The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปัญหาญาณวิทยาของวัดเวฬุวันมหาวิหารในพระไตรปิฎก

the Epistemological problems of Venuvan Maha Vihara in the Tripitaka   according to Buddhaphumi's philosophy 

บทนำ 

           การศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญา   เมื่อนักปข้อเท็จจริงในปัญหาเกี่ยวกับความจริงของเรื่องใด   ตามหลักปรัชญาห้ามมิให้เชื่อข้อเท็จจริงว่าเป็นความจริงทันที จนกว่าจะรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นได้ หากพยานหลักฐานเป็นพยานบุคคลที่จะให้การยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น  ต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมเป็นความรู้อยู่ในจิตใจของเขาเท่านั้น   การเขียนบทความนี้  ผู้เขียนก็มีความรู้จากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง เมื่อได้เดินทางมาแสวงบุญในพุทธสถานวัดเวฬุวันมหาวิหารหลายครั้งในฐานะผู้แสวงบุญบ้าง ในฐานพระวิทยากรผู้บรรยายเกี่ยวกับวัดแห่งนี้หลายครั้ง ความมีอยู่ของวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาบ่อเกิดความรู้และความจริงตามหลักญาณวิทยาที่เรียกว่า  "ทฤฎีความรู้ประจักษ์นิยม"  มีแนวคิดว่าบ่อเกิดความรู้ของมนนุษย์ต้องรับผ่านประสาทสัมผัสเท่านั้น       ถึงจะถือว่าเป็นความรู้และความจริงกล่าวคือ ความมีอยู่จริงของวัดเวฬุวันมหาวิหารต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์จึงจะถือว่าวัดแห่งนี้มีอยู่จริง   ปัญหาว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไหนมีพยานหลักฐานจากแหล่งความรู้ใดถือยันยันข้อเท็จจริงว่าเป็นสถานที่จริง   เป็นเรื่องที่ผู้เขียนสงสัยจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพื่อรวบรวมหลักฐานวิเคราะห์ข้อมูลในสิ่งที่ตนสงสัยเพื่อหาเหตุผลของคำตอบ  ต้องมีระเบียบวิธีคิดจะคิดไปเองโดยไม่มีข้อเท็จจริงผ่านประสาทสัมผัสของตนมิได้ เพราะทำให้ความรู้กลายเป็นความเท็จได้จากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพจนานุกรมแปลไทย-ไทยอภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญานั้น      เป็นวิชาที่ว่าด้วยความแท้จริงซึ่งเป็นเนื้อสำคัญของปรัชญา ดังนั้นวัดเวฬุวันเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งของโลกและจักรวาล  สิ่งที่รับรู้ด้วยขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ อยู่ในโลกของปรากฏการณ์และเป็นสิ่งที่มิได้อยู่เหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์ขึ้นไปแต่อย่างใด  

      ผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลคำว่า "วัด"   จากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ นั้น  ได้นิยามความหมายของคำว่า   "วัด"   ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า temple และ Monastery ส่วนคำว่า "เทวสถาน"ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ใช้คำว่า temple เช่นเดียวกัน [๑]ส่วนคำว่า เทวสถานเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "temple"     หากเราแปลความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน     พ.ศ. ๒๕๕๔  หมายถึงสถานที่ซึ่งถือว่าเป็นประทับหรือสิงสถิตของเทพเจ้า เทวดา หรือเทวรูป ส่วนคำว่า "วัด" หมายถึง สถานที่ทางศาสนาโดยปกติมีโบสถ์ วิหาร ที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์หรือ นักบวชเป็นต้น ส่วนคำว่า Monastery แปลว่า วัด  ที่อยู่ของพระ [๒]  ดังนั้นคำว่าวัดในพระพุทธศาสนาน่าใช้คำว่า Monastery ถูกต้องมากกว่า     ใช้คำว่า temple เป็นต้น  ตัวอย่างเช่น The Royal Thai Monastery เป็นต้น  

