The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

บทนำ สกลนครแห่งธรรมะ ธรรมชาติและวัฒนธรรมตามหลักปรัชญาแดนพุทธถูมิ

คำสำคัญ #นครแห่งวัฒนธรรม #นครแห่งธรรมชาติ #นครแห่งวัฒนธรรม #สกลนคร
๑.บทนำ
๒.นครแห่งธรรมะ
๓.นครแห่งธรรมชาติ
๔.นครแห่งวัฒนธรรม

๑. บทนำเมืองสกล

   จังหวัดสกลนคร เป็นจังหวัดหนึ่งของราชอาณาจักรไทยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  เป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาช้านานและเคยเป็นเมืองร้างมาก่อน จังหวัดสกลนครจึงเป็นเมืองที่น่าสนใจไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ ของราชอาณาจักรไทย  ดินแดนของจังหวัดสกลนครเป็นดินแดนเคยมีประวัติศาสตร์ จึงมีหลักฐานในตำนาน และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นจดหมายเหตุเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม  ชื่อเมืองสกลนครได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของผู้คนที่อาศัยอยู่ในยุคนั้น โดยได้รับการขนานนามหลายชื่อด้วยกันได้ ในศตวรรษที่ ๑๖ เรียกว่า "เมืองหนองหานหลวง" ในสมัยที่อาณาจักรล้านช้างปกครองนั้น ได้รับการขนานนามใหม่ตามอำนาจอธิปไตยของเจ้าผู้ครองนครเรียกว่า " เมืองเชียงใหม่หนองหาน "  ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ทรงสถาปนาเมืองร้างริมทะเลสาบหนองหารนั้น ขึ้นเป็น "เมืองสกลทวาปี"  ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงได้พระราชทานนามเมืองสกลทวาปี มีให้ชื่อใหม่ว่า "เมืองสกลนคร" จวบจนถึงปัจจุบัน จังหวัดสกลนครจึงเป็นเมืองที่น่าศึกษาค้นหาปรัชญาชีวิต และความคิดของชาวเมืองซึ่งนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จนเกิดระเบียบแบบแผน ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญต่อชีวิตของผู้เขียนเป็นอย่างมากเพราะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพ่อแม่ของผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง และผู้เขียนเคยอาศัยอยู่ที่เมืองกลนคร เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก   ก่อนที่จะออกเดินทางตามความฝันของตัวเองในเส้นทางอันยาวไกล ควรสั่งสมพลังศรัทธา