โดยทั่วไป นักปรัชญา นักตรรกะเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตและจิตใจมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่น เนื่องจากความโง่เขลา ทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความืดมน เพราะจิตใจเต็มไปด้วยอารมณ์โลภ โกรธ และหลง เป็นต้น ดังนั้น มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถคิดโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างสมเหตุสมผล
เมื่อนักปรัชญา นักตรรกศาสตร์เหล่านี้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงหรือทัศนคติของตนเองตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยิน การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น บางครั้งนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์อาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างผิด ๆ บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น ดังนั้น เมื่อความคิดเห็นของนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาใช้คำอธิบายที่คลุมเครือ และไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะจะทรงไม่เชื่อว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง และไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง
เมื่อเราศึกษาข้อเท็จจริงที่ว่า สักกะเป็นรัฐทางศาสนาพราหมณ์จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เราจึงได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าอาณาจักรสักกะ เป็นเพียงรัฐเล็ก ๆที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ในสมัยพุทธกาลโดยมีรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (Unwritten Constitution) ที่เรารู้จักกันในามว่า "ราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งเป็นหลักการปกครองประเทศที่ยึดถือกันมายาวนาน แก่นแท้ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ เมื่อมีการตรากฎหมายแล้วกฎหมายนั้นจะไม่สามารถเพิกถอนได้
เมื่ออาณาจักรสักกะและโกลิยะปกครองภายใต้ระบบสามัคคีธรรม (unity) สิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของชาวสักกะและชาวโกลิยะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ซึ่งกำหนดให้พวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะคือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เมื่อชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่าอาณาจักรสักกะและโกลิยะ เป็นรัฐเอกราชเป็นอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีมาก่อนสมัยพุทธกาล โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อีกต่อไป
๒.ตามหลักอภิปรัชญา
โดยทั่วไปแล้ว ปรัชญาเป็นความรู้ของบุคคลบางคนในโลกที่ถูกเรียกว่า "นักปรัชญา" แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ปัจจัยทั้งสองนี้พึ่งพาอาศัยกัน หากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไป ผู้นั้นก็จะตายไป เมื่อจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถอาศัยร่างกายผ่านอายตนะภายในในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เพราะร่างกายถูกยิงตาย อุบัติเหตุทางรถยนต์ แผ่นดินไหว อาคารถล่มหรือ สาเหตุอื่น ๆ เป็นต้น เมื่อนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ ได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล เช่นการมีอยู่ของพระพรหม พระอิศวร และเทพเจ้าอื่น ๆ พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนั้น ๆ โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง หรือคาดคะเนความจริง เช่น "อัตตา" "โลกเที่ยง" เป็นต้น หรือศาสดาบางท่านในโลกนี้ เป็นนักปรัชญา นักตรรกศาสตร์ พวกเขามักจะแสดงธรรมที่เรียกว่า"ความจริง"ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้นๆ บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อความคิดเห็นของนักปรัชญาหรือนักตรรกศาสตร์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าทรงไม่เชื่อความคิดเห็นนั้นว่าเป็นความจริงได้
๓.ประเภทของความจริงในพระไตรปิฎก
โดยทั่วไป เมื่อนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และข้อพิสูจน์ของเทพเจ้า พวกเขารับรู้ความจริงของเรื่องราวเหล่านี้ผ่านอายตนะภายในของตนเอง และรวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะเพียงการรับรู้และรวบรวมหลักฐานเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อชีวิตมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขาจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นเช่น มนุษย์ โลก ดวงอาทิตย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความจริงขั้นปรมัตถ์ เช่นการมีอยู่ของเทพเจ้า และภาวะนิพพาน ซึ่งเป็นความรู้เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ ดังนั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าในการศึกษาปรัชญาและพระพุทธศาสนา เราจึงแบ่งความจริงทางปรัชญาและพระพุทธศาสนาออกเป็น ๒ ประเภท กล่าวคือ
๓.๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality)
ชีวิตมนุษย์โดยทั่วไปดำรงอยู่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติรอบตัวเรา ซึ่งอาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น มีลักษณะเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมสลายหายไปในอากาศ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เหตุการณ์ฺเหล่านี้จะหายไปจากสายตามนุษย์ ชีวิตมนุษย์สามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ผ่านอายตนะภายในร่างกายและเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ ยกตัวอย่างเช่นพระอานนท์ซึ่งประสูติในราชวงศ์ศากยะ ทรงรับรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ประสูติ จนเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต และเป็นพระพุทธเจ้าผู้ได้ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง พระอานนท์ได้เก็บเรื่องราวของพระพุทธเจ้าไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในใจของท่าน ถือเป็นพยานถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้ามีลักษณะคือ การเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและปรินิพพานดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นมนุษย์ ถือว่าความจริงที่สมมติขึ้น ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกที่เมืองราชคฤห์ พระอานนท์ได้ถ่ายทอดพระธรรมวินัยจากความทรงจำของพระองค์ ไปยังพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป โดยวิธีการมุขปาฐะ เป็นต้น
