The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎก

Metaphysical problems regarding Sakka as a Brahmin religious state in the Tripitaka.

๑.บทนำ ทำไมนักปรัชญาสนใจศึกษาความจริงของเรื่องเรื่องนี้ 

             โดยทั่วไป  นักปรัชญา นักตรรกะเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายใน ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตและมักมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความืดมน เพราะจิตใจเต็มไปด้วยอารมณ์แห่งความโลภ  ความโกรธ และความหลง   ดังนั้น มนุษย์จึงขาดสามารถในการคิดโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของสิ่งต่าง ๆ    ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนอย่างสมเหตุสมผล เมื่อนักปรัชญาเหล่านี้แสดงความคิดเห็นหรือแสดงทัศนคติของตน โดยอาศัยปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลหรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา    แต่การใช้เหตุผลของพวกเขาเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น    บางครั้งนักปรัชญาและนักตรรกะเหล่านี้ใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิด  บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะอย่างนี้    บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง เมื่อนักตรรกะและนักปรัชญาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งนั้นยังไม่ชัดเจน    วิญญูชนก็จะไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง และจะไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง 

          เมื่อเราศึกษาข้อเท็จจริงของเรื่องสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว เราคงเคยได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยพุทธกาล อาณาจักรสักกะเป็นเพียงรัฐเล็ก ๆที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง   มีรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณี (Unwritten Constitution) ใช้เป็นหลักการในการบริหารประเทศเรียกว่า "ราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งมีหลักการบริหารประเทศมาช้านาน  สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือ เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายแล้วไม่สามารถเพิกถอนได้  

        เมื่อแคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะปกครองภายใต้ระบอบสามัคคีธรรม (unity)      สิทธิ  เสรีภาพ และหน้าที่ของชาวสักกะและชาวโกลิยะได้รับการกำหนดไว้ในกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ  เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา       ประชาชนในแต่ละรัฐแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ    คือวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร  เมื่อชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงนี้  พวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่า รัฐสักกะ และโกลิยะ เป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล โดยไม่มีข้อสงสัยใด  ๆ  เกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อีกต่อไป   

๒.ตามหลักอภิปรัชญา  

              เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์บางคนในโลกที่เรียกว่า "นักปรัชญา"แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นคือ ชีวิตประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ  ทั้งสองสิ่งนี้เป็นปัจจัยของกันและกัน  หากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไปผู้นั้นจะต้องตาย  หากจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถพึ่งร่างกายได้        เช่น ร่างกายตาย ถูกยิงตาย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์   แผ่นดินไหว  อาคารถล่มหรือ สาเหตุอื่น ๆ  เป็นต้น  

            ดังนั้น เมื่อ "นักปรัชญา" หรือนักตรรกะ ได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล  มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงหรือ คาดคะเนความจริงเช่น "อัตตา" "โลกเที่ยง" เป็นต้น  หรือ ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นนักปรัชญา นักตรรกะ พวกเขามักจะแสดงธรรมะที่เรียกว่า"ความจริง" ของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้น  บางครั้งใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลที่ผิด บางครั้งใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้  บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น    เมื่อความคิดเห็นของนักปรัชญา นักตรรกะ ไม่สามารถยืนยันความจริงของเรื่องนั้นได้ คำตอบนั้นก็ขาดความน่าเชื่อถือ วิญญูชนไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นของเรื่องนั้นว่าเป็นความจริงได้   

๓.ประเภทของความจริงในพระไตรปิฎก         

            โดยทั่วไป เมื่อนักปรัชญาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์  โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ   และข้อพิสูจน์ความจริงของเทพเจ้า เป็นต้น ข้อเท็จจริงของเรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในของตนเอง และรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ  ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ไม่เพียงรับรู้และรวบรวมหลักฐานเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาก็คิดจากสิ่งนั้น  เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบของเรื่องนั้น  ๆ  

          แต่เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในที่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ดวงอาทิตย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้าได้อย่างจำกัด และมนุษย์มักจะมีอคติต่อกันเนื่องจากความเกลียดชัง ความรัก ความกลัว และความไม่รู้  เป็นต้น  ชีวิตมนุษย์จึงตกอยู่ในความมืดมิด จึงไม่สามารถคิดโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องเหล่านี้ ไม่รู้จักเหตุของการกำเนิดโลก  ดาวเคราะห์  มนุษย์  ดวงอาทิตย์ และการดำรงอยู่ของเทพเจ้า   จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะอธิบายความจริงของเรื่องนี้  เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ว่าปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์บางคนเป็นนักปรัชญา บ่อเกิดของความรู้ของมนุษย์มีทั้งสิ่งที่รับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์และสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของอายตนะภายในของมนุษย์ เราจะแบ่งความจริงทางปรัชญาออกเป็น ๒ ประเภท กล่าวคือ  

              ๓.๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality)           โดยทั่วไปชีวิตของมนุษย์ดำเนินไปท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติรอบตัวมนุษย์  อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น           อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไปในอากาศ    แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาของมนุษย์       มนุษย์สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมเหล่านี้       ได้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตน          และมนุษย์เก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ

                 ตัวอย่างของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวที่สหภาพเมียนมาร์ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพ  ฯ      และน้ำท่วมภาคเหนือของประเทศไทย เป็นต้น    ตัวอย่างเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เช่น  ดาราเกาหลีฆ่าตัวเองตาย      เนื่องจากข้อมูลส่วนตัวของถูกเปิดเผยในโซเชียลมีเดีย หรือในสมัยอินเดียโบราณ เจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชวงศ์ศากยะทรงผนวชเป็นพระโพธิสัตว์  เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต   เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งเหล่านี้   พวกเขาจะเก็บเรื่องราวของปรากฏการณ์เหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ     อย่างไรก็ตาม  จิตใจของมนุษย์ไม่เพียงรับรู้   และเก็บเรื่องราวต่าง ๆ  ไว้เป็นอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้น      แต่ยังมีธรรมชาติของนักคิดอีกด้วย  เมื่อมีการรับรู้อะไร จิตใจก็จะคิดจากสิ่งนั้น       โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น  ๆ  
   
               เมื่อธรรมชาติของมนุษย์ชอบคิด    จากหลักฐานทางอารมณ์ต่าง ๆ  ด้วยการวิเคราะห์หลักฐานนั้น ๆ โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ หรือการคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น       โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล  เมื่อความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น   อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไปในอากาศ     เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น  

               หากแสดงทัศนะเกี่ยวกับสาเหตุของน้ำท่วมโลก ฝนตกหนัก  พายุรุนแรง   น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลาย  นักปรัชญาหรือนักตรรกะมักจะแสดงความเห็นตามปฏิภาณของตนเองโดยใช้เหตุผลอธิบาย    และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น    การใช้เหตุผลของนักตรรกะ  นักปรัชญา      ครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องบ้าง          และอาจใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนี้บ้างหรือเหตุผลเป็นอย่างนั้น    ดังนั้น    เมื่อความจริงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น         ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็หายไปในอากาศถือว่าเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น  เป็นเพียงความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์        เมื่อเป็นสิ่งที่มีธรรมชาติเกิดขึ้น  คงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง      แล้วสูญหายไปจากสายตาของมนุษย์จึงถือ เป็นความจริงที่มนุษย์สมมติขึ้น   เป็นต้น 

               เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติที่สวนลุมพินี   จังหวัดลุมพินี สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล     เป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในแคว้นสักกะ      พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เป็นเวลา ๘๐ ปี  ก่อนจะเสดฺ็จสวรรคตตามกฎธรรมชาติของมนุษย์     ดังนั้น พระชนม์ชีพของพระองค์จึงทรงมีลักษณะเกิดขึ้น  ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและสูญหายไปจากสายตาของชาวโลก    ถือว่าเป็นเพียงความรู้ในระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น        เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ   พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและปรินิพพานไป         ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นเพียงความจริงที่สิ่งที่สมมติขึ้นเท่านั้น          ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา  เป็นต้น    
 
               แคว้นสักกะในอินเดียโบราณ        เป็นชุมชนการเมืองที่ชาวสักกะมารวมตัวกัน    เพื่อก่อตั้งเป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยปกครองตนเองประเทศ        ภายใต้ระบอบสามัคคีธรรมโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔  วรรณะ         ชาวสักกะเชื่อคำสอนของพราหมณ์มาหลายร้อยปี อาณาจักรสักกะล่มสลายไปตามกฎธรรมชาติ    เนื่องจากพระเจ้าอโศกมหาราชทรงยึดอำนาจอธิปไตยและผนวกแคว้นสักกะเข้าเป็นส่วนหนึ่งอาณาจักรเมารยะ 
  
             ดังนั้น    เมื่อแคว้นสักกะโบราณเป็นชุมชนทางการเมืองที่ชาวสักกะก่อตั้งเป็นรัฐ   ดำรงเอกราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง     แล้วล่มสลายตามกฎธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาถือได้ว่า      การเกิดขึ้น     ดำรงอยู่และล่มสลายของแคว้นสักกะ    ถือเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์  อาณาจักรสักกะจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น

.๒ ความจริงขั้นปรมัตถ์  

             ตามนิยามของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ได้       ให้ความหมายของขอบเขตความรู้ไว้ว่า  "ปรมัตถ์คือความจริงอันเป็นที่สุดที่ลึกซึ้งยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ยาก"  เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่าย    ผู้เขียนตีความว่า ความจริงขั้นปรมัตถ์ ก็คือ   ความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ผ่านอาตนะภายในของมนุษย์ ที่ปุถุชนเข้าใจได้ยาก เป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์          

                 ตามธรรมชาติโดยทั่วไปแล้ว    มนุษย์ทุกคนไม่สามารถรับรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้  เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในของตัวเองซึ่งมีความสามารถในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นได้จำกัด      นอกจากนี้    มนุษย์ยังมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง  ทำให้ชีวิตมนุษย์มืดมน  ดังนั้นชีวิตมนุษย์จึงขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงของชีวิตและไม่สามารถใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกะในการอธิบายความจริงขั้นปรมัตถ์ได้            

                แม้นักวิทยาศาสตร์       จะแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตกเพื่อสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตร์    แต่เมื่อผู้คนบางกลุ่มในโลกได้กลายมาเป็นนักวิทยาศาสตร์   พวกเขาก็จะมีอายตนะภายในของตัวเอง          มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัดและมักจะมีความคิดลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง              ทำให้ชีวิตของพวกเขามืดมน ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงในเรื่องต่าง ๆ     เป็นต้น     ดังนั้น  เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นในเรื่องใด   ๆ โดยอาศัยปฏิภาณของตนเองโดยอาศัยเหตุผลหรือคาดคะเนความจริง    นักวิทยาศาสตร์บางคนอาจใช้เหตุผลที่ถูกต้องเพื่ออธิบายความจริง          อาจใช้เหตุผลที่ผิดเพื่ออธิบายความจริง       อาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้นอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้าง       ซึ่งทำให้ความคิดเห็นทางวิชาการไม่น่าเชื่อถือ        และไม่เป็นที่ยอมรับกันในแวดวงวิชาการ  นักวิทยาศาสตร์จึงสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา  เพื่อแสวงหาความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์     อย่างไรก็ตาม  ในปัจจุบันยังคงไม่มีหลักฐานยืนยันว่า   นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อค้นพบความรู้ซึ่งเป็นความจริงขั้นปรมัตถ์ 

                อย่างไรก็ดี  ผู้เขียนได้พบหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณว่า          พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุอภิญญา  ๖ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์  หรือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเมื่อมนุษย์ทำความดีแล้ว    ดวงวิญญาณจะขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นความจริงอันลึกซึ้งที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ยาก           เนื่องจากขาดปัญญาที่จะเข้าใจในเรื่องนี้  เนื่องจากมีอายตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้    เว้นแต่จะปฏิบัติมรรคมีองค์  ๘   เท่านั้น 

                 แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์      จะช่วยพัฒนาการคิดของมนุษย์ไปมาก            เมื่อนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นและสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา     เพื่อช่วยทำลายข้อจำกัดในการรับรู้ของมนุษย์        จนมนุษย์สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องจนค้นพบเชื้อโรคที่เล็กที่สุด      ซึ่งเป็นความจริงที่สมมติขึ้นหรือความรู้ที่อยู่เหนือขีดจำกัดของอายตนะภายในซึ่งไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า           หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ    และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี           หรือดวงดาวที่อยู่ห่างไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะรับรู้ความจริงได้    

              แต่ยังไม่หลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า  เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงขั้นปรมัตถ์              แต่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่บันทึกไว้ว่าพระโพธิสัตว์ทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์เองด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘      จนได้ปัญญาญาณทิพย์ที่เหนือมนุษย์ทั้งปวง คือ   ความรู้ในระดับอภิญญา ๖      แม้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์      จะช่วยให้มนุษย์ค้นพบความจริงในสิ่งที่ยังสงสัยได้ โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบข้อเท็จจริง    และรวบรวมหลักฐาน     เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ    หลักฐานนั้นก็จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้        โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความเป็นจริงในเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล          แต่สุดท้ายแล้ว  จิตใจของมนุษย์ก็มีหน้าที่ประเมินข้อมูล       และใช้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในเรื่องนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อนักปราชญ์ในสาขานั้น ๆ            
               
                 ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงสร้างความรู้เกี่ยวกับกระบวนการในการพิสูจน์ความจริง        โดยเริ่มตั้งแต่มนุษย์รู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง   พระองค์ก็ทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อทันที  แต่ควรสงสัยเสียก่อน           จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน  เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ        หลักฐานนั้นก็จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จาก      พยานเอกสาร  พยานบุคคล พยานวัตถุ  และพยานเอกสารดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น  โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของพระพุทธเจ้าในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น   

              กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ     เนื่องจากในอดีตก่อนพุทธกาล  พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกะและนักปราชญ์    พวกเขามักแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยเหตุผล         หรือคาดคะเนความจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง         นักตรรกะและนักปรัชญามักใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น   บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ถูกต้อง      บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ผิดบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล    เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้างหรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง    เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบไม่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาของมันเป็นอย่างไรแล้ว    วิญญูชนได้ยินเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้น   พวกเขาจะไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง  

               เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้เขียนชอบแสวงความรู้ในเรื่องนั้น    โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเช่น พระไตรปิฎก  อรรถกถา  และบันทึกของพระภิกษุจีน  ๒ รูป ที่คัดลอกพระไตรปิฎกกลับมายังจีน  รวมทั้งโบราณสถานทางพุทธศาสนา     ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช    เพื่อเป็นการรำลึกถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐต่าง ๆ  เอกสารดิจิทัลได้แก่    แผนที่โลกของกูเกิล   และแผนที่อินเดียโบราณในสมัยพุทธกาล เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ   หลักฐานเหล่านี้จะนำใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้     เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น  โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงนั้น      หากไม่หลักฐานที่จะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้  การวิเคราะห์ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกอย่างเดียว   เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น         นักวิชาการสมัยใหม่เชื่อว่าเหตุผลของคำตอบ   ยังคงมีน้ำหนักน้อย และข้อเท็จจริงยังคงน่าสงสัยโดยเฉพาะที่ตั้งของรัฐสักกะ เป็นต้น  


๔.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแคว้นสักกะ            

                 เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจากหลักฐานพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ    อรรถกถา  บทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ   เอกสารวิชาการอื่น ๆ แผนที่โบราณของอินเดียและแผนที่โลกของกูเกิล  เป็นต้น       ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า      อาณาจักรสักกะโบราณเป็นชุมชนการเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นแคว้นหรือประเทศ (country)  ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชแห่งอาณาจักรโกลิยะ        มีหลักธรรมราชอปริหานิยธรรม  ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (customary constitution)   ในการปกครองอาณาจักรสักกะ      ประเด็นสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรสักกะคือ  ห้ามยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว        ระบอบการปกครองของอาณาจักรสักกะมีพื้นฐานมาจากกฎหมายวรรณะ  ซึ่งแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะคือ   วรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์  และวรรณะศูทร       สิทธิและหน้าที่ของประชาชน ถูกกำหนดโดยกฎหมายวรรณะ       ซึ่งกำหนดให้พลเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดและห้ามมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่อยู่ในวรรณะอื่น

               เมื่อชุมชนอาณาจักรสักกะ (Sakka country)    เป็นชุมชนทางการเมืองที่ก่อตั้งเป็นประเทศขึ้น        หลังจากแยกตัวจากอาณาจักรโกลิยะในก่อนสมัยพุทธกาล โดยรักษาเอกราชไว้ได้หลายร้อยปีแล้ว อาณาจักรสักกะก็เสื่อมลงตามกฎธรรมชาติ      เนื่องจากอำนาจอธิปไตยของอาณาจักรสักกะ  ถูกกองทัพของพระเจ้าอโศกมหาราชยึดครองไป เมื่ออาณาจักรสักกะโบราณมีสภาวะการมีอยู่เกิดขึ้น  ก็ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมลงไป      ตามหลักอภิปรัชญาแล้ว อาณาจักรสักกะโบราณถือเป็นความจริงที่สมมติขึ้น

                 มีปัญหาให้พิจารณาว่า      เราสามารถศึกษาความจริงของอาณาจักรสักกะจากมุมมองทางปรัชญาได้หรือไม่  เนื่องจากอาณาจักรสักกะโบราณเป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น   เป็นรัฐอิสระอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็เสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ  ซึ่งเป็นความจริงที่สมมติขึ้นเราจึงสามารถศึกษาเรื่องนี้     จากมุมมองทางปรัชญาโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของแคว้นสักกะได้  ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะโบราณ       เมื่อผู้เขียนพิจารณาจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว   ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า อาณาจักรสักกะโบราณเป็นรัฐเอกราช     โดยชนวรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศากยะใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ  มีอาณาเขตของอาณาจักรสักกะโบราณชัดเจน   เป็นชุมชนการเมืองที่มีประชากรหนาแน่น  มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรมโดยแบ่งหน้าที่ของประชาชนตามวรรณะที่ตนเกิดมา  มีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาประจำชาติ  เป็นต้น    

                     ปัญหาที่ต้องพิจารณา  คือ อาณาจักรสักกะตั้งอยู่ที่ไหน  แม้หลักฐานเอกสารคือพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ จะบอกข้อมูลเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน    แต่หลักฐานเอกสารก็ยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ได้      เพราะผู้เขียนยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแคว้นสักกะโบราณ         เป็นเหตุการณ์ชุมชนการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อกว่า ๒,๕๐๐       ปีก่อน     ซึ่งดินแดนที่ชุมชนการเมืองนี้ตั้งอยู่   ณ  อนุทวีปอินเดีย   ในปัจจุบันนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ           เนื่องจากแหล่งที่มาของความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะยังไม่ชัดเจน     เพราะผู้เขียนมีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายตนเอง      แม้จะจินตนาการตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ เพราะเมืองกบิลพัสดุ์โบราณอยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ผ่านอาตนะภายใน   ของผู้เขียนที่จะรับรู้ร่องรอยของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณได้      ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของอาณาจักรโบราณแห่งนี้     

                แต่ผู้เขียนนั้น ชอบแสวงหาความรู้ (love of wisdom)  เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะ         จึงได้ค้นคว้าข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งหลักฐานเอกสาร  หลักฐานทางวัตถุ     และหลักฐานจากผู้เห็นเหตุการณ์ เป็นต้น           แม้ว่าหลักฐานเหล่านี้จะหาได้ยากเนื่องจากผ่านไปกว่า  ๒,๕๐๐ ปี    หลักฐานเหล่านั้นแทบจะสูญหายไปแล้ว   หลักฐานที่เหลืออยู่มีเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น     การจะเดินทางเข้าไปสำรวจสถานที่ตั้งของอาณาจักรสักกะโบราณนี้ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยในเนปาลห่างจากประเทศไทยกว่า          ๓,๐๐๐ กิโลเมตร ถือเป็นการยากที่จะสำรวจอาณาจักรโบราณนี้            จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการสำรวจอาณาจักรสักกะโบราณที่สูญเสียอำนาจอธิปไตยไปกว่า  ๒,๕๐๐  ปี          หลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และอาณาจักรสักกะโบราณก็ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่โลกของกูเกิล
  
           เมื่อสถานะดินแดนของอาณาจักรสักกะ(Sakka country) นั้น     ก็ปรากฏชัดในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน   เป็นเพียงหลักฐานเอกสารเท่านั้น     พยานวัตถุที่แสดงว่าดินแดนที่เคยตั้งเป็นดินแดนของอาณาจักรสักกะตั้งอยู่ที่ไหน ? ส่วนพยานที่เกิดในยุคนั้นล้วนตายไปหมดแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปเกิดในวัฏสังสารแล้ว 

            ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๐ รัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียได้สละอำนาจอธิปไตยให้กับสาธารณรัฐอินเดีย  ที่สถาปนาขึ้นใหม่หลังจากได้รับเอกราชจากการปกครองของอังกฤษ และในปี พ. ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ.1957) นายชวาหะร์ลาล เนรูห์  นายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐอินเดีย ได้เชิญชวนประเทศที่นับถือพุทธศาสนาทั่วโลกให้สร้างวัดในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แห่งในสาธารณรัฐอินเดีย และสวนลุมพินีซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอรูปานเดฮี (Rupandehi)     จังหวัดหมายเลข ๕     ของประเทศเนปาล  ส่งผลให้ศาสนาพุทธเสื่อมถอยลง  ตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๓๐๐ (พ.ศ.๑๘๔๓)  เนื่องจากพราหมณ์ได้ปฏิรูปศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดูโดยงดเว้นการบูชายัญสัตว์และรับประทานเนื้อสัตว์  เมื่อพฤติกรรมของพราหมณ์เปลี่ยนไป     พวกเขาก็กลายเป็นที่ศรัทธาของมหาราชาในรัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย 

             เมื่อศาสนาพุทธถูกทำลายโดยมหาราชาแห่งรัฐต่าง ๆ  ที่นับถือศาสนาฮินดู  วัดพุทธหลายแห่งจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดฮินดูและเสาอโศกก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นศิวลึงค์ ทำให้พุทธศาสนาสูญหายไปจากดินแดนของสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล  ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา  มีเพียงหลักฐานซากปรักหักพังของศาสนสถานทางพุทธศาสนาโบราณ    ให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงคำสอนเรื่อง "ความประมาท" ของพระพุทธเจ้าและบันทึกไว้เป็นหลักฐานในพระไตรปิฎกเท่านั้น  

           เมื่ออินเดียและเนปาลเปิดประเทศให้ชาวพุทธจากทั่วโลก ได้เดินทางไปแสวงบุญในสถานที่ศักดิ์ทั้ง ๔  แห่ง  วิถีชีวิตชาวพุทธได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง   ชาวพุทธจากทั่วโลกจึงเดินทางไปแสวงบุญตามรอยพระพุทธบาทที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔  แห่งนี้ และ พุทธศาสนิกชนก็เริ่มให้ความสนใจในการศึกษาพระไตรปิฎกมากขึ้นกว่ายุคอื่น ทำให้วงวิชาการพระพุทธศาสนากลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พระภิกษุที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนาทั้งในด้านวิชาการ และการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘  เพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของชาวพุทธ ได้รับความสนใจจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก หัวข้อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ เริ่มถูกนำใช้ในการสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และถูกนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อใช้เป็นคำบรรยายให้ผู้แสวงบุญได้ฟังอีกครั้ง  

๕.การมีอยู่ของอาณาจักรสักกะ    

              เมื่อผู้เขียนมีอายตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะนี้  และมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องความไม่รู้ของตนเอง  ทำให้ตกอยู่ในความมืดมน  จึงขาดปัญญาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้       ส่งผลให้ผู้เขียนไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องการมีอยู่ของอาณาจักรสักกะได้อย่างสมเหตุสมผล  หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริง  อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกบ้าง อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง  อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนี้บ้างหรือใช้เหตุผลในลักษณะอย่างนั้นบ้าง    เมื่อเหตุผลอธิบายความจริงไม่ชัดเจนว่าอาณาจักรสักกะมีความเป็นมาอย่างไร  การให้เหตุผลของผู้เขียนย่อมขาดความน่าเชื่อถือ  เป็นต้น 

           เมื่อองค์ประกอบของความรู้ของความเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ ตามประเด็นที่ผู้เขียนสงสัยยังไม่ชัดเจน จึงต้องกำหนดขอบเขตความรู้ในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยใช้คำจำกัดความของคำว่า "รัฐ" ที่อธิบายไว้ในพจนานุกรมแปลไทย - ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของรัฐศาสนาพราหมณ์ จากหลักฐานต่าง ๆ  ตามหลักเหตุผลโดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับแคว้นสักกะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น    

       ในเรื่องลักษณะของความเป็น"รัฐ" นั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามคำว่า "ประเทศ" ว่า บ้านเมือง แว่นแคว้น และประเทศ เป็นต้น   ตามพจนานุกรมแปลไทย - ไทยราชบัณฑิตยสถานได้นิยามว่า "รัฐคือชุมชนแห่งมนุษย์ที่มั่นอยู่ในดินแดน อันมีอาณาเขตแน่นอนมีอำนาจอธิปไตยจะใช้อย่างอิสระ และมีการปกครองอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ของบรรดามนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนั้น [1] 
           ตามคำนิยามดังกล่าวข้างต้นดูเหมือนจะซับซ้อน  แต่จริง ๆ แล้ว ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก  ๆ  ที่เข้าใจง่าย เราลองแยกองค์ประกอบของความรู้ในเรื่องรัฐ"ได้ดังต่อไปนี้  
         ๔.๑ ชุมชนแห่งมนุษย์ 
         ๔.๒ ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนอันมีอาณาขตแน่นอน 
         ๔.๓ มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้โดยอิสระ
         ๔.๔การปกครองอย่างเป็นระเบียบ       เพื่อประโยช์ของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน

          ตามองค์ประกอบของความรู้ของนักปรัชญาข้างต้น เราสามารถตีความในเรื่องความเป็นรัฐได้ โดยใช้เหตุผล    ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริงของลักษณะของความเป็นรัฐดังนี้

          ๔.๑. รัฐสักกะเป็นชุมชนแห่งมนุษย์   โดยธรรมชาติ มนุษย์มีความกลัวซ่อนอยู่ในจิตใจเพื่อต่อสู้กับความกลัว ดังนั้น   พวกเขาจึงเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิและหน้าที่ของตนไม่ให้ใครละเมิดชีวิตและทรัพย์สินของตน เมื่อชุมชนขยายตัวขึ้นก็จะพัฒนาตนเอง     เป็นรัฐอิสระที่มีอธิปไตยของตนเอง ดังนั้น คำว่า"รัฐ"จะต้องมีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น จึงถือเป็นรัฐสมบูรณ์ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ หากรัฐใดไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ก็จะกลายเป็นรัฐร้างและไม่สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ ก็จะสูญเสียความเป็นรัฐไป 

          มีปัญหาที่สงสัยเกี่ยวกับความจริงของชุมชนชาวสักกะ   เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๑ [ฉบับมหาจุฬา ฯ หน้า: ๕๒๒] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [๑๑.โสตาปัตติสังยุต] ๓.สรณานิวรรค ๑.ปฐมมหานามสูตร [ข้อ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้  สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่า มหานามะเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กรุงพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีถนนคับแคบ ภายในพระนครกบิลพัสดุ์นั้นในสมัยพุทธกาลนั้นจะเห็นช้างบ้าง เห็นม้าบ้าง เห็นรถ เห็นเกวียนบ้าง เห็นคนพลุกพล่านขวักไขว่...... 