๑.การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ที่เมืองราชคฤห์  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในชีวิตจริง และพัฒนาศักยภาพชีวิตของปัญจวัคคีย์   จนสามารถปฏิบัติธรรมตามวิธีการของมรรคมีองค์๘ จนบรรลุถึงความรู้แท้ จริงในระดับอภิญญา ๖    พระองค์ทรงตัดสินพระทัยส่งพระภิกษุจำนวน ๖๐ รูปเป็นพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา     ไปพัฒนาศักยภาพของชีวิตของชาวโลกในดินแดนต่าง ๆ ทั่วชมพูทวีป      ส่วนพระองค์จะเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  ดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ     เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔  มหาวรรค ภาค ๑ [๑.มหาขันธกะ มารกถา] ข้อ  [๓๒]ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับพระภิกษุเหล่านั้นว่า    "ภิกษุทั้งหลายเราพ้นจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์      ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมากเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก        เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปโดยทางเดียวกันสองรูป    จงแสดงธรรมที่มีความงามในเบื้องต้นความงามในท่ามกลาง และความงามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้องทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน    สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในตาน้อย     มีอยู่ย่อมเสื่อมเพราะมิได้ฟังธรรมจักมีผู้รู้ธรรมภิกษุทั้งหลาย  แม้เราจักไปอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม"

     จากพยานหลักฐานของข้อความในพระไตรปิฎกนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นข้อยุติว่าเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าบัดนี้ปัญจวัคคีย์ พระยสและสหายรวม ๕๔ รูป  ได้พัฒนาศักยภาพของชีวิตตามวิธีการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์  จนบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา๖  แล้ว ทรงตัดสินพระทัยส่งพระธรรมทูตสายต่างประเทศไปประกาศพระพุทธศาสนายังประเทศต่างๆ ในชมพูทวีปเป็นครั้งแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระนครพาราณสี แคว้นกาสี  และมีผู้ศรัทธาออกบวช ๖๐ คนแล้ว ทรงได้ตัดสินพระทัยส่งพระธรรมทูตสายต่างประเทศจำนวน ๖๐ รูปไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่าง ๆ ในชมพูทวีป  ส่วนพระองค์ทรงเสร็จไปเผยแผ่ไปเผยแผ่วิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์๘ แก่ชฏิล ๓ พี่น้องที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมในแคว้นมคธใช้เวลา ๒ เดือน สอนชฏิล ๓  พี่น้องและบริวารที่เข้ามาศึกษาใน ๓ สำนัก จำนวน๑,๐๐๐ คนจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์  

          ๒. มูลเหตุของการสร้างวัดแห่งนี้เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา      เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาเพื่อประกาศพุทธธรรมแก่ชาวโลกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี (อำเภอพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ ในปัจจุบัน) แล้วหลังจากแสดงธรรมโปรดชฏิล ๓ พี่น้องที่เมืองอุรุเวลาเสนานิคม ในปัจจุบันเรียกว่าตำบลพุทธคยาใช้เวลาเกือบ ๒ เดือน     เปลี่ยนมิจฉาทิฐิเป็นสัมมาทิฐิ สอนให้ชฏิลปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว    จนจิตบรรลุธรรมสำเร็จ  เป็นพระอรหันต์พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมาที่เมืองราชคฤห์    พร้อมด้วยชฏิล ๓ พี่น้องและบริวาร อีก ๑๐๐๐ รูป  เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร และชาวเมืองราชคฤห์    ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์เกิดดวงตาเห็นธรรม      เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินมาประกาศพระพุทธศาสนาที่พระนครราชคฤห์พร้อมด้วยภิกษุเคยเป็นชฏิลจำนวน ๑๐๐๐ รูป  พระเจ้าพิมพิสารและประชาชนจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ คน ถวายการต้อนรับที่ลัฏฐิวัน ณ สวนตาลหนุ่มพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอนุปุพพิกถา เป็นหลักธรรมเกี่ยวกับเรื่องของการให้ทาน ศีล สวรรค์ โทษของกามและอนิสงค์ของการออกจากกามโดยลำดับต่อจากนั้นทรงแสดงอริยสัจ ๔ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมทั้งพราหมณ์ คฤหบดี จำนวน ๑๑๐,๐๐๐ คน ตั้งสติพิจารณาพระธรรมเทศนาด้วยความเข้าใจอย่างแจ้งชัดปราศจากข้อสงสัยในชีวิตอีกต่อไป เกิดดวงตาเห็นธรรมจิตบรรลุธรรมระดับโสดาบัน  ดังปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ ฉบับมหาจุฬา ฯ  เรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ข้อ ๕๖ กล่าวว่า ....ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบความรำพึงในใจ พวกพราหณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุตเหล่านั้นด้วยพระทัย จึงได้อนุปุพพิกถาคือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามานวกถา เนกขัมมานิสังสกถา .....        ในวันต่อมาพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปเสวย ณ พระราชนิเวศน์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์     เมื่อเสวยภัตตาหารเช้าแล้วพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงหลั่งน้ำจากพระเต้าทอง ทรงได้ถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแด่พระภิษุสงฆ์มีพระพุทธประทาน เป็นสังฆารามแห่งแรกนี้ไว้ในพระพุทธศาสนา  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินกลับพร้อมพระอรหันตสาวก ทรงปรารถเหตุที่พระเจ้าพิมพิสารถวายเวฬุวันป่าไผ่ พระพุทธเจ้าทรงมีพบรมพุทธานุญาให้วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา  

