Buddhaphumi's philosophy: The reason is a tool of philosophy.
บทนำเหตุผลคือเครื่องมือของนักปรัชญา
โดยธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง "ขันธ์ห้า" พระองค์ทรงแบ่งชีวิตมนุษย์ออกเป็น ๕ ส่วนได้แก่
๑."รูป" หมายความว่า ร่างกายมนุษย์เป็นที่อาศัยของจิตเมื่อชีวิตสิ้นสุดลง จิตก็จะปล่อยกายให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ ส่วนดวงวิญญาณก็จะไปเกิดในโลกอื่นต่อไป,
๒.เวทนา (feeling) หมายถึง ความรู้สึก และความคิดที่เกิดขึ้นภายหลังได้ประสบกับสิ่งอันน่ารื่นรมย์แล้ว ความสุขก็เกิดขึ้น เมื่อประสบสิ่งอันที่น่ารื่นรมย์ หากเราประสบกับสิ่งอันไม่รื่นรมย์ ก็เป็นความทุกข์ เป็นต้น เป็นอาการของจิตใจมนุษย์ที่สื่อสารความปรารถนาของตนไปยังผู้อื่น เพื่อแสดงสิทธิและหน้าที่ต่อกัน เป็นต้น
๓.สัญญา (perception) คือสภาวะของจิตใจ ที่เกิดขึ้นหลังจากสัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตใจของเราสามารถจดจำข้อเท็จจริงของเรื่องราวและ รวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของเรา หรือเก็บอารมณ์ของการกระทำของตนเองไว้ในจิตใจของตน เป็นต้น
๔.วิญญาณ คือการรับรู้ของจิตใจที่เกิดขึ้นเมื่อตา จมูก ลิ้น หู กายและใจสัมผัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือได้รับข้อเท็จจริงในเรื่องราวต่าง ๆ และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตน และความหมายอีกอย่างหนึ่งคือดวงจิต
๕.สังขารเป็นกิจกรรมของจิตใจ (ปรุงแต่ง) ที่เกิดขึ้น เมื่อมีหลักฐานทางอารมณ์สั่งสมไว้ในจิตใจแล้วจิตก็วิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ข้างต้น เราสามารถอธิบายความจริงในเรื่องชีวิตนี้ได้ "ชีวิตเกิดจากปัจจัยทางร่างกายกับจิตใจรวมกันและเป็นปัจจัยให้เกิดการรับรู้ (ผัสสะ) ข้อความเรื่องราวต่าง ๆ และ เก็บสั่งสมหลักฐานทางอารมณ์เหล่านี้ไว้ในใจของตนเอง จากนั้นก็นำหลักฐานทางอารมณ์มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามปุโรหิตที่ปรึกษาวรรณะกษัตริย์ในด้านกฎหมายจารีตปะเพณีถึงประวัติความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวรแต่ไม่มีปุโรหิตตอบคำถามของเจ้าชายสิทธัตถะได้ ส่วนพุทธศาสนาได้ปฏิเสขการดำรงอยู่ของเทพเจ้า กล่าวคือเมื่อพระสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้กฏธรรมชาติที่เรียกว่า "กฎแห่งกรรม" เป็นกฎแห่งการกระทำโดยเจตนาของมนุษย์ เมื่อทำกรรมใด ย่อมสั่งสมอารมณ์อยู่ในจิตใจและติดอยู่ในจิตเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์จะคิดหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น แต่ความคิดของแต่ละคนก็มีเหตุผลต่างกัน บางคนคิดมากจนติดสินใจไม่ได้ว่า ข้อไหนจริงหรือข้อไหนเท็จ เพราะทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเอง แต่บางคนยอมรับโดยไม่มีเหตุผล เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่างๆ เป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อเราตัดสินใจยอมรับข้อเท็จจริงของการกระทำนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ก็ไม่เหตุให้สงสัยอีกต่อไป เมื่อมนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ที่แท้จริงในด้านต่าง ๆ เช่นพระพุทธเจ้าทรงเป็นเจ้าของความรู้ด้านพระพุทธศาสนา โดยการสอนเทวดาและมนุษย์ พระองค์ทรงให้เหตุผลในการอธิบายกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ว่าวัฏจักรชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อพระพุทธองค์ทรงพัฒนาศักยภาพชีวิตจน` พระองค์ทรงมีญาณทิพย์เหนือมนุษย์ และพระองค์ทรงเห็นวิญญาณของมนุษย์ออกจากซากศพพร้อมกับอารมณ์แห่งกรรมที่ติดตัวไปยังโลกสวรรค์ หรือ นรก เป็นต้นนักปรัชญา คือเจ้าของความรู้ในปรัชญา สนใจศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ โลก จักรวาลและพระผู้เป็นเจ้า เช่น เพลโต้ อริสโตเติล เป็นต้น บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์จากประสบการณ์ของชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เรียกว่า "ทฤษฎีความรู้เชิงประจักษ์" กล่าวอีกนัยหนึ่งธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ มักเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมเสมอ และเก็บหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจของนักปรัชญา เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องราวก็ปรากฏขึ้นในจิตใจไม่ชัดเจนว่า เป็นมาอย่างไร มนุษย์สงสัยปัญหาเกี่ยวกับความจริงของโลก จักรวาล มนุษย์และธรรมชาติ เป็นต้น หากมีข้อสงสัย ก็จะค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพื่อวิเคราะห์เหตุผลของคำตอบ และใช้คำตอบอธิบายความจริงของปัญหานั้น
ตามหลักปรัชญาในพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากบุคคลเพียงคนเดียวอย่าเชื่อข้อความเห็นในเรื่องนั้นทันที่ว่า เป็นความจริง ควรตรวจสอบข้อความเห็นและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ไว้ในใจของเรา เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว จิตก็วิเคราะห์หลักฐาน เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าเป็นจริงหรือเท็จ หากพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ยังไม่เพียงพอเพราะ ขาดหลักฐานองค์ประกอบของความจริงยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ข้อความเห็นที่เราได้ยิน ยังคงน่าสงสัยต่อไป แต่นักปรัชญาชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ มีความจำเป็นต้องสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป ตัวอย่างเช่น มือปืนยิงผู้โดยสารเสียชีวิต ๕ ราย ที่สนามบินนานาชาติโดยคนร้ายไม่ได้พูดอะไรในขณะที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เมื่อมีคนเห็นมือปืนยิงผู้โดยสารและเรื่องราวเกิดขึ้นในใจของผู้เห็นเหตุการณ์มันไม่ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรผู้คนต่างสงสัยว่าคนร้ายมีแรงจูงใจอะไรที่จะยิงผู้โดยสารครั้งนี้ ตำรวจจึงรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ และพยานแวดล้อมมาวิเคราะห์ เพื่ออธิบายเหตุความจริงของคำตอบว่าทำไมมือปืนถึงยิงผู้โดยสารที่สนามบิน
การเขียนปรัชญาแดนพุทธภูมิ ผู้เขียนใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานบุคคล และพยานวัตถุ เพื่อให้ได้รับความรู้ที่ยืนยันความจริง หรือมีหลักฐานยืนยันความรู้ที่แท้จริงที่สมเหตุสมผล ไม่ต้องสงสัยในข้อเท็จจริงต่อไป ปัญหาความจริงของ "เหตุผล" ตามพจนานุกรมฉบับไทย-ไทยราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามคำจำกัดความว่า เหตุผลหมายถึง เหตุ, เหตุและผล เป็นต้น เมื่อศึกษาคำนิยามต่อไปอีกว่า เหตุคือ สิ่งหรือเรื่องทำให้เกิดผล, เค้ามูล, เรื่อง เป็นต้น ส่วนคำว่า ผล นิยามว่าตามพจนานุกรมของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ให้ความหมายความว่า การคิดหาเหตุผล เหตุผล เป็นต้น จากคำนิยามศัพท์ดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนตีความหมายได้ว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์คือผู้รับรู้สิ่งใด จิตของมนุษย์ก็สงสัยก็คิดเพื่อหาคำตอบและหลายสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส เราก็จะเชื่อว่าเป็นความรู้และความจริง แต่ธรรมชาติของทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตมนุษย์มักจะมีลักษณะเป็นภาพลวงตา ที่คงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ค่อย ๆ สลายไป จากขอบเขตแห่งความรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์ ดังนั้นภาพลวงตาที่หายไปเพราะมันเป็นสิ่งอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ตัวอย่าง เช่น คำดูถูกของคนที่ส่งเสียงออกมาและหายไปในอากาศและอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ เราจะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าผู้พูดมีอยู่จริง แต่มนุษย์รู้ได้ด้วยการผัสสะของจิตมนุษย์ ผ่านทางหู ตา จมูกและลิ้นของมนุษย์โดยธรรมชาติของจิตมนุษย์ชอบเก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้กับตัวเอง การยืนยันการมีอยู่ของการเหยียดหยามผู้อื่นจำเป็นต้องพิสูจน์ความมีอยู่จริงตามข้อมูลของพยานเอกสาร และพยานแวดล้อม มาวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลของคำตอบ
ปัญหากับความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ เดิมที่ลัทธิพราหมณ์สอนให้ผู้คนเชื่อว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะ เพื่อให้ผู้คนทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด นอกจากนี้ปุโรหิตให้เหตุผลว่าปุโรหิตในรุ่นก่อน ๆ ก็เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยว่าหากพระพรหมสร้างมนุษย์จริง ทำไมไม่สร้างมนุษย์ทุกคนมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ต้องแก่ชรา เจ็บป่วย และต้องตาย เช่นกันทุกคน ทำให้พระองค์ทรงสงสัยในความมีอยู่จริงของพระพรหม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในรัฐสักกะ แต่รัฐสภาศากยวงศ์ไม่เห็นชอบด้วย เพราะขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดใช้ในการบริหารปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ทรงสงสัยในเหตุผลของคำตอบออกบวช เพื่อแสวงหาความรู้เพื่อสูจน์ความมีอยู่จริงของพระพรหมและพระอิศวร การตรัสรู้ของศากยมุนีพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้นว่า ชีวิตมนุษย์นอกจากมีร่างกายแล้ว ยังมีจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบชีวิต ธรรมชาติจิตอาศัยอยู่ในร่างกายและใช้อินทรีย์ ๖ ส่วนของร่างกาย รับรู้เรื่องราวของอารมณ์ต่าง ๆ ผ่านเข้ามาสู่ชีวิตมนุษย์ตน เมื่อชีวิตรับรู้ข้อมูลของสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ผ่านเข้ามาในชีวิตจิตวิญญาณเกิดความสงสัยว่า สิ่งที่ผ่านเข้ามานั้นคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร จิตจะทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลของคำตอบจากสิ่งนั้นแล้วคำตอบนั้น ก็กลายเป็นความรู้ที่เป็นความจริงสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณผู้นั้น กลายเป็นสัญญาของผู้นั้นระลึกถึงความรู้นั้นได้ตลอดเวลาและสามารถนำความรู้ไปนึกคิดใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ เพื่อสร้างงานเป็นสินค้าของบริการได้