         เมื่อผู้เขียนตรวจสอบหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ และได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าพระนครกบิลพัสดุ์เมืองหลวงของแคว้นสักกะนั้น มีความเจริญรุ่งเรืองเพราะเป็นเมืองการค้ามีความอุดมสมบูรณ์เพราะปลูกข้าวได้ปริมาณมาก  ประชาชนจำนวนมากตั้งถิ่นฐานและอยู่รวมกัน ชาวกบิลพัสดุ์ประกอบธุรกิจค้าขายข้าวและส่งออกสินค้าข้าวไปต่างประเทศ และสั่งซื้อเสื้อผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผ้าไหมจากแคว้นกาสีอันเลืองชื่อ เป็นที่นิยมในหมู่กษัตริย์ เมื่อแคว้นสักกะเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เพราะเป็นแหล่งผลิตข้าวและปลาที่หาได้ง่าย ดังนั้น ในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ชนชั้นสูงนิยมสร้างปราสาทในเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยมีการสร้างบ้านเรือนมากมายหลายหลัง บนท้องถนนมีการจราจรคับคั่งไปด้วยช้าง ม้า รถ เกวียนผู้คนเดินทางไปมาหาสู่กันตลอดทั้งวัน  นี่คือปรากฎการณ์ทางสังคมในเมืองกบิลพัสดุ์  เมื่อไม่มีหลักฐานเอกสารและพยานบุคคลอื่นใด ที่จะยกข้อความมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะสงสัยคำตอบอีกต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าแคว้นสักกะเป็นรัฐอิสระที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง และเจริญรุ่งเรืองในช่วงยุคต้นพุทธกาลแล้ว

๒.แคว้นสักกะตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่มีอาณาขตแน่นอน   

            เมื่อผู้เขียนได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ   เล่ม ๙   พระสุตตัตปิฎกเล่ม ๑  ฑีฆนิกายสีลกขันธวรรค ๓. อัมพัฏธสูตร  ปรากฏในข้อ  (๒๗๖) ว่าพระเจ้าโอกกากราชตรัสถามอำมาตย์ราชบริพารว่า เวลานี้พระราชกุมารอยู่ไหนเวลานี้ อำมาตย์ตอบว่าพระราชกุมารอยู่ราวป่า ณ สากะใหญ่ ริมฝั่งโบกขรณี เชิงเขาหิมพานต์"  

           ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงมาว่า    แคว้นสักกะเป็นชุมชนการเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู๋แล้ว      ยังมีปัจจัยอีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า แคว้นสักกะต้องมีอาณาเขต  และมีพรมแดนติดกับแคว้นอื่นอย่างชัดเจนเมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงสั่งให้พระโอรสและพระธิดาไปสร้างเมืองใหม่คือเมืองกบิลพัสดุ์ขึ้น เมืองใหม่ของพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าโอกกากราช ตั้งอยู่ในบริเวณชายป่าสักริมฝั่งอ่างเก็บน้ำโบกขรณีและเชิงเขาหิมพานต์  ในยุคหลังแคว้นสักกะประกาศเอกราชจากแคว้นโกลิยะ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งของแคว้นสักกะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว    จะต้องวิเคราะห์ดังนี้  

             ๒.๑  ป่าสากะใหญ่        เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว   ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงตัดสินพระทัย  ที่จะทรงแต่งตั้งพระราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสีองค์ใหม่เป็นมกุฏราชกุมารเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป   แล้วพระองค์จึงทรงรับสั่งให้บรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมเหสีองค์แรกไปสร้างเมืองใหม่ที่ป่าสากะ และพระราชทานนามพระนครแห่งนี้ว่า "แคว้นสักกะ" 
ผู้เขียนได้ศึกษาความจริงของ "ต้นสาละ" จากเอกสารวิชาการด้านป่าไม้บนอินเตอร์เน็ต     ผู้เขียนได้ศึกษาความจริงของต้นสาละว่าเป็นต้นไม้พื้นเมือง  ที่พบตามธรรมชาติในป่าหิมาลัยในสหพันธรัฐประชาธิปไตยเนปาล ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่ว่า เมืองใหม่ของพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ในเขตป่าสาละแห่งเทือกเขาหิมาลัยอย่างไม่มีข้อกังขา   เมื่อไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะยกข้อเท็จจริงมาโต้แย้ง และหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกอีกต่อไป   ผู้เขียนเห็นว่า ชุมชนการเมืองของแคว้นสักกะตั้งอยู่ในเขตป่าสาละจริง 

       ๒.๒ ริมฝั่งสระโบกขรณี    เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่องอาณาเขตของแคว้นสักกะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลกรณแล้ว ก็ได้ยินข้อเท็จจริงว่า แคว้นสักกะตั้งอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน เมืองใหม่กบิลพัสด์ุตั้งอยู่ในป่าสาละ ซึ่งเป็นที่ตั้งอันเหมาะสมและอยู่ริมทะเลสาบสโปกขรณี เพื่อเป็นแหล่งน้ำให้ราษฎรได้บริโภคและอุปโภคอย่างพอเพียง  เพื่อหุงหาอาหาร ซักเสื้อผ้า    ชำระล้างร่างกาย  ทำการเกษตร  และเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติให้ประชาชนจับปลามาบริโภคได้ตลอดทั้งปี 

         ปัญหาว่าสระโบกขรณีมีหรือไม่ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสธุดงค์ไปที่อำเภอกบิลพัสดุ์จังหวัดหมายเลข๕ ตั้งอยู่ในทางใต้ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มีโอกาสได้เยี่ยมชมทะเลสาบจากาดิสปูร์ ( jagadispur Lake) หรือรัฐบาลเรียกว่าอ่างเก็บน้ำจากาดิสปูร์ (Jagadispur Reservoir)  เนื้อที่ ๒๒๕ เฮกเตอร์หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าไร่ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำบางอันกา (Banganga River)  ผู้เขียนเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คือสระโบกขรณีที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎก เพราะเป็นหนองน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลตั้งอยู่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ  (Ancient Apilavastu)  

 ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบจากาดิสปูร์ (jagadispur Lake) ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ และไม่ไกลจากเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณ สภาพทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบันจึงสอดคล้องกับข้อมูลในพระไตรปิฎก เมื่อผู้เขียนดูภาพถ่ายของแผนที่โลก (Google Map)     เราพบทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้เชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัย และรายล้อมไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมของชาวเนปาลที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น ผู้เขียนเห็นว่า Jagadispur Reservoir ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่นั้นคือสระน้ำโบกขรณีได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเอง  

        ๒.๓ เชิงเขาหิมพานต์  คำว่า "หิมพานต์" ในเบื้องต้นเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่แหล่งความรู้ในพยานเอกสารพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้น  คำว่า "หิมพานต์" หมายถึงป่าหนาวแถบเหนือของอินเดียหมายถึงป่าดงดิบในเขตภูเขาหิมาลัย  และเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิลได้ชี้ชัดว่า ภูเขาทางตอนเหนือของสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล คือเทือกเขาหิมาลัยตั้งอยู่จริง ๆ  

         ๒.๔ แผนที่โลก(Google Maps)   เมื่อผู้เขียนค้นคว้าแผนที่โลกกูเกิลซึ่ง ซึ่งเป็นเอกสารดิจิทัลเป็นพยานที่สำคัญต่อพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นภาพถ่ายจากดาวเทียมซึ่งเป็นแผนที่โลก ที่นักวิชาการเห็นพ้องกันว่าเป็นแผนที่โลกที่แม่นยำที่สุด และเป็นสากลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้                หากนักโบราณคดีมีแผนคิดที่จะใช้ข้อมูลในพระไตรปิฎกในการสำรวจภาคสนาม  เพื่อค้นหาป่าสาละ สระโบกขรณี และที่ราบเชิงเขาหิมาลัยเพื่อหาที่ตั้งของเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ค่อนข้างยากเนื่องจากข้อจำกัดของประสาทสัมผัสของมนุษย์ ในการค้นหาดินแดนแห่งแคว้นสักกะ ต้องใช้ทีมงานสำรวจขนาดใหญ่ มีการใช้งบประมาณจำนวนมากและใช้เวลาหลายปี  

           เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานเพียงพอแล้ว   ได้ข้อมูลแล้ว จะต้องใช้ทีมงานของนักวิจัยในหลายสาขา มาวิเคราะห์โดยอนุมาน เพื่อค้นหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับการมีอยู่ของแคว้นสักกะ คำตอบจากการวิจัยจะความรู้ที่ผ่านเกณฑ์ตัดสินอย่างสมเหตุสมผล และเหตุผลสามารถอธิบายเหตุผลของข้อเท็จจริงที่ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของสถานที่ตั้งของรัฐสักกะ เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลก (Google Map) ผู้เขียนค้นพบชื่อเมืองกบิลพัสดุ์ถูกระบุไว้ในพยานเอกสารดิจิทัลคือแผนที่โลกของกูเกิลอย่างชัดเจน ตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขาหิมาลัย ห่างกัน ๑๖ กิโลเมตรนอกจากนี้ในแผนที่โลกของกูเกิล ใกล้กับเมืองกบิลพัสดุ์มีทะเลสาบโบราณขนาดใหญ่อีก ๑ แห่ง ตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน ทำให้ปราศจากข้อสงสัยของความร้และความจริงที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด (ตรวจ) 

          ๒.๕ อาณาเขตของแคว้นสักกะติดต่อกับแคว้นใด เมื่อผู้เขียนตวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารดิจิทัลคือ แผนที่อนุทวีปอินเดียในสมัยพุทธกาล ได้นักวิชาการหลายท่านได้จัดทำขึ้นมาและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวบนอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนหลายฉบับ ผู้เขียนคาดคะเนความจริงได้ อาณาเขตของแคว้นสักกะนั้น ทิศเหนือติดกับเทือกเขาหิมาลัย ทิศตะวันตกติดกับแคว้นโกลิยะ ทิศตะวันออกติดกับแคว้นมัลละ ทิศใต้ติดกับแคว้นโกศล 

           ดังนั้น ความจริงจากหลักฐานเอกสารดิจิทัลนั้น แผนที่ชมพูทวีปอินเดียที่เผยแผ่ทางออนไลน์นั้น ผู้เขียนวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้และคาดคะเนความจริง จากพยานเอกสาร พยานวัตุ และพยานเอกสารดิจิทัลได้แก่แผนที่โลกของกูเกิลนั้น  ผู้เขียนเห็นว่า ดินแดนแคว้นสักกะชนบทนในสมัยพุทธกาล เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ในป่าสาละอันเป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในภูเขาหิมาลัยแล้ว ประชาชนตั้งถิ่นฐานอยู่บนริมฝั่งสระน้ำโบกขรณีแล้ว   และดินแดนตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขาหิมพานต์ด้วย เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่โลกกูเกิล    และแผนที่ชมพูทวีปโบราณผู้เขียนเห็นว่า ทางทิศเหนือของพระนครกบิลพัสดุ์นั้น เป็นเทือกเขาหิมาลัย มีเป็นลักษณะทอดยาวไปยังดินแดนของหลายรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระนครกบิลพัสดุ์  ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกสอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของภาพถ่ายจากดาวเทียมในแผนที่โลกกูเกิล เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผลและไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุผลในความมีอยู่ของรัฐสักกะต่อไป ผู้เขียนเห็นว่าพระนครกบิลพัสดุ์ตั้งอยู่กับเชิงหิมาลัยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น   
๓.รัฐสักกะมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
     
    ประเทศหรือรัฐอิสระต้องมีอำนาจประชาธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน ดังปรากฏหลักฐานที่มาของความรู้จากพยานเอกสารออนไลน์ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ [2] และประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น ๓ อำนาจด้วยกันกล่าวคือ อำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายผ่านรัฐสภาที่เรียกว่า"สัณฐาคาร"เป็นที่ประชุมของรัฐสภา อำนาจนิติบริหารผ่านประชุมของคณะรัฐบาลเพื่อประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เพื่อลงมติในการตัดสินปัญหาต่างๆของประเทศ  อำนาจตลุลาการ ในการตัดสินอรรถคดีต่าง ๆ  มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้อย่างอิสระมิได้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐหนึ่งรัฐใดเป็นต้นในสมัยพุทธกาลนั้น แคว้นสักกะ มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ใช้อำนาจออกตนอย่างอิสระ ไม่ปรากฏหลักฐานใดในพระไตรปิฎกว่า แคว้นสักกะนั้นอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของรัฐโกศลและรัฐโกลิยะแต่อย่างใดมีแต่ราชอาณาจักรโกศลนั้นที่ยกทัพมาโจมตีเพราะมิจฉาทิฐิของพระเจ้าวิฑูฑพะดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าแคว้นสักกะมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง 

๔.รัฐสักกะมีการปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อประโยช์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน             

        ในยุคปัจจุบัน เมื่อรัฐเป็นชุมชนการเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่  แต่ละคนมีอุปนิสัยและความชอบตามตัณหาที่แตกต่างกัน  เมื่อผู้คนแสวงหาสิ่งที่ชอบ เพื่อสนองตัณหาที่ไม่มีวันจบสิ้น    ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุด ก่อให้เกิดการขัดแย้ง   การทำร้ายและฆ่ากัน การลักขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ  การลักพาตัวคนรัก   การดูหมิ่นเหยียดหยามกัน และการดื่มสุราเพื่อเพิ่มปริมาณความสุขในชีวิต ซึ่งก็คือความสุขที่ได้จากการแลกเปลี่ยนสุขภาพ  ผลการกระทำดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ต่างคนต่างมีเหตุผลในการดำเนินชีวิตและแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมที่ตนอาศัยอยู่ตามตัณหา เมื่อได้รับผลประโยชน์ที่ตนต้องการแล้ว ชีวิตก็สุขสบาย  แต่ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ  ก็จะอิจฉาริษยาจิต มีความเห็นผิดและหาทางแก้แค้น โดยไม่สามารถคิดแก้ไขตนเองด้วยสติปัญญาของตนเอง

        ดังนั้น ประเทศที่เพ่งก่อตั้งขึ้นทั่วโลก จะต้องได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติว่า เป็นรัฐที่สามารถปกครองตนเองได้ มีเอกราช กล่าวคืออำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง  เป็นต้น เช่น เมื่อแคว้นสักกะได้ประกาศเอกราช แยกตัวเองออกจากแคว้นโกลิยะก็สามารถปกครองตนเองได้ และมีรัฐอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ ตั้งอยู่ห่างจากพระนครเทวทหะไปประมาณ ๘๐ กิโลเมตร   มีแม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตของแคว้นทั้งสองให้อิสระจากกัน 

๔.๑ กฏหมายรัฐธรรมนูญของแคว้นสักกะ 

สระโบกขรณีที่เรียกว่า jagadispur Lake 
        
โดยทั่วไป ประเทศหรือแคว้น (country) ที่ชุมชนการเมือง ได้จัดตั้งเป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง จะต้องมีรัฐธรรมนูญเป็นมาตรฐานในการปกครองประเทศ เพื่อประกันสิทธิ      เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชน ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัย;จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้  โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา นักตรรกะในการอธิบายความจริงของความคำตอบว่า  แคว้นสักกะมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นระเบียบในการบริหารปกครองแคว้นสักกะหรือไม่ 