        ๓. บันทึกของสมณะฟาเหียน            

   ได้บันทึกในช่วงปี ๙๔๒-๙๕๗ ไว้ว่าเมื่อได้เดินทางออกจากเมืองราชคฤห์อันเก่าแก่ของพระเจ้าพิมพิสาร ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ ๑๐๐ เมตร สมณะฟาเหียนได้พบอุทยานป่าไม้ไฝ่ กรัณฑ (เวฬุวัน)  ในสมัยนั้นยังมีวิหารโบราณ ที่พระเจ้าพิมพิสารได้สร้างถวายในวัดแห่งนี้ด้วยปรากฎอยู่มีพระภิกษุจำพรรษาช่วยกันดูพระวิหารแห่งนี้  รดน้ำต้นไม้ ปัดกวาดวิหารลานวัดอยู่ในขณะสมณฟาเหียนเข้าไปศึกษาวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา  

       ๔.วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ทรงมีจิตศรัทธาถวายสังฆารามแห่งแรกไว้เป็นสมบัติในพุทธศาสนาดังปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ ฉบับมหาจุฬา ฯ เรื่องพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธรัฐข้อ ๕๙ ว่า"ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ     ครั้นถึงแล้วที่ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวายพร้อมพระภิกษุสงฆ์ ......ท้าวเธอทรงดำริว่า   "พระผู้มีพระภาคควรประทับที่ไหนหนอ ที่แห่งใดอยู่ไม่ไกลและไม่ใกล้จากหมู่บ้านนัก คมนาคมสะดวก  ผู้ประสงค์พึงเข้าเฝ้าได้กลางวัน ไม่พลุกพล่าน  กลางคืนเงียบสงัด  เสียงไม่อึกทึก เว้นจากคนสัญจรไปมาเป็นที่กระทำลับของหมู่มนุษย์ ควรแก่การหลีกเร้น ......เราพึงถวายอุทยานเวฬุวันแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข..."  

           จากพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกกล่าวยืนยัน เป็นพยานหลักฐานว่า วัดเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา โดยพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์ที่ปกครองเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นผู้มีจิตศรัทธาถวายพระอุทยานเวฬุวัน สวนหลวง แด่พระพุทธเจ้า ด้วยเหตุว่า

       ๑. ไม่ไกลและไม่ใกล้จากหมู่บ้านหรือพระราชวังของพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อใช้เป็นประทับเพื่อแสดงพระธรรมเทศนาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแก่พระภิกษุที่บวชใหม่พระพุทธศาสนาและใช้บิณฑบาตรเพื่อยังชีพโดยอาศัยผู้อื่น.

       ๒. การคมนาคมสะดวกเมื่อชาวเมืองราชคฤห์บุคคลใดมีปัญหาของชีวิตก็สามารถสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าในวัดเวฬุวันมหาวิหารได้ง่าย สถานตั้งอยู่ไกลจากพระราชวังพระเจ้าพิมพ์สารมากนัก  เพื่อรู้แจ้งตลอดของความทุกข์ของชีวิตตัวเองได้ง่าย เพราะไม่ไกลจากหมู่บ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่ได้ เมื่ออุทยานเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสารมาก่อน เส้นทางคมนาคมจึงได้รับการพัฒนาให้ได้รับความสะดวกสบาย

          ๓.  ผู้ประสงค์พึงเข้าเฝ้าได้กลางวัน      เมื่อชาวเมืองราชคฤห์ผู้ประสบกับความทุกข์ซ้ำซากเกิดขึ้นในจิตใจของตัวเองสามารถเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้เพื่อปรึกษาความทุกข์ในชีวิตได้ในเวลากลางวัน เพื่อจัดการกับปัญหาเพื่อให้จิตรู้แจ้งแทงตลอดในความทุกข์นั้น

