "พวกจัณฑาล" 

               ดังหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่  ๑๔ (ฉบับมหาจุฬา ฯ)  อังคุตตรนิกาย  ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ ๕.พราหมณวรรค  ๒.โทณพราหมณสูตร ข้อ ๑๙๒  วรรคสุดท้ายกล่าวว่า.......พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างไร   คือพราหมณ์ในโลกนี้เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูล เขาประพฤติโกมารพรหมจรรย์ เรียนมนต์อยู่ ๔๘ ปีแสวงหาทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่อาจารย์โดยชอบธรรมบ้าง  ไม่ชอบธรรมบ้าง  แสวงหาด้วยกสิกรรมบ้าง แสวงหาด้วยพาณิชยกรรมบ้าง แสวงหาด้วยโครักขกรรมบ้าง แสวงหาด้วยการเป็นนักรบบ้าง แสวงหาด้วยการรับราชการบ้าง แสวงหาด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง  ถือกระเบื้องเที่ยวภิกขาจารบ้าง เขามอบทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่ออาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดยชอบธรรมบ้าง  ไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยการซื้อบ้าง แสวงหาด้วยการขายบ้าง แสวงหานางพราหมณีที่เขายกให้ด้วยการหลั่งน้ำบ้าง  สมสู่กับนางพราหมณีบ้าง สตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง นายพรานบ้าง ช่างสานบ้าง ช่างรถบ้าง คนขนขยะบ้าง สตรีมีครรภ์บ้าง สตรีมีลูกอ่อนบ้าง สตรีมีระดูบ้าง สตรีหมดระดูบ้าง พราหมณีนั้นเป็นพราหมณีของพราหมณ์เพราะต้องการความใคร่บ้าง เพราะต้องการความสนุกบ้างเพราะต้องการความยินดีบ้าง เพราะต้องการบุตรบ้าง  เขาเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง  พวกพราหมณ์ได้กล่าวกับเขาอย่างนี้ว่า "ท่านปฏิญญาว่าเป็นพราหมณ์ ผู้เจริญเพราะเหตุไร จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง เขาตอบอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญเปรียบเสมือนไฟไหม้ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด ถึงแม้พราหมณ์เลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่างก็จริง แต่พราหมณ์ไม่ยึดติดกับการงานนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง" เพราะเหตุดังนี้แล ชาวโลกจึงเรียกว่า พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างนี้แล"    

             เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกออนไลน์    พบข้อเท็จจริงว่า เมื่อพราหมณ์มีเพศสัมพันธ์ (สมสู่) กับผู้หญิงเกิดในวรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทรพวกเขาจะสูญเสียสิทธิ และหน้าที่ของวรรณะที่พวกเขาเกิดมา  กลายเป็นคนไร้วรรณะ  ส่วนเด็กที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะ   เมื่อเกิดมาจากวรรณะที่ไม่บริสุทธิ์ทางสายเลือด ก็กลายเป็น "จัณฑาล" เช่นกัน  เมื่อจำนวนคนไร้วรรณะเพิ่มมากขึ้นทุกปีก็มีปัญหาการดูหมิ่นเหยียดหยามกันมากขึ้นกลายเป็นปัญหาทะเลาะวิวาทมากขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมายแห่งประเทศสักกะ นำไปสู่การสูญสิ้นศรัทธาในพระพรหม  เมื่อคนวรรณะสูงเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เป็นเรื่องยากที่ชนวรรณะกษัตริย์    จะปกครองประเทศที่เจริญรุ่งเรืองได้โดยอาศัยคนวรรณะสูงเท่านั้น

๕.เมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (the ancient kapilavastu)) 

       ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ควรไปศึกษให้หายสงสัยเกี่ยวกับ "การมีอยู่ของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ" นั้น    ในกระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้านั้น แม้ว่าจะมีพยานเอกสารเช่น  พระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ที่ยืนยันการมีอยู่ของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ แต่กระบวนการพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้นของพระพุทธเจ้า มีแค่พยานเอกสารยังไม่เพียงพอที่จะยืนความจริงของเมืองโบราณนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล     เมื่อกรมโบราณคดีเนปาลค้นพบสวนลุมพินี ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ  พวกเขาพบหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ด้วยอักษรพรหมี ที่สลักบนเสาหินอโศก     ในวัดมายาเทวี (Maya Devi temple) นั้น ข้อเท็จจริงนี้ไม่เป็นที่น่าสงสัยอีกต่อไป  แล้วเมืองกบิลพัสดุ์โบราณตั้งอยู่ที่ไหน ?  