เมื่อมนุษย์ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาจะเก็บเรื่องราวของสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม จิตใจของมนุษย์ไม่เพียงรับรู้และเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นอารมณ์เท่านั้น แต่จิตใจของมนุษย์ยังมีธรรมชาติของนักคิดอีกด้วย เมื่อมีการรับรู้อะไร จิตใจของมนุษย์ก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น ๆ เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและมักมีอคต่อผู้อื่น นักคิดจากหลักฐานทางอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยการวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ หรือการคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไปในอากาศ เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น
หากแสดงทัศนะเกี่ยวกับสาเหตุของน้ำท่วมโลก ฝนตกหนัก พายุรุนแรง น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลาย นักปรัชญาหรือนักตรรกะมักจะแสดงความเห็นตามปฏิภาณของตนเองโดยใช้เหตุผลอธิบาย และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น การใช้เหตุผลของนักตรรกะ นักปรัชญา ครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องบ้าง และอาจใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนี้บ้างหรือเหตุผลเป็นอย่างนั้น ดังนั้น เมื่อความจริงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็หายไปในอากาศถือว่าเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น เป็นเพียงความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ เมื่อเป็นสิ่งที่มีธรรมชาติเกิดขึ้น คงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วสูญหายไปจากสายตาของมนุษย์จึงถือ เป็นความจริงที่มนุษย์สมมติขึ้น เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติที่สวนลุมพินี จังหวัดลุมพินี สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในแคว้นสักกะ พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เป็นเวลา ๘๐ ปี ก่อนจะเสดฺ็จสวรรคตตามกฎธรรมชาติของมนุษย์ พระชนม์ชีพของพระองค์จึงทรงมีลักษณะเกิดขึ้น ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและสูญหายไปจากสายตาของชาวโลก ถือว่าเป็นเพียงความรู้ในระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและปรินิพพานไป ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นเพียงความจริงที่สิ่งที่สมมติขึ้นเท่านั้น ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นต้น
แคว้นสักกะในอินเดียโบราณเป็นชุมชนการเมืองที่ชาวสักกะมารวมตัวกัน เพื่อก่อตั้งเป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยปกครองตนเองประเทศ ภายใต้ระบอบสามัคคีธรรมโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ชาวสักกะเชื่อคำสอนของพราหมณ์มาหลายร้อยปี อาณาจักรสักกะล่มสลายไปตามกฎธรรมชาติ เนื่องจากพระเจ้าอโศกมหาราชทรงยึดอำนาจอธิปไตยและผนวกแคว้นสักกะเข้าเป็นส่วนหนึ่งอาณาจักรเมารยะ
ดังนั้น เมื่อแคว้นสักกะโบราณเป็นชุมชนทางการเมืองที่ชาวสักกะก่อตั้งเป็นรัฐ ดำรงเอกราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วล่มสลายตามกฎธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาถือได้ว่า การเกิดขึ้น ดำรงอยู่และล่มสลายของแคว้นสักกะ ถือเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ อาณาจักรสักกะจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
๓.๒ ความจริงขั้นปรมัตถ์
ตามนิยามของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายไว้ว่า "ปรมัตถ์คือลึกซึ้งยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ยาก" เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่าย เราเติมคำว่า "ความจริง"ไว้ข้างหน้าคำว่าปรมัตถ์ เป็นคำว่า "ความจริงขั้นปรมัตถ์" ผู้เขียนจึงอธิบายความหมายได้ว่า ความจริงขั้นปรมัตถ์ ก็คือความรู้อันลึกซึ้งที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ยาก เพราะเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์
เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไป มนุษย์ทุกคนไม่สามารถรับรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในของตนเอง ที่สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างจำกัด นอกจากนี้มนุษย์ยังมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ซึ่งทำให้ชีวิตมนุษย์มืดมน ดังนั้นชีวิตมนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงของชีวิต และไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกะในการอธิบายความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างสมเหตุสมผล
แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตกเพื่อสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อผู้คนบางส่วนในโลกกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ ชีวิตของพวกเขายังคงมีอายตนะภายในมีความสามารถรับรู้อย่างจำกัด และมักมีความคิดลำเอียงไปข้างใดหรือข้างหนึ่ง ทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงในเรื่องต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา นักวิทยาศาสตร์บางคนอาจใช้เหตุผลที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้ เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้นหรือในลักษณะนี้ ซึ่งเป็นความเห็นที่คลุมเครือ (wague) ซึ่งทำให้ความเห็นทางวิชาการนั้นน่าสงสัย ไม่น่าเชื่อถือและไม่เป็นที่ยอมในแวดวงวิชาการ เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาจึงสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้น เพื่อแสวงหาความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์
อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่านักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นพบความรู้ที่เป็นความจริงขั้นปรมัตถ์ อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้พบหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิตโดยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุอภิญญา ๖ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์หรือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามนุษย์เมื่อทำความดีดวงวิญญาณจะไปสวรรค์ ซึ่งเป็นความจริงอันลึกซึ้งที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ยาก เพราะขาดปัญญาที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้ เว้นแต่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น
แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเพื่อช่วยทลายขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์ จนมนุษย์สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ค้นหาเชื้อโรคที่เล็กที่สุด ซึ่งเป็นความจริงที่สมมติขึ้นหรือความรู้ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ของอายตนะภายใน และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยกตัวอย่างเช่น ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น มานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี หรือดวงดาวที่อยู่ห่างไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะรับรู้ความจริงได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่หลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงขั้นปรมัตถ์ อย่างไรก็ตามมีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่บันทึกไว้ว่า พระโพธิสัตว์ทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์เองด้วยการปฏิบัติธรรม ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนได้ปัญญาญาณเหนือมนุษย์ทั้งปวง คือความรู้ในระดับอภิญญา ๖ แม้ว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้มนุษย์ค้นพบความจริงในสิ่งที่ยังสงสัยอยู่ได้โดยกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ หลักฐานนั้นก็จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความเป็นจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล แต่ในท้ายที่สุดแล้ว จิตใจของมนุษย์มีหน้าที่ประเมินข้อมูลและนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลในเรื่องนั้น มาใช้ประโยชน์แก่นักปราชญ์ในสาขานั้น ๆ
ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสร้างความรู้เกี่ยวกับกระบวน การพิสูจน์ความจริง เริ่มตั้งแต่มนุษย์รู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งพระองค์ทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อทันที แต่ควรสงสัยก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ หลักฐานนั้น ก็จะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากพยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุและพยานเอกสารดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของพระพุทธเจ้าในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น
กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากในอดีตก่อนพุทธกาล พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกะและนักปราชญ์ พวกเขามักแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นักตรรกะและนักปรัชญามักใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ผิด บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้างหรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบไม่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาของมันเป็นอย่างไรแล้ววิญญูชนได้ยินเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้น พวกเขาจะไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง
เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้เขียนชอบแสวงความรู้ในเรื่องนั้น โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา และบันทึกของพระภิกษุจีน ๒ รูป ที่คัดลอกพระไตรปิฎกกลับมายังจีน รวมทั้งโบราณสถานทางพุทธศาสนา ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อเป็นการรำลึกถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐต่าง ๆ เอกสารดิจิทัลได้แก่ แผนที่โลกของกูเกิล และแผนที่อินเดียโบราณในสมัยพุทธกาล เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ หลักฐานเหล่านี้จะนำใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงนั้น หากไม่หลักฐานที่จะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกอย่างเดียว เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น นักวิชาการสมัยใหม่เชื่อว่าเหตุผลของคำตอบ ยังคงมีน้ำหนักน้อย และข้อเท็จจริงยังคงน่าสงสัยโดยเฉพาะที่ตั้งของรัฐสักกะ เป็นต้น
๔.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแคว้นสักกะ
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจากหลักฐานพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ อรรถกถา บทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ เอกสารวิชาการอื่น ๆ แผนที่โบราณของอินเดียและแผนที่โลกของกูเกิล เป็นต้น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า อาณาจักรสักกะโบราณเป็นชุมชนการเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นแคว้นหรือประเทศ (country) ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชแห่งอาณาจักรโกลิยะ มีหลักธรรมราชอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (customary constitution) ในการปกครองอาณาจักรสักกะ ประเด็นสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรสักกะคือ ห้ามยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว ระบอบการปกครองของอาณาจักรสักกะมีพื้นฐานมาจากกฎหมายวรรณะ ซึ่งแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะคือ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร สิทธิและหน้าที่ของประชาชน ถูกกำหนดโดยกฎหมายวรรณะ ซึ่งกำหนดให้พลเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดและห้ามมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่อยู่ในวรรณะอื่น
เมื่อชุมชนอาณาจักรสักกะ (Sakka country) เป็นชุมชนทางการเมืองที่ก่อตั้งเป็นประเทศขึ้น หลังจากแยกตัวจากอาณาจักรโกลิยะในก่อนสมัยพุทธกาล โดยรักษาเอกราชไว้ได้หลายร้อยปีแล้ว อาณาจักรสักกะก็เสื่อมลงตามกฎธรรมชาติ เนื่องจากอำนาจอธิปไตยของอาณาจักรสักกะ ถูกกองทัพของพระเจ้าอโศกมหาราชยึดครองไป เมื่ออาณาจักรสักกะโบราณมีสภาวะการมีอยู่เกิดขึ้น ก็ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมลงไป ตามหลักอภิปรัชญาแล้ว อาณาจักรสักกะโบราณถือเป็นความจริงที่สมมติขึ้น
มีปัญหาให้พิจารณาว่า เราสามารถศึกษาความจริงของอาณาจักรสักกะจากมุมมองทางปรัชญาได้หรือไม่ เนื่องจากอาณาจักรสักกะโบราณเป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เป็นรัฐอิสระอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็เสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นความจริงที่สมมติขึ้นเราจึงสามารถศึกษาเรื่องนี้ จากมุมมองทางปรัชญาโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของแคว้นสักกะได้ ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะโบราณ เมื่อผู้เขียนพิจารณาจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า อาณาจักรสักกะโบราณเป็นรัฐเอกราช โดยชนวรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศากยะใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ มีอาณาเขตของอาณาจักรสักกะโบราณชัดเจน เป็นชุมชนการเมืองที่มีประชากรหนาแน่น มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรมโดยแบ่งหน้าที่ของประชาชนตามวรรณะที่ตนเกิดมา มีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาประจำชาติ เป็นต้น
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ อาณาจักรสักกะตั้งอยู่ที่ไหน แม้หลักฐานเอกสารคือพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ จะบอกข้อมูลเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน แต่หลักฐานเอกสารก็ยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ได้ เพราะผู้เขียนยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแคว้นสักกะโบราณ เป็นเหตุการณ์ชุมชนการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อกว่า ๒,๕๐๐ ปีก่อน ซึ่งดินแดนที่ชุมชนการเมืองนี้ตั้งอยู่ ณ อนุทวีปอินเดีย ในปัจจุบันนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ เนื่องจากแหล่งที่มาของความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะยังไม่ชัดเจน เพราะผู้เขียนมีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายตนเอง แม้จะจินตนาการตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ เพราะเมืองกบิลพัสดุ์โบราณอยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ผ่านอาตนะภายใน ของผู้เขียนที่จะรับรู้ร่องรอยของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณได้ ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของอาณาจักรโบราณแห่งนี้
แต่ผู้เขียนนั้น ชอบแสวงหาความรู้ (love of wisdom) เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะ จึงได้ค้นคว้าข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งหลักฐานเอกสาร หลักฐานทางวัตถุ และหลักฐานจากผู้เห็นเหตุการณ์ เป็นต้น แม้ว่าหลักฐานเหล่านี้จะหาได้ยากเนื่องจากผ่านไปกว่า ๒,๕๐๐ ปี หลักฐานเหล่านั้นแทบจะสูญหายไปแล้ว หลักฐานที่เหลืออยู่มีเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น การจะเดินทางเข้าไปสำรวจสถานที่ตั้งของอาณาจักรสักกะโบราณนี้ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยในเนปาลห่างจากประเทศไทยกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตร ถือเป็นการยากที่จะสำรวจอาณาจักรโบราณนี้ จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการสำรวจอาณาจักรสักกะโบราณที่สูญเสียอำนาจอธิปไตยไปกว่า ๒,๕๐๐ ปี หลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และอาณาจักรสักกะโบราณก็ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่โลกของกูเกิล
ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๐ รัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียได้สละอำนาจอธิปไตยให้กับสาธารณรัฐอินเดีย ที่สถาปนาขึ้นใหม่หลังจากได้รับเอกราชจากการปกครองของอังกฤษ และในปี พ. ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ.1957) นายชวาหะร์ลาล เนรูห์ นายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐอินเดีย ได้เชิญชวนประเทศที่นับถือพุทธศาสนาทั่วโลกให้สร้างวัดในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แห่งในสาธารณรัฐอินเดีย และสวนลุมพินีซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอรูปานเดฮี (Rupandehi) จังหวัดหมายเลข ๕ ของประเทศเนปาล ส่งผลให้ศาสนาพุทธเสื่อมถอยลงตั้งแต่ปีค.ศ.๑๓๐๐(พ.ศ.๑๘๔๓) เนื่องจากพราหมณ์ได้ปฏิรูปศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดูโดยงดเว้นการบูชายัญสัตว์และรับประทานเนื้อสัตว์ เมื่อพฤติกรรมของพราหมณ์เปลี่ยนไป พวกเขาก็กลายเป็นที่ศรัทธาของมหาราชาในรัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย
เมื่อศาสนาพุทธถูกทำลายโดยมหาราชาแห่งรัฐต่าง ๆ ที่นับถือศาสนาฮินดู วัดพุทธหลายแห่งจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดฮินดูและเสาอโศกก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นศิวลึงค์ ทำให้พุทธศาสนาสูญหายไปจากดินแดนของสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา มีเพียงหลักฐานซากปรักหักพังของศาสนสถานทางพุทธศาสนาโบราณ ให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงคำสอนเรื่อง "ความประมาท" ของพระพุทธเจ้าและบันทึกไว้เป็นหลักฐานในพระไตรปิฎกเท่านั้น
เมื่ออินเดียและเนปาลเปิดประเทศให้ชาวพุทธจากทั่วโลก ได้เดินทางไปแสวงบุญในสถานที่ศักดิ์ทั้ง ๔ แห่ง วิถีชีวิตชาวพุทธได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ชาวพุทธจากทั่วโลกจึงเดินทางไปแสวงบุญตามรอยพระพุทธบาทที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งนี้ และ พุทธศาสนิกชนก็เริ่มให้ความสนใจในการศึกษาพระไตรปิฎกมากขึ้นกว่ายุคอื่น ทำให้วงวิชาการพระพุทธศาสนากลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พระภิกษุที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนาทั้งในด้านวิชาการ และการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของชาวพุทธ ได้รับความสนใจจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก หัวข้อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ เริ่มถูกนำใช้ในการสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และถูกนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อใช้เป็นคำบรรยายให้ผู้แสวงบุญได้ฟังอีกครั้ง
๕.การมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ
เมื่อผู้เขียนมีอายตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะนี้ และมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องความไม่รู้ของตนเอง ทำให้ตกอยู่ในความมืดมน จึงขาดปัญญาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้ ส่งผลให้ผู้เขียนไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะได้อย่างสมเหตุสมผล หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริง อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกบ้าง อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนี้บ้างหรือใช้เหตุผลในลักษณะอย่างนั้นบ้าง เมื่อเหตุผลอธิบายความจริงไม่ชัดเจนว่าอาณาจักรสักกะมีความเป็นมาอย่างไร การให้เหตุผลของผู้เขียนย่อมขาดความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
เมื่อองค์ประกอบของความรู้ของความเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ ตามประเด็นที่ผู้เขียนสงสัยยังไม่ชัดเจน จึงต้องกำหนดขอบเขตความรู้ในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยใช้คำจำกัดความของคำว่า "รัฐ" ที่อธิบายไว้ในพจนานุกรมแปลไทย - ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของรัฐศาสนาพราหมณ์ จากหลักฐานต่าง ๆ ตามหลักเหตุผลโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับแคว้นสักกะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตามคำนิยามดังกล่าวข้างต้นดูเหมือนจะซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้ว ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ที่เข้าใจง่าย เราลองแยกองค์ประกอบของความรู้ในเรื่องรัฐ"ได้ดังต่อไปนี้
๔.๑ ชุมชนแห่งมนุษย์
๔.๒ ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนอันมีอาณาขตแน่นอน
๔.๓ มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้โดยอิสระ
๔.๔การปกครองอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยช์ของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน
ตามองค์ประกอบของความรู้ของนักปรัชญาข้างต้น เราสามารถตีความในเรื่องความเป็นรัฐได้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริงของลักษณะของความเป็นรัฐดังนี้