          ๔. ที่มาความรู้ของผู้เขียน

ความรู้และความมีอยู่จริงของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้น ตามทฤษฎีความรู้ในสาขาญาณวิทยา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญานั้น ในทฤษฎีประจักษ์นิยมมีแนวคิดว่า "ความรู้และความเป็นจริงนั้น ต้องสามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น" ดังนั้น บ่อเกิดที่มาของความรู้จึงเกิดจากประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นความรู้ที่มีอยู่จริง    กล่าวคือผู้เขียนได้รับรู้ในความมีอยู่จริงของวัดเวฬุวันมหาวิหารผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของผู้เขียนเอง  เมื่อเดือนกันยายนปี ๒๐๐๒    ผู้เขียนได้เดินทางมาแสวงบุญในวัดแห่งนี้ในโครงการปฏิบัติธรรมในแดนพุทธภูมิของนักศึกษาเมืองพาราณสี  

              สภาพของวัดเป็นโบราณสถานในพระพุทธศาสนา มีการแสดงอาณาเขตของวัดด้วยการกั้นรั้ว ล้อมรอบขอบชิดแสดงอาณาเขตเด่นชัดแน่นอน ภายในวัดมีสระน้ำหนึ่งแห่ง มีต้นไผ่ขึ้นเต็มไปหมดตั้งอยู่ไม่ไกลจาก ตโปธาราน้ำพุร้อนใต้ดินไหลตลอดทั้งปี    แต่วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดร้างไปแล้ว ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา เช่น  สมัยพุทธกาล  แต่กองโบราณคดีของอินเดียได้ล้อมกำแพงไว้ ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้  เป็นพุทธสถานหนึ่งตั้งอยู่ในเมืองราชคฤห์อันเก่าแก่   ตั้งแต่สมัยพุทธกาลให้ผู้แสวงบุญที่เดินทางจากทั่วมุมโลกมาประกอบพิธีปฏิบัติบูชา  และตั้งพุทธานุสสติระลึกถึงการทรงงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า   ได้เดินทางมาเยี่ยมชมไม่เคยขาดสายมีการรักษาบรรยายกาศให้เหมือนสมัยพุทธกาลไว้เป็นอย่างดี    ในวัดเวฬุวันมหาวิหารแห่งนี้นั้น ได้มีการอนุรักษ์สระน้ำที่พระพุทธเจ้าใช้สรงน้ำไว้มีการปลูกต้นไม้ไผ่ไว้เป็นสวนเช่นเดียวกับพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสารในสมัยพุทธกาล  เมื่อคณะของเราเดินทางมาถึงเสียค่าเข้าชม ๕๐ รูปี ก็เดินทางไปสู่บริเวณลานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพรขนาดเล็กไว้คณะของเราเริ่มพิธีกรรมปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ   และนั่งสมาธิประกอบคำบรรยายของพระธรรมวิทยากร           แม้วัดแห่งนี้เหลือแต่ร่องรอยไว้ให้เราจินตนาการย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์สมัยเมื่อ ๒, ๕๐๐ กว่าปีแค่คุณค่าของสถานที่แห่งยังเป็นมนต์ขลังที่เราสนใจศึกษาหาคำตอบในประเด็นที่สงสัยต่อไปอีกไม่มีวันจบสิ้น เราค้บพบว่าเดิมวัดเวฬุวันมหาวิหารนั้น เป็นพระราชอุทยานหลวงเวฬุวัน    เป็นสวนป่าไผ่ของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมคธมีเมืองหลวงชื่อว่าราชคฤห์    พระเจ้าพิมพิสารทรงใช้พระราชอุทยานเวฬุวันแห่งนี้     เป็นสถานที่พักผ่อนพระอริยาบถส่วนพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์  สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังราชคฤห์อันเก่าแก่    เป็นสถานที่ประทับของพระเจ้าพิมพิสารเป็นสถานที่รื่นรมย์ของสวนไฝ่  มีความสงบเงียบ อยู่บนเส้นทางคมนาคมเดินทางไปมาอย่างสะดวกสบาย เหมาะแก่พระองค์และข้าราชบริพารได้เสด็จมาฟังธรรมะและสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า



บรรณานุกรม 
(๑) https://dict.longdo.com/search/เทวสถาน.
(๒) https://dict.longdo.com/search/Monastery
(๓) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ ฉบับมหาจุฬา ฯ เรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ข้อ ๕๖
(๔) พระยาสุรินทรฤาชัย (จันทร์ ตุงคสวัสดิ์). จดหมายเหตุ จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรของพระภิกษุฟาเหียน ครั้งที่ ๒  มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย,  หน้า๑๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