               การค้นหาเมืองกบิลพัสดุ์โบราณของนักโบราณคดีนั้น โดยใช้เสาหินอโศกเป็นจุดเริ่มต้น นำไปสู่การค้นพบเมืองโบราณในอำเภอ Taulihawa เมื่อผู้เขียนศึกษาแผนที่โลกกูเกิลที่แสดงระยะทางไปยังเมืองกบิพัสดุ์โบราณเผยให้เห็นว่า  เมืองนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนลุมพินีและเทือกเขาหิมาลัย ต่อมารัฐบาลเนปาลได้เปลี่ยนชื่อเขต Taulihawa เป็นเขตกบิลพัสดุ์ เพื่อย้ำเตือนชาวพุทธว่า ที่นี้คือสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า 

            เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย จึงถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานเอกสารที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า ชาวแคว้นสักกะและชาวแคว้นโกลิยะนั้น ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักทั้งสองแคว้น เคยทำสงครามแย่งน้ำกันทำนา แม้สถานะแห่งราชวงศ์ศากยวงศ์ จะสูญสลายไปเพราะถูกทำลายตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิฑูทัพพะ  ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลนำทัพไปทำลายล้างชนวรรณะแห่งราชวงศ์ศากยะ   ๒ ปีก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน แต่ปัจจุบัน แคว้นสักกะก็มีการสร้างเมืองขึ้นใหม่และน่าจะตั้งอยู่ในเขตประเทศอินเดีย 
       
        การวิเคราะห์ข้อมูล   เมื่อผู้เขียนได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  พยานวัตถุของโบราณสถานทางพุทธศาสนาอันเก่าแก่ที่เรียกว่า "Ancient kapilvastu"  และสระโบกขรณีที่เรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir" นั้น  ดังนั้นผู้เขียนจึงเชื่อ ข้อเท็จจริงได้ว่า เป็นชุมชนทางการเมืองของอาณาจักรสักกะ ที่ชาวสักกะก่อตั้งขึ้นอยู่ในพื้นที่ของป่าสาละจริง 

          (๑) เขตป่าสาละ   ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า เป็นพืชพื้นเมืองของเนปาล เป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในประเด็นนี้อีกต่อไป

            (๒) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบโบกขรณี เพื่อการบริโภคของสาธารณะ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในใจของผู้เขียนโดยตรง  เมื่อผู้เขียนได้เดินทางไปแสวงบุญที่เมืองกบิลพัสด์ุ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า เขตกบิลพัสดุ์ ผู้เขียนพบว่า มีอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนปาลเรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir"  ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ จังหวัดลุมพินีนี้ เป็นแหล่งผลิตน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชนในเมืองนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อได้ว่า แหล่งน้ำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อบริโภคอุปโภคและการใช้สอยมาตั้งแต่ในสมัยอนุทวีปอินเดีย ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชจริง   

           (๓) ติดกับภูเขาหิมาลัย   เมื่อตรวจสอบที่ตั้งของเขตกบิลพัสดุ์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่นแผนที่โลกของกูเกิล     ผู้เขียนพบว่าลักษณะภูมิประเทศของเขตกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย เป็นพื้นที่ราบลุ่มมีน้ำไหลจากเทือกเขาหิมาลัยเหมาะแก่การทำเกษตรกรรมตลอดทั้งปี ในฤดูฝน ชาวสักกะสามารถปลูกข้าวได้อุดมสมบูรณ์และส่งออกไปยังประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ  นำมาซึ่งความมั่งคั่งให้แก่อาณาจักรสักกะ ในฤดูแล้ง พวกเขาสามารถปลูกพืชไร่และเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งออกไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ได้ 

           ดังนั้น ผู้เขียนจึงเชื่อว่าเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งของอาณาจักรสักกะ  สอดคล้องกับหลักฐานเอกสารที่บันทึกไว้ในพระไตร ปิฎกฉบับต่าง ๆ   พยานวัตถุเช่น โบราณสถานหลายแห่งที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และหลักฐานดิจิทัลโดยเฉพาะแผนที่อินเดียโบราณและแผนที่โลกของกูเกิล เมื่อหลักฐานสอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่มีหลักฐานใดที่จะมาหักล้างที่ตั้งของอาณาจักรสักกะได้ข้อเท็จจริงในหลักฐานดังกล่าว ก็สมเหตุสมผล ที่จะยืนยันว่ากรุงกบิลพัสดุ์ตั้งอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ จังหวัดหมายเลข ๕ ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประเทศเนปาล เป็นต้น
บรรณานุกรม
[1]http://www.royin.go.th/dictionary/อธิปไตย
[2] https://dictionary.sanook.com/search
/ประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