โดยธรรมชาติของมนุษย์ชอบมีอคติ ไม่มีความเที่ยงตรง เพราะจิตใจคนไม่มั่นคง และหวั่นไหวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ทั้งนี้เพราะจิตเกิดจากความกลัว ความรัก ความโกรธ และความเกลียดชัง เมื่อเกิดความคิดที่มีอคติ เป็นความรู้ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสมเหตุสมผลยังมีเหตุผลของคำตอบมีข้อพิรุธน่าสงสัยรับฟังได้น้อย ตัวอย่างเช่น ในสมัยก่อนพุทธกาลนั้นมนุษย์ยังมิได้มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะไม่รู้จักสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยมนุษย์วิเคราะห์ข้อมูลจากพยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคล และพยานที่เพิ่มมาอีกเรียกว่านิติวิทยาศาสตร์ใช้ในกระบวนการยุติเป็นต้น ส่วนในพระพุทธศาสนาน่าจะเพิ่มกระบวนการวิเคราะห์ที่เรียกว่า"พุทธวิทยาศาสตร์" (Buddhist Science) เพราะไม่ว่าวิชาการพระพุทธศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ต่างก็มีที่มาของความรู้จากมนุษย์ ทั้งสิ้นตามกฎธรรมชาติของมนุษย์นอก จากมีร่างกายแล้ว ยังมีจิตเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดชีวิตมนุษย์ขึ้นมาแล้ว ถูกมนุษย์ด้วยกันสมมติชื่อนั่น นามสกุลนั้นเพื่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ตามกฎธรรมชาติจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นผู้ใช้ร่างกายตนเองน้อมรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่จรเข้ามาสู่ชีวิตตนผ่านส่วนประกอบร่างกายเรียกว่าว่า "อินทรีย์ ๖" แล้ว เมื่อรับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วจิตมนุษย์ชอบปรุงแต่ง คิดสงสัยในสิ่งนั้นก็วิเคราะห์ข้อมูลหาเหตุผลของคำตอบจากสิ่งที่รับรู้นั้น เมื่อวิเคราะห์หาข้อมูลหลายครั้งจนเกิดความมั่นใจเพราะวิเคราะห์ข้อมูลติดต่อกันหลายครั้งแล้ว ได้เหตุผลของคำตอบอย่างเดียวกัน ก็กลายเป็นความรู้ที่เป็นความจริงปราศจากข้อสงสัยในเหตุผลของความจริงอีกต่อไป
ดังนั้นเหตุผลของการวิเคราะห์ของมนุษย์ จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญทางปรัชญาทำให้มนุษย์เข้าถึงความจริงของชีวิตที่มนุษย์สงสัยได้ การคิดหาเหตุผลของคำตอบนั้น จิตจะวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ หาเหตุผลของคำตอบจากพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ สิ่งที่ตนรับรู้ในระดับปฐมภูมิแล้ว แต่ยังมีเหตุผลน่าสงสัยอยู่และหาเหตุผลของคำตอบยังมิได้ และจากนั้นก็พิจารณาแล้วก็คิดหาเหตุผลจากสิ่งแวดล้อมเรียกว่า"พยานทุติยภูมิ" เพื่อได้ความรู้และความจริงของคำตอบปราศจากข้อสงสัยในเหตุผลของสิ่งนั้นอีกต่อไป แม้จิตมนุษย์นอกจากรับรู้ผ่านอินทรีย์ ๖ แล้วชอบคิดหาเหตุผลของคำตอบจนมั่นใจในเหตุผลของคำตอบนั้นว่า เป็นความรู้และความจริงที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินสมเหตุสมผลแล้วปราศจากข้อสงสัยแล้วถือว่าเป็นความรู้ในเรื่องนั้น นอกจากนี้ธรรมชาติของจิตของมนุษย์นอกจากคิดหาเหตุผลของคำตอบในสิ่งที่มาผัสสะว่าคืออะไร และมีลักษณะอย่างไรแล้ว จิตมนุษย์ยังมีลักษณะตามธรรมชาติ กล่าวคือชอบน้อมรับทุกสิ่งทุกอย่างมาเก็บ (จดจำ) ไว้ในจิตวิญญาณของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ตนรับรู้ เป็นสิ่งที่ตนสงสัยก็ดี ทุกสิ่งที่ตนคิด และสิ่งที่ตนแสดงเจตนาทำลงไปก็ดี จดจำทุกสิ่งที่ผัสสะเข้ามาไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นกรรมดีก็ดี สิ่งนั้นเป็นกรรมชั่วก็ดี เก็บไว้ให้ตนมีชีวิตที่สุขและที่ทุกข์ก็ตาม แต่สิ่งที่ตนคิดจากสิ่งที่ผัสสะอาจคิดผิดและคิดถูกก็ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริงหรือความเท็จก็ได้ ไม่ว่ามนุษย์จะคิดหาเหตุผลของคำตอบเป็นอย่างไรก็ตาม มนุษย์ทุกคนต้องการความจริงของคำตอบเท่านั้น แม้จะมิใช่คำตอบที่ตนต้องการ ก็ตามคงรู้สึกเบื่อหน่ายจะยื้อสิ่งต่างไว้เพราะมองไม่เป็นประโยชน์ที่จะได้จากสิ่งนั้น