        เมื่อผู้เขียนค้นหาข้อมูลคำว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญในพระไตรปิฎกดิจิทัล   ก็ไม่ปรากฏกหลักฐานในเรื่องนี้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแต่อย่างใด  ผู้เขียนตัดสินใจค้นหาข้อความอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ซึ่งก็คือคำว่า "นิติศาสตร์" ผู้เขียนค้นพบข้อความคำว่านิติศาสตร์ที่ใช้ในการอธิบายคำว่า"ธรรมของกษัตริย์"ในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาลงกรณ เล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.อสีตินิบาต] ๕.มหาสุตโสมชาดก[๔๓๐] พระองค์ทรงพ้นจากเงื้อมมือโจรโปริสาทเสด็จไปถึงราชมณเฑียรของพระองค์ ทรงเพลิดเพลินอยู่ในกาม เสด็จกลับมาสู่เงื้อมมือของหม่อมฉันผู้เป็นศัตรูอีก พระองค์ช่างเป็นผู้ไม่ฉลาด ในธรรมของกษัตริย์ เลยนะพระเจ้าข้า" 

            คำว่า"ธรรมของกษัตริย์" ได้ถูกอธิบายไว้และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "หลักนิติศาสตร์" ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการบริหารประเทศของชนชั้นวรรณะกษัตริย์ในอดีต เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลที่ปรากฏในพระไตรปิฎกมหจุฬาลงกรณออนไลน์ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าในสมัยพุทธกาลนั้นแคว้นแต่ละแคว้นในชมพูทวีปนั้น มีระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองประเทศเรียกว่า "ธรรมกษัตริย์หรือหลักนิติศาสตร์" ไม่ใช้คำว่า "รัฐธรรมนูญ" เหมือนในปัจจุบัน   ส่วนหลักธรรมสำหรับนักบริหารที่ปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณออนไลน์เรียกว่า"หลักราชอปริหานิยธรรม" แต่นักบริหารในสมัยพุทธกาลไม่ได้มีความหมายหลากหลายเหมือนปัจจุบันนี้ ผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ ได้แก่ ชนวรรณะกษัตริย์มีสิทธิหน้าที่ในการบริหารปกครองประเทศเท่านั้น 
   
         ๔.๒ ประเด็นที่ว่าแคว้นสักกะมีการแบ่งวรรณะหรือไม่ เป็นอย่างไร เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓  ทีฆนิกายปาฏิกวรรค [๔.อัคคัญญสูตร] ข้อ ๑๑๔..... พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรสเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น...และข้อ. ๑๑๕....วรรณ ๔ เหล่านี้คือ (๑)กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์ และ(๔) ศูทร 

       ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๔.พราหมณมนวรรค] ๕.จังกีสูตร ข้อ ๔๓๕ วรรคสุดท้าย.....สมณโล้นเหล่านี้ เป็นสามัญชนเกิดจากพระบาทของพระพรหมเป็นกัณหชาติ (วรรณะศูทร) และในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๒.จุฬวรรค] ๗.พรหมณธัมมิกสูตร ข้อ.๓๑๘  กษัตริย์ พราหมณ์ พร้อมทั้งแพศย์และศูทรที่เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพรหม ที่ได้รับความคุ้มครองจากวงศ์ตระกูลของตน.... 

            เมื่อผู้เขียนได้ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฏกออนไลน์แล้ว ก็ได้ฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่า ชาวสักกะเชื่อว่า พระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ได้แก่ วรรณะกษัตริย์  วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร   โดยพระพรหมทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาส่วนต่าง ๆของพระวรกายแห่งพระองค์ พวกพราหมณ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหม และวรรณะศูทร จากพระบาทแห่งพระพรหมที่ทรงสร้างขึ้นมา  ส่วนวรรณะกษัตริย์และวรรณะแพศย์ แม้จะยังหาหลักฐานในพระไตรปิฎกมิได้ แต่ข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตเล่มที่ ๑๗ รับฟังได้ว่า ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งพระพรหม เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใด      ยกขึ้นมาหักล้างโต้แย้งข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณให้มีข้อพิรุธเป็นอย่างอื่น ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อมูลแล้วเห็นว่าชาวแคว้นสักกะนั้นในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น มีความเชื่อว่าพระพรหมทรงมีอยู่จริง และสร้างชาวประชาชนชาวสักกะ ๔ วรรณะได้แก่ชนวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์วรรณะแพศย์และวรรณศูทรจากพระวรกายแห่งพระพรหมจริง

      ๔.๓ มีปัญหาต่อไปอีกว่า เมื่อแคว้นสักกะออกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งประชาชนออกเป็นวรรณะ ๔ พวกแล้ว เกิดปัญหาต่อประชาชนชาวสักกะตามมาอย่างไร   เกิดปัญหาคนไร้วรรณะขึ้นมาในสังแคว้นสักกะ  เมื่อมีการแต่งงานข้ามวรรณะขึ้นมาในระหว่างคนวรรณะพราหมณ์กับคนวรรณะศูทรหรือวรรณะอื่น ๆ ต้องสูญเสียสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพของตนตามวรรณะที่เกิดมาตามกฎหมาย และลูกที่เกิดมากลายเป็น "ชนไร้วรรณะ" เช่นกันที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พวกจัณฑาล" 

       ดังปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่  ๑๔ (ฉบับมหาจุฬา ฯ)  อังคุตตรนิกาย  ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ ๕.พราหมณวรรค  ๒.โทณพราหมณสูตร ข้อ ๑๙๒  วรรคสุดท้ายกล่าวว่า.......พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างไร   คือพราหมณ์ในโลกนี้เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูล เขาประพฤติโกมารพรหมจรรย์ เรียนมนต์อยู่ ๔๘ ปีแสวงหาทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่อาจารย์โดยชอบธรรมบ้าง  ไม่ชอบธรรมบ้าง  แสวงหาด้วยกสิกรรมบ้าง แสวงหาด้วยพาณิชยกรรมบ้าง แสวงหาด้วยโครักขกรรมบ้าง แสวงหาด้วยการเป็นนักรบบ้าง แสวงหาด้วยการรับราชการบ้าง แสวงหาด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง  ถือกระเบื้องเที่ยวภิกขาจารบ้าง เขามอบทรัพย์สำหรับบูชาอาจารย์เพื่ออาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดยชอบธรรมบ้าง  ไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยการซื้อบ้าง แสวงหาด้วยการขายบ้าง แสวงหานางพราหมณีที่เขายกให้ด้วยการหลั่งน้ำบ้าง  สมสู่กับนางพราหมณีบ้าง สตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง นายพรานบ้าง ช่างสานบ้าง ช่างรถบ้าง คนขนขยะบ้าง สตรีมีครรภ์บ้าง สตรีมีลูกอ่อนบ้าง สตรีมีระดูบ้าง สตรีหมดระดูบ้าง พราหมณีนั้นเป็นพราหมณีของพราหมณ์เพราะต้องการความใคร่บ้าง เพราะต้องการความสนุกบ้างเพราะต้องการความยินดีบ้าง เพราะต้องการบุตรบ้าง  เขาเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง  พวกพราหมณ์ได้กล่าวกับเขาอย่างนี้ว่า "ท่านปฏิญญาว่าเป็นพราหมณ์ ผู้เจริญเพราะเหตุไร จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง เขาตอบอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญเปรียบเสมือนไฟไหม้ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด แต่ไฟไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แม้ฉันใด ถึงแม้พราหมณ์เลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่างก็จริง แต่พราหมณ์ไม่ยึดติดกับการงานนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์จึงเลี้ยงชีพด้วยการงานทุกอย่าง" เพราะเหตุดังนี้แล ชาวโลกจึงเรียกว่า พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลเป็นอย่างนี้แล"    

             เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกออนไลน์แล้ว พบข้อเท็จจริงว่า เมื่อคนวรรณะพราหมณ์สมสู่กับหญิงวรรณะกษัตริย์บ้าง วรรณะแพศย์บ้าง และวรรณะศูทรบ้าง พวกเขาจะต้องละทิ้งวรรณะที่ตนเกิดมา สูญเสียสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามสิทธิโดยกำเนิด กลายเป็นคนไร้วรรณะ  ส่วนเด็กที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะ   เมื่อบุตรเกิดมาจากวรรณะที่ไม่บริสุทธิ์ทางสายเลือด ก็กลายเป็น "พวกจัณฑาล" เช่นกัน  

      เมื่อจำนวนคนไร้วรรณะเพิ่มมากขึ้นทุกปี     ก็มีปัญหาการดูหมิ่นเหยียดหยามกันมากขึ้นกลายเป็นปัญหาทะเลาะวิวาทมากขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมายแห่งประเทศสักกะ นำไปสู่การสูญสิ้นศรัทธาในพระพรหม  เมื่อคนวรรณะสูงเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เป็นเรื่องยากที่ชนวรรณะกษัตริย์    จะปกครองประเทศที่เจริญรุ่งเรืองได้โดยอาศัยคนวรรณะสูงเท่านั้น

๕ ซากโบราณสถานเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ (the ancient apilavastu) 

       เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึง "การมีอยู่ของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณ    เมื่อกรมโบราณคดีเนปาลค้นพบสวนลุมพินี สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ   พวกเขาก็พบหลักฐานที่ยืนยันด้วยอักษรพรหมีที่สลักบนเสาหินอโศก        ที่ตั้งอยู่ในวัดมายาเทวี (Maya Devi temple) นั้น ว่าเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว การค้นหาเมืองกบิลพัสดุ์โบราณนั้น โดยใช้เสาหินอโศกเป็นจุดเริ่มต้น ได้ค้นพบเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ในอำเภอTaulihawa เมื่อดูแผนที่โลกกูเกิล    วัดระยะทางพบว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากสวนลุมพินีและเทือกเขาหิมาลัยค่อนข้างมาก ต่อมารัฐบาลเนปาลได้เปลี่ยนชื่อเขตTaulihawa เป็นเขตกบิลพัสดุ์ เพื่อย้ำเตือนชาวพุทธว่า ที่นี้ คือบ้านเกิดของพระพุทธเจ้า 

            เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบติดกับเทือกเขาหิมาลัย จึงถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานเอกสารที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า ชาวแคว้นสักกะและชาวแคว้นโกลิยะนั้น ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักทั้งสองแคว้น เคยทำสงครามแย่งน้ำกันทำนา แม้สถานะแห่งราชวงศ์ศากยวงศ์ จะสูญสลายไปเพราะถูกทำลายตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิฑูทัพพะ  ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลนำทัพไปทำลายล้างชนวรรณะแห่งราชวงศ์ศากยะ   ๒ ปีก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน แต่ปัจจุบัน แคว้นสักกะก็มีการสร้างเมืองขึ้นใหม่และน่าจะตั้งอยู่ในเขตประเทศอินเดีย 
       
        การวิเคราะห์ข้อมูล   เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  พยานวัตถุของโบราณสถานทางพุทธศาสนา อันเก่าแก่ที่เรียกว่า"Anciennt kapilvastu"  และสระโบกขรณีที่เรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir" นั้น   รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นชุมชนทางการเมืองของแคว้นสักกะ ที่ชาวสักกะก่อตั้งขึ้นอยู่ในพื้นที่ 

          (๑) เขตป่าสาละ       ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเป็นพืชท้องถิ่นของเนปาลจริง      ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่มีเหตุผลที่ผู้เขียนจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในประเด็นอีกต่อไป

            (๒) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบโบกขรณีเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคนั้น เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในใจของผู้เขียนโดยตรง  เมื่อเขียนได้เดินธุดงค์มาที่พระนครกบิลพัสด์ุ   ในยุคสมัยปัจจุบันเรียกว่า อำเภอกบิลพัสดุ์แล้ว ผู้เขียนเห็นว่า มีอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนปาล เรียกว่า "๋Jagadispor Reservoir"  ตั้งอยู่ในอำเภอกบิลพัสดุ์ จังหวัดลุมพินี นี้ เป็นสถานที่ผลิตน้ำอุปโภค และบริโภคของประชาชนในเมืองนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อได้ว่าแหล่งน้ำใช้บริโภคและอุปโภคตั้งแต่ในสมัยอนุทวีปอินเดีย ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชจริง   

           (๓) ติดกับภูเขาหิมาลัยเมื่อตรวจสอบข้อมูลสถานที่ตั้งอำเภอกบิลพัสดุ์กับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่     แผนที่โลกของกูเกิลแล้ว      ผู้เขียนเห็นว่าภูมิประเทศของเขตกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบติดเชิงเขาหิมาลัย เป็นพื้นที่ราบลุ่มมีน้ำไหลจากภูเขาหิมาลัย เหมาะแก่การเกษตรกรรมตลอดทั้งปี ในฤดูฝน ชาวสักกะสามารถปลูกข้าวได้อุดมสมบูรณ์และส่งออกไปยังประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ  สามารถนำความมั่งคั่งสู่แคว้นสักกะได้ ในฤดูแล้ง พวกเขาปลูกพืชไร่และเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งออกไปยังแคว้นต่าง ๆ ได้ 

          ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งของประเทศสักกะ สอดคล้องกับเอกสารหลักฐานที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหลายฉบับ  พยานวัตถุได้แก่โบราณสถานหลายแห่ง  ที่สร้างในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช        และหลักฐานดิจิทัลโดยเฉพาะแผนที่อินเดียโบราณและแผนที่โลกของกูเกิล เป็นต้น  เมื่อหลักฐานสอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่มีหลักฐานใดที่จะมาหักล้างที่ตั้งอาณาเขตของแคว้นสักกะได้          ข้อเท็จจริงในหลักฐานเหล่านั้น ก็สมเหตุสมผลที่จะทำเรายืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า ที่ตั้งของกรุงกบิลพัสดุ์นั้นอยู่ในเขตกบิลพัสดุ์ จังหวัดหมายเลข ๕ ของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประเทศเนปาล เป็นต้น

        


บรรณานุกรม


[1]http://www.royin.go.th/dictionary/อธิปไตย
[2] https://dictionary.sanook.com/search
/ประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