๔.๑. รัฐสักกะเป็นชุมชนแห่งมนุษย์ โดยธรรมชาติ มนุษย์มีความกลัวซ่อนอยู่ในจิตใจเพื่อต่อสู้กับความกลัว ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิและหน้าที่ของตนไม่ให้ใครละเมิดชีวิตและทรัพย์สินของตน เมื่อชุมชนขยายตัวขึ้นก็จะพัฒนาตนเอง เป็นรัฐอิสระที่มีอธิปไตยของตนเอง ดังนั้น คำว่า"รัฐ"จะต้องมีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น จึงถือเป็นรัฐสมบูรณ์ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ หากรัฐใดไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ก็จะกลายเป็นรัฐร้างและไม่สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ ก็จะสูญเสียความเป็นรัฐไป
มีปัญหาที่สงสัยเกี่ยวกับความจริงของชุมชนชาวสักกะ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ หน้า: ๕๒๒] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [๑๑.โสตาปัตติสังยุต] ๓.สรณานิวรรค ๑.ปฐมมหานามสูตร [ข้อ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่า มหานามะเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กรุงพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีถนนคับแคบ ภายในพระนครกบิลพัสดุ์นั้นในสมัยพุทธกาลนั้นจะเห็นช้างบ้าง เห็นม้าบ้าง เห็นรถ เห็นเกวียนบ้าง เห็นคนพลุกพล่านขวักไขว่......
เมื่อผู้เขียนตรวจสอบหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ และได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าพระนครกบิลพัสดุ์เมืองหลวงของแคว้นสักกะนั้น มีความเจริญรุ่งเรืองเพราะเป็นเมืองการค้ามีความอุดมสมบูรณ์เพราะปลูกข้าวได้ปริมาณมาก ประชาชนจำนวนมากตั้งถิ่นฐานและอยู่รวมกัน ชาวกบิลพัสดุ์ประกอบธุรกิจค้าขายข้าวและส่งออกสินค้าข้าวไปต่างประเทศ และสั่งซื้อเสื้อผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผ้าไหมจากแคว้นกาสีอันเลืองชื่อ เป็นที่นิยมในหมู่กษัตริย์ เมื่อแคว้นสักกะเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เพราะเป็นแหล่งผลิตข้าวและปลาที่หาได้ง่าย ดังนั้น ในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ชนชั้นสูงนิยมสร้างปราสาทในเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยมีการสร้างบ้านเรือนมากมายหลายหลัง บนท้องถนนมีการจราจรคับคั่งไปด้วยช้าง ม้า รถ เกวียนผู้คนเดินทางไปมาหาสู่กันตลอดทั้งวัน นี่คือปรากฎการณ์ทางสังคมในเมืองกบิลพัสดุ์ เมื่อไม่มีหลักฐานเอกสารและพยานบุคคลอื่นใด ที่จะยกข้อความมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะสงสัยคำตอบอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าแคว้นสักกะเป็นรัฐอิสระที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง และเจริญรุ่งเรืองในช่วงยุคต้นพุทธกาลแล้ว
๒.แคว้นสักกะตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่มีอาณาขตแน่นอน
เมื่อผู้เขียนได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เล่ม ๙ พระสุตตัตปิฎกเล่ม ๑ ฑีฆนิกายสีลกขันธวรรค ๓. อัมพัฏธสูตร ปรากฏในข้อ (๒๗๖) ว่าพระเจ้าโอกกากราชตรัสถามอำมาตย์ราชบริพารว่า เวลานี้พระราชกุมารอยู่ไหนเวลานี้ อำมาตย์ตอบว่าพระราชกุมารอยู่ราวป่า ณ สากะใหญ่ ริมฝั่งโบกขรณี เชิงเขาหิมพานต์"
ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงมาว่า แคว้นสักกะเป็นชุมชนการเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู๋แล้ว ยังมีปัจจัยอีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า แคว้นสักกะต้องมีอาณาเขต และมีพรมแดนติดกับแคว้นอื่นอย่างชัดเจนเมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงสั่งให้พระโอรสและพระธิดาไปสร้างเมืองใหม่คือเมืองกบิลพัสดุ์ขึ้น เมืองใหม่ของพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าโอกกากราช ตั้งอยู่ในบริเวณชายป่าสักริมฝั่งอ่างเก็บน้ำโบกขรณีและเชิงเขาหิมพานต์ ในยุคหลังแคว้นสักกะประกาศเอกราชจากแคว้นโกลิยะ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งของแคว้นสักกะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว จะต้องวิเคราะห์ดังนี้
๒.๑ ป่าสากะใหญ่ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงตัดสินพระทัย ที่จะทรงแต่งตั้งพระราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสีองค์ใหม่เป็นมกุฏราชกุมารเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป แล้วพระองค์จึงทรงรับสั่งให้บรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมเหสีองค์แรกไปสร้างเมืองใหม่ที่ป่าสากะ และพระราชทานนามพระนครแห่งนี้ว่า "แคว้นสักกะ" ผู้เขียนได้ศึกษาความจริงของ "ต้นสาละ" จากเอกสารวิชาการด้านป่าไม้บนอินเตอร์เน็ต ผู้เขียนได้ศึกษาความจริงของต้นสาละว่าเป็นต้นไม้พื้นเมือง ที่พบตามธรรมชาติในป่าหิมาลัยในสหพันธรัฐประชาธิปไตยเนปาล ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่ว่า เมืองใหม่ของพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ในเขตป่าสาละแห่งเทือกเขาหิมาลัยอย่างไม่มีข้อกังขา เมื่อไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะยกข้อเท็จจริงมาโต้แย้ง และหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่า ชุมชนการเมืองของแคว้นสักกะตั้งอยู่ในเขตป่าสาละจริง
๒.๒ ริมฝั่งสระโบกขรณี เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่องอาณาเขตของแคว้นสักกะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลกรณแล้ว ก็ได้ยินข้อเท็จจริงว่า แคว้นสักกะตั้งอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน เมืองใหม่กบิลพัสด์ุตั้งอยู่ในป่าสาละ ซึ่งเป็นที่ตั้งอันเหมาะสมและอยู่ริมทะเลสาบสโปกขรณี เพื่อเป็นแหล่งน้ำให้ราษฎรได้บริโภคและอุปโภคอย่างพอเพียง เพื่อหุงหาอาหาร ซักเสื้อผ้า ชำระล้างร่างกาย ทำการเกษตร และเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติให้ประชาชนจับปลามาบริโภคได้ตลอดทั้งปี
ปัญหาว่าสระโบกขรณีมีหรือไม่ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสธุดงค์ไปที่อำเภอกบิลพัสดุ์จังหวัดหมายเลข๕ ตั้งอยู่ในทางใต้ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มีโอกาสได้เยี่ยมชมทะเลสาบจากาดิสปูร์ ( jagadispur Lake) หรือรัฐบาลเรียกว่าอ่างเก็บน้ำจากาดิสปูร์ (jagadispur Reservoir) เนื้อที่ ๒๒๕ เฮกเตอร์หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าไร่ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำบางอันกา (Banganga River) ผู้เขียนเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คือสระโบกขรณีที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎก เพราะเป็นหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลตั้งอยู่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (Ancient Apilavastu)
ปัญหาว่าสระโบกขรณีมีหรือไม่ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสธุดงค์ไปที่อำเภอกบิลพัสดุ์จังหวัดหมายเลข๕ ตั้งอยู่ในทางใต้ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มีโอกาสได้เยี่ยมชมทะเลสาบจากาดิสปูร์ ( jagadispur Lake) หรือรัฐบาลเรียกว่าอ่างเก็บน้ำจากาดิสปูร์ (jagadispur Reservoir) เนื้อที่ ๒๒๕ เฮกเตอร์หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าไร่ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำบางอันกา (Banganga River) ผู้เขียนเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คือสระโบกขรณีที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎก เพราะเป็นหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลตั้งอยู่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (Ancient Apilavastu)