คำว่า "ปรัชญา" ตามคำนิยามของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามว่าวิชาว่าด้วยหลักของความรู้และความจริง คำว่าวิชาแปลว่า ความรู้ ความรู้ที่ได้จากการเล่าเรียนและฝึกฝน เป็นต้น ส่วนคำว่าหลักนั้นได้นิยามว่า สาระที่มั่นคง คำว่า "ความรู้ " นิยามว่า สิ่งที่ได้จากการสั่งสมจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า และประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะเช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติเป็นต้น จากคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้นเราวิเคราะห์ได้ว่า ปรัชญาเป็นความรู้อย่างหนึ่งว่าด้วยสาระที่มั่นคงของสิ่งที่ได้จากการสั่งสมจากกิจกรรมต่างๆ ที่จรเข้ามาสู่ชีวิต และเป็นเรื่องจริงอย่างแน่แท้ไม่กลับเป็นอย่างอื่น ๆ แต่ความรู้ของปรัชญานั้น คิดจากสิ่งที่ตนสงสัย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด จิตย่อมสงสัย (คิด) ในสิ่งนั้นคำว่า "สงสัย" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ นั้น ได้นิยามว่า ไม่แน่ในข้อเท็จจริง ทราบไม่แน่ชัด และเอาแน่ไม่ได้เป็นต้น กล่าวคือ จิตมนุษย์ได้รับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นเพราะไม่แน่ใจในข้อเท็จจริงนั้นว่าสาระที่มั่นคงสิ่งนั้นเป็นอะไร ตัวอย่างเช่น เมื่อสิทธัตถะพระโพธิสัตว์นึกถึงความตายของมนุษย์ก็เกิดสงสัยว่ามนุษย์ตายแล้วสูญหายไปหรือไม่เพียงใดแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า มนุษย์ตายแล้วสูญสิ้นหรือมนุษย์ตายแล้วไม่สูญสิ้น ล้วนแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความจริงของชีวิต
ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาว่าด้วยบ่อเกิดความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น จึงจะน่าเชื่อถือและรับฟังได้มั่นคงน่าสงสัยอีกต่อไป ในการวิเคราะห์โรคภัยไข้เจ็บในการหาพยานหลักฐานทางการแพทย์ เมื่อหมอตรวจดูหลักฐานจากร่างกายแล้ว ก็ส่งไปตรวจเลือด หาเบาหวาน ไขมัน เป็นต้นในสาขาอื่น ๆ ก็เช่นกัน และหาเหตุผลจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ด้วยวิธีการต่างๆ ให้ได้มาซึ่งความรู้และความจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่แนวคิดทางปรัชญา มิใช่การคิดตามอารมณ์ไร้จุดหมายของการอยากรู้หรืออยากได้ แต่เป็นความรู้เกิดจากการคิดอย่างมีเหตุผลปราศจากข้อสงสัยในความจริงนั้น การกำหนดประเด็นของความคิดทางปรัชญาล้วน แต่เป็นเรื่องที่สำคัญในการแสวงหาความจริงทางปรัชญาในคำตอบนั้น ต้องเป็นกระบวนการคิดที่ประกอบด้วยเหตุและผลของคำตอบและอธิบายให้เหตุผลให้เข้าใจได้ แม้จะยกเหตุผลอื่นขึ้นมาโต้แย้งข้อพิสูจน์ในความจริงของชีวิตได้ อาจมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ที่จะหักล้างคำตอบที่มีอยู่แล้วตัวอย่างเช่นแนวคิดเรื่องชีวิตตายแล้วสูญหรือไม่ เพียงใด มีนักคิดเกิดขึ้นหลายคนแต่ละคนก็ให้เหตุผลของคำตอบที่แตกต่างกันออกไปเช่น สำนักลัทธิปูรณะกัสสปะให้เหตุผลของคำตอบในความรู้เรื่องชีวิตของมนุษย์ว่า ชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย และวิญญาณธรรมชาติของวิญญาณมนุษย์นิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานอะไร ร่างกายของมนุษย์ทำงาน วิญญาณจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลบุญและบาปที่ร่างกายทำไว้ และกล่าวว่าบุญไม่มี บาปไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่วทำเองก็ดีให้ผู้อื่นทำก็ดีย่อมไม่มีผลสิ่งใดก็ตามที่ทำลงไปแล้ว ดีก็ตาม ชั่วก็ตามเท่ากับว่า ไม่ได้ทำไม่มีบุญหรือบาปเกิดขึ้นตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นผู้เขียนวิเคราะห์ว่า กระบวนการคิดหาเหตุผลของคำตอบของความรู้เกี่ยวกับชีวิตของสำนักนี้เป็นความรู้ขาดความสมเหตุสมผล ยังข้อสงสัยในความจริงของกรรมที่ได้กระทำไป เพราะเป็นความรู้เกิดจากประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวแล้วนำมาคิดหา เหตุผลว่ากรรมที่ได้กระทำไปนั้นไม่มีผลของการกระทำว่าเป็นบุญ เป็นบาป ทำดีแค่ไหนก็ไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว กรรมที่ทำเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นทำก็ดีย่อมไม่มีผลของกรรมแต่อย่างใดจึงมิใช่ความรู้เกิดจากผลของการพัฒนาศักยภาพของชีวิต หรือการปฏิบัติด้วยการนำไปใช้ดังนั้นคำตอบเรื่องชีวิตของสำนักมีความเชื่อว่าตายแล้วสูญ เพราะกรรมไม่มีผลนั้น เนื่องจากเขาคิดด้วยเหตุผลว่า จิตวิญญาณมนุษย์มิได้ทำกรรมเองมีแต่ร่างกายของมนุษย์เท่านั้นเป็นผู้ทำกรรม ส่วนพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติด้วยการนำความรู้ตามวิธีการของมรรคมีองค์ ๘ นำไปพัฒนาศักยภาพของชีวิตจนบรรลุถึงความรู้ระดับอภิญญา ๖ มีตาทิพย์มองเห็นจิตวิญญาณสัตว์น้อยใหญ่ออกจากร่างกายไปจุติจิตในภพภูมิอื่นตามการกระทำของตนเอง ใครทำกรรมทุจริตเป็นสัญญาไว้ในจิตของตน ย่อมไปจุติจิตในทุคติ อบาย นรก เป็นต้น ส่วนใครทำกรรมสุจริตเป็นสัญญาไว้ในจิตย่อมไปจุติจิตในสุคติภูมิ เป็นต้น
ด้วยเหตุผลข้างต้น ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของเหตุผลเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ทั้งนี้ นักปรัชญาใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ได้ เมื่อรวบรวมหลักฐาน เป็นข้อมูลวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบได้ เป็นต้น ส่วนความรู้อีกประเภทหนึ่งคือ ความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์จะไม่สามารถรับรู้โดยตรงผ่านประสาทสัมผัสได้ เว้นแต่มนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพชีวิตเท่านั้น ก็บรรลุถึงความจริงในเรื่องนี้ได้และอธิบายถึงความมีอยู่ของความรู้ในเรื่องนี้ได้แต่มนุษย์ก็สามารถตัดสินได้ว่าความรู้นั้นจริงหรือเท็จโดยการวิเคราะห์ข้อมูลหลายครั้งตามหลักฐานในพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคลได้ จนได้เหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบและไม่มีข้อสงสัยในเหตุผลของคำตอบอีกต่อไป ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงได้ ส่วนกระบวนการวิเคราะห์ด้วยการนำข้อมูลจากพยานหลักฐานหลายชิ้นมา เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากพยานหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลของคำตอบโดยนักคิดนักวิจัย นักทดลองหลายคน จนเกิดความรู้และความจริงของคำตอบในสิ่งที่ตนสงสัยนั้นได้ และการคิดวิเคราะห์ต้องมีกระบวนการและผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผลแต่เมื่อใดก็ตามมนุษย์สร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลนั้น เพื่อหาเหตุผลของคำตอบนั้นวิชาการในเรื่องนั้น จำเป็นต้องแยกตัวออกไปสร้างสาขาวิชาสมัยใหม่ขึ้น ทำให้โลกเกิดวิทยาการต่างๆ มากมาย หลายวิชาด้วยกันแม้จะแยกตัวออกไปอย่างไรก็ตามวิชาการสมัยใหม่เหล่านั้น การคิดหาเหตุผลของคำตอบนั้นยังคงใช้มนุษย์คงใช้จิตตน เป็นผู้อ่านข้อมูลเสมอแม้จะเป็นข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ช่วยวิเคราะห์ก็ตาม เพราะผลของการวิเคราะห์ได้ค่าที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง เป็นเรื่องของมนุษย์จะนำผลการวิเคราะห์นั้น ไปนึกคิดไปใช้ประโยชน์ในทางใดต่อไป สุดแล้วกำลังสติปัญญาของมนุษย์แต่ละคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น