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบจากาดิสปูร์ (jagadispur Lake) ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ และไม่ไกลจากเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณ สภาพทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบันจึงสอดคล้องกับข้อมูลในพระไตรปิฎก เมื่อผู้เขียนดูภาพถ่ายของแผนที่โลก (Google Map) เราพบทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้เชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัย และรายล้อมไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมของชาวเนปาลที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น ผู้เขียนเห็นว่า Jagadispur Reservoir ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่นั้นคือสระน้ำโบกขรณีได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเอง
๒.๓ เชิงเขาหิมพานต์ คำว่า "หิมพานต์" ในเบื้องต้นเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่แหล่งความรู้ในพยานเอกสารพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้น คำว่า "หิมพานต์" หมายถึงป่าหนาวแถบเหนือของอินเดียหมายถึงป่าดงดิบในเขตภูเขาหิมาลัย และเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิลได้ชี้ชัดว่า ภูเขาทางตอนเหนือของสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล คือเทือกเขาหิมาลัยตั้งอยู่จริง ๆ
๒.๔ แผนที่โลก(Google Maps) เมื่อผู้เขียนค้นคว้าแผนที่โลกกูเกิลซึ่ง ซึ่งเป็นเอกสารดิจิทัลเป็นพยานที่สำคัญต่อพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นภาพถ่ายจากดาวเทียมซึ่งเป็นแผนที่โลก ที่นักวิชาการเห็นพ้องกันว่าเป็นแผนที่โลกที่แม่นยำที่สุด และเป็นสากลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากนักโบราณคดีมีแผนคิดที่จะใช้ข้อมูลในพระไตรปิฎกในการสำรวจภาคสนาม เพื่อค้นหาป่าสาละ สระโบกขรณี และที่ราบเชิงเขาหิมาลัยเพื่อหาที่ตั้งของเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ค่อนข้างยากเนื่องจากข้อจำกัดของประสาทสัมผัสของมนุษย์ ในการค้นหาดินแดนแห่งแคว้นสักกะ ต้องใช้ทีมงานสำรวจขนาดใหญ่ มีการใช้งบประมาณจำนวนมากและใช้เวลาหลายปี
เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ได้ข้อมูลแล้ว จะต้องใช้ทีมงานของนักวิจัยในหลายสาขา มาวิเคราะห์โดยอนุมาน เพื่อค้นหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับการมีอยู่ของแคว้นสักกะ คำตอบจากการวิจัยจะความรู้ที่ผ่านเกณฑ์ตัดสินอย่างสมเหตุสมผล และเหตุผลสามารถอธิบายเหตุผลของข้อเท็จจริงที่ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของสถานที่ตั้งของรัฐสักกะ เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลก (Google Map) ผู้เขียนค้นพบชื่อเมืองกบิลพัสดุ์ถูกระบุไว้ในพยานเอกสารดิจิทัลคือแผนที่โลกของกูเกิลอย่างชัดเจน ตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขาหิมาลัย ห่างกัน ๑๖ กิโลเมตรนอกจากนี้ในแผนที่โลกของกูเกิล ใกล้กับเมืองกบิลพัสดุ์มีทะเลสาบโบราณขนาดใหญ่อีก ๑ แห่ง ตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน ทำให้ปราศจากข้อสงสัยของความร้และความจริงที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด (ตรวจ)
๒.๕ อาณาเขตของแคว้นสักกะติดต่อกับแคว้นใด เมื่อผู้เขียนตวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารดิจิทัลคือ แผนที่อนุทวีปอินเดียในสมัยพุทธกาล ได้นักวิชาการหลายท่านได้จัดทำขึ้นมาและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวบนอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนหลายฉบับ ผู้เขียนคาดคะเนความจริงได้ อาณาเขตของแคว้นสักกะนั้น ทิศเหนือติดกับเทือกเขาหิมาลัย ทิศตะวันตกติดกับแคว้นโกลิยะ ทิศตะวันออกติดกับแคว้นมัลละ ทิศใต้ติดกับแคว้นโกศล
ดังนั้น ความจริงจากหลักฐานเอกสารดิจิทัลนั้น แผนที่ชมพูทวีปอินเดียที่เผยแผ่ทางออนไลน์นั้น ผู้เขียนวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้และคาดคะเนความจริง จากพยานเอกสาร พยานวัตุ และพยานเอกสารดิจิทัลได้แก่แผนที่โลกของกูเกิลนั้น ผู้เขียนเห็นว่า ดินแดนแคว้นสักกะชนบทนในสมัยพุทธกาล เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ในป่าสาละอันเป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในภูเขาหิมาลัยแล้ว ประชาชนตั้งถิ่นฐานอยู่บนริมฝั่งสระน้ำโบกขรณีแล้ว และดินแดนตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขาหิมพานต์ด้วย เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิล และแผนที่ชมพูทวีปโบราณผู้เขียนเห็นว่า ทางทิศเหนือของพระนครกบิลพัสดุ์นั้น เป็นเทือกเขาหิมาลัย มีเป็นลักษณะทอดยาวไปยังดินแดนของหลายรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระนครกบิลพัสดุ์ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกสอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของภาพถ่ายจากดาวเทียมในแผนที่โลกกูเกิล เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผลและไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุผลในความมีอยู่ของรัฐสักกะต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าพระนครกบิลพัสดุ์ตั้งอยู่กับเชิงหิมาลัยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
๓.รัฐสักกะมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
๔.รัฐสักกะมีการปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อประโยช์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน

ในยุคปัจจุบัน เมื่อรัฐเป็นชุมชนการเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ละคนมีอุปนิสัยและความชอบตามตัณหาที่แตกต่างกัน เมื่อผู้คนแสวงหาสิ่งที่ชอบ เพื่อสนองตัณหาที่ไม่มีวันจบสิ้น ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุด ก่อให้เกิดการขัดแย้ง การทำร้ายและฆ่ากัน การลักขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ การลักพาตัวคนรัก การดูหมิ่นเหยียดหยามกัน และการดื่มสุราเพื่อเพิ่มปริมาณความสุขในชีวิต ซึ่งก็คือความสุขที่ได้จากการแลกเปลี่ยนสุขภาพ ผลการกระทำดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ต่างคนต่างมีเหตุผลในการดำเนินชีวิตและแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมที่ตนอาศัยอยู่ตามตัณหา เมื่อได้รับผลประโยชน์ที่ตนต้องการแล้ว ชีวิตก็สุขสบาย แต่ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็จะอิจฉาริษยาจิต มีความเห็นผิดและหาทางแก้แค้น โดยไม่สามารถคิดแก้ไขตนเองด้วยสติปัญญาของตนเอง
ดังนั้น ประเทศที่เพ่งก่อตั้งขึ้นทั่วโลก จะต้องได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติว่า เป็นรัฐที่สามารถปกครองตนเองได้ มีเอกราช กล่าวคืออำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง เป็นต้น เช่น เมื่อแคว้นสักกะได้ประกาศเอกราช แยกตัวเองออกจากแคว้นโกลิยะก็สามารถปกครองตนเองได้ และมีรัฐอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ ตั้งอยู่ห่างจากพระนครเทวทหะไปประมาณ ๘๐ กิโลเมตร มีแม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตของแคว้นทั้งสองให้อิสระจากกัน
๔.๑ กฏหมายรัฐธรรมนูญของแคว้นสักกะ
![]() |
สระโบกขรณีที่เรียกว่า jagadispur Lake |
โดยทั่วไป ประเทศหรือแคว้น (country) ที่ชุมชนการเมือง ได้จัดตั้งเป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง จะต้องมีรัฐธรรมนูญเป็นมาตรฐานในการปกครองประเทศ เพื่อประกันสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชน ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัย;จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา นักตรรกะในการอธิบายความจริงของความคำตอบว่า แคว้นสักกะมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นระเบียบในการบริหารปกครองแคว้นสักกะหรือไม่
เมื่อผู้เขียนค้นหาข้อมูลคำว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญในพระไตรปิฎกดิจิทัล ก็ไม่ปรากฏกหลักฐานในเรื่องนี้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแต่อย่างใด ผู้เขียนตัดสินใจค้นหาข้อความอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ซึ่งก็คือคำว่า "นิติศาสตร์" ผู้เขียนค้นพบข้อความคำว่านิติศาสตร์ที่ใช้ในการอธิบายคำว่า"ธรรมของกษัตริย์"ในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาลงกรณ เล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.อสีตินิบาต] ๕.มหาสุตโสมชาดก[๔๓๐] พระองค์ทรงพ้นจากเงื้อมมือโจรโปริสาทเสด็จไปถึงราชมณเฑียรของพระองค์ ทรงเพลิดเพลินอยู่ในกาม เสด็จกลับมาสู่เงื้อมมือของหม่อมฉันผู้เป็นศัตรูอีก พระองค์ช่างเป็นผู้ไม่ฉลาด ในธรรมของกษัตริย์ เลยนะพระเจ้าข้า"
คำว่า"ธรรมของกษัตริย์" ได้ถูกอธิบายไว้และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "หลักนิติศาสตร์" ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการบริหารประเทศของชนชั้นวรรณะกษัตริย์ในอดีต เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลที่ปรากฏในพระไตรปิฎกมหจุฬาลงกรณออนไลน์ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าในสมัยพุทธกาลนั้นแคว้นแต่ละแคว้นในชมพูทวีปนั้น มีระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองประเทศเรียกว่า "ธรรมกษัตริย์หรือหลักนิติศาสตร์" ไม่ใช้คำว่า "รัฐธรรมนูญ" เหมือนในปัจจุบัน ส่วนหลักธรรมสำหรับนักบริหารที่ปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณออนไลน์เรียกว่า"หลักราชอปริหานิยธรรม" แต่นักบริหารในสมัยพุทธกาลไม่ได้มีความหมายหลากหลายเหมือนปัจจุบันนี้ ผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ ได้แก่ ชนวรรณะกษัตริย์มีสิทธิหน้าที่ในการบริหารปกครองประเทศเท่านั้น
๔.๒ ประเด็นที่ว่าแคว้นสักกะมีการแบ่งวรรณะหรือไม่ เป็นอย่างไร เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ทีฆนิกายปาฏิกวรรค [๔.อัคคัญญสูตร] ข้อ ๑๑๔..... พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรสเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น...และข้อ. ๑๑๕....วรรณ ๔ เหล่านี้คือ (๑)กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์ และ(๔) ศูทร
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๔.พราหมณมนวรรค] ๕.จังกีสูตร ข้อ ๔๓๕ วรรคสุดท้าย.....สมณโล้นเหล่านี้ เป็นสามัญชนเกิดจากพระบาทของพระพรหมเป็นกัณหชาติ (วรรณะศูทร) และในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๒.จุฬวรรค] ๗.พรหมณธัมมิกสูตร ข้อ.๓๑๘ กษัตริย์ พราหมณ์ พร้อมทั้งแพศย์และศูทรที่เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพรหม ที่ได้รับความคุ้มครองจากวงศ์ตระกูลของตน....

เมื่อผู้เขียนได้ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฏกออนไลน์แล้ว ก็ได้ฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่า ชาวสักกะเชื่อว่า พระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ได้แก่ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร โดยพระพรหมทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาส่วนต่าง ๆของพระวรกายแห่งพระองค์ พวกพราหมณ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหม และวรรณะศูทร จากพระบาทแห่งพระพรหมที่ทรงสร้างขึ้นมา ส่วนวรรณะกษัตริย์และวรรณะแพศย์ แม้จะยังหาหลักฐานในพระไตรปิฎกมิได้ แต่ข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตเล่มที่ ๑๗ รับฟังได้ว่า ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพระพรหม เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใด ยกขึ้นมาหักล้างโต้แย้งข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณให้มีข้อพิรุธเป็นอย่างอื่น ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลแล้วเห็นว่าชาวแคว้นสักกะนั้นในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น มีความเชื่อว่าพระพรหมทรงมีอยู่จริง และสร้างชาวประชาชนชาวสักกะ ๔ วรรณะได้แก่ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์วรรณะแพศย์และวรรณศูทรจากพระวรกายแห่งพระพรหมจริง
๔.๓ มีปัญหาต่อไปอีกว่า เมื่อแคว้นสักกะออกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งประชาชนออกเป็นวรรณะ ๔ พวกแล้ว เกิดปัญหาต่อประชาชนชาวสักกะตามมาอย่างไร เกิดปัญหาคนไร้วรรณะขึ้นมาในสังแคว้นสักกะ เมื่อมีการแต่งงานข้ามวรรณะขึ้นมาในระหว่างคนวรรณะพราหมณ์กับคนวรรณะศูทรหรือวรรณะอื่น ๆ ต้องสูญเสียสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพของตนตามวรรณะที่เกิดมาตามกฎหมาย และลูกที่เกิดมากลายเป็น "ชนไร้วรรณะ" เช่นกันที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พวกจัณฑาล"
ดังปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ ๕.พราหมณวรรค ๒.โทณพราหมณสูตร ข้อ ๑๙๒ วรรคสุดท้ายกล่าวว่า.......พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างไร คือพราหมณ์ในโลกนี้เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูล เขาประพฤติโกมารพรหมจรรย์ เรียนมนต์อยู่ ๔๘ ปีแสวงหาทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่อาจารย์โดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยกสิกรรมบ้าง แสวงหาด้วยพาณิชยกรรมบ้าง แสวงหาด้วยโครักขกรรมบ้าง แสวงหาด้วยการเป็นนักรบบ้าง แสวงหาด้วยการรับราชการบ้าง แสวงหาด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ถือกระเบื้องเที่ยวภิกขาจารบ้าง เขามอบทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่ออาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยการซื้อบ้าง แสวงหาด้วยการขายบ้าง แสวงหานางพราหมณีที่เขายกให้ด้วยการหลั่งน้ำบ้าง สมสู่กับนางพราหมณีบ้าง สตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง นายพรานบ้าง ช่างสานบ้าง ช่างรถบ้าง คนขนขยะบ้าง สตรีมีครรภ์บ้าง สตรีมีลูกอ่อนบ้าง สตรีมีระดูบ้าง สตรีหมดระดูบ้าง พราหมณีนั้นเป็นพราหมณีของพราหมณ์เพราะต้องการความใคร่บ้าง เพราะต้องการความสนุกบ้างเพราะต้องการความยินดีบ้าง เพราะต้องการบุตรบ้าง เขาเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง พวกพราหมณ์ได้กล่าวกับเขาอย่างนี้ว่า "ท่านปฏิญญาว่าเป็นพราหมณ์ ผู้เจริญเพราะเหตุไร จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง เขาตอบอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญเปรียบเสมือนไฟไหม้ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด ถึงแม้พราหมณ์เลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่างก็จริง แต่พราหมณ์ไม่ยึดติดกับการงานนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง" เพราะเหตุดังนี้แล ชาวโลกจึงเรียกว่า พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างนี้แล"

เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกออนไลน์แล้วพบข้อเท็จจริงว่า เมื่อคนวรรณะพราหมณ์สมสู่กับหญิงวรรณะกษัตริย์บ้าง วรรณะแพศย์บ้าง และวรรณะศูทรบ้าง พวกเขาจะต้องละทิ้งวรรณะที่ตนเกิดมา สูญเสียสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามสิทธิโดยกำเนิด กลายเป็นคนไร้วรรณะ ส่วนเด็กที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะ เมื่อบุตรเกิดมาจากวรรณะที่ไม่บริสุทธิ์ทางสายเลือด ก็กลายเป็น "พวกจัณฑาล" เช่นกัน
เมื่อจำนวนคนไร้วรรณะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ก็มีปัญหาการดูหมิ่นเหยียดหยามกันมากขึ้นกลายเป็นปัญหาทะเลาะวิวาทมากขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมายแห่งประเทศสักกะ นำไปสู่การสูญสิ้นศรัทธาในพระพรหม เมื่อคนวรรณะสูงเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องยากที่ชนวรรณะกษัตริย์ จะปกครองประเทศที่เจริญรุ่งเรืองได้โดยอาศัยคนวรรณะสูงเท่านั้น
๕ ซากโบราณสถานเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (the ancient kapilavastu)

เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึง "การมีอยู่ของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ เมื่อกรมโบราณคดีเนปาลค้นพบสวนลุมพินี สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ พวกเขาก็พบหลักฐานที่ยืนยันด้วยอักษรพรหมีที่สลักบนเสาหินอโศก ที่ตั้งอยู่ในวัดมายาเทวี (Maya Devi temple) นั้น ว่าเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว การค้นหาเมืองกบิลพัสดุ์โบราณนั้น โดยใช้เสาหินอโศกเป็นจุดเริ่มต้น ได้ค้นพบเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ในอำเภอTaulihawa เมื่อดูแผนที่โลกกูเกิล วัดระยะทางพบว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากสวนลุมพินีและเทือกเขาหิมาลัยค่อนข้างมาก ต่อมารัฐบาลเนปาลได้เปลี่ยนชื่อเขตTaulihawa เป็นเขตกบิลพัสดุ์ เพื่อย้ำเตือนชาวพุทธว่า ที่นี้ คือบ้านเกิดของพระพุทธเจ้า
เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย จึงถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานเอกสารที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า ชาวแคว้นสักกะและชาวแคว้นโกลิยะนั้น ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักทั้งสองแคว้น เคยทำสงครามแย่งน้ำกันทำนา แม้สถานะแห่งราชวงศ์ศากยวงศ์ จะสูญสลายไปเพราะถูกทำลายตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิฑูทัพพะ ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลนำทัพไปทำลายล้างชนวรรณะแห่งราชวงศ์ศากยะ ๒ ปีก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน แต่ปัจจุบัน แคว้นสักกะก็มีการสร้างเมืองขึ้นใหม่และน่าจะตั้งอยู่ในเขตประเทศอินเดีย
การวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ พยานวัตถุของโบราณสถานทางพุทธศาสนา อันเก่าแก่ที่เรียกว่า"Anciennt kapilvastu" และสระโบกขรณีที่เรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir" นั้น รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นชุมชนทางการเมืองของแคว้นสักกะ ที่ชาวสักกะก่อตั้งขึ้นอยู่ในพื้นที่
(๑) เขตป่าสาละ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเป็นพืชท้องถิ่นของเนปาลจริง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่มีเหตุผลที่ผู้เขียนจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในประเด็นอีกต่อไป
(๒) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบโบกขรณีเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคนั้น เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในใจของผู้เขียนโดยตรง เมื่อเขียนได้เดินธุดงค์มาที่พระนครกบิลพัสด์ุ ในยุคสมัยปัจจุบันเรียกว่า อำเภอกบิลพัสดุ์แล้ว ผู้เขียนเห็นว่า มีอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนปาล เรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir" ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ จังหวัดลุมพินี นี้ เป็นสถานที่ผลิตน้ำอุปโภค และบริโภคของประชาชนในเมืองนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อได้ว่าแหล่งน้ำใช้บริโภคและอุปโภคตั้งแต่ในสมัยอนุทวีปอินเดีย ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชจริง
(๓) ติดกับภูเขาหิมาลัยเมื่อตรวจสอบข้อมูลสถานที่ตั้งอำเภอกบิลพัสดุ์กับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ แผนที่โลกของกูเกิลแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าภูมิประเทศของเขตกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบติดเชิงเขาหิมาลัย เป็นพื้นที่ราบลุ่มมีน้ำไหลจากภูเขาหิมาลัย เหมาะแก่การเกษตรกรรมตลอดทั้งปี ในฤดูฝน ชาวสักกะสามารถปลูกข้าวได้อุดมสมบูรณ์และส่งออกไปยังประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ สามารถนำความมั่งคั่งสู่แคว้นสักกะได้ ในฤดูแล้ง พวกเขาปลูกพืชไร่และเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งออกไปยังแคว้นต่าง ๆ ได้
ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งของประเทศสักกะ สอดคล้องกับเอกสารหลักฐานที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหลายฉบับ พยานวัตถุได้แก่โบราณสถานหลายแห่ง ที่สร้างในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และหลักฐานดิจิทัลโดยเฉพาะแผนที่อินเดียโบราณและแผนที่โลกของกูเกิล เป็นต้น เมื่อหลักฐานสอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่มีหลักฐานใดที่จะมาหักล้างที่ตั้งอาณาเขตของแคว้นสักกะได้ ข้อเท็จจริงในหลักฐานเหล่านั้น ก็สมเหตุสมผลที่จะทำเรายืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า ที่ตั้งของกรุงกบิลพัสดุ์นั้นอยู่ในเขตกบิลพัสดุ์ จังหวัดหมายเลข ๕ ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประเทศเนปาล เป็นต้น
บรรณานุกรม
[1]http://www.royin.go.th/dictionary/อธิปไตย
[2] https://dictionary.sanook.com/search/ประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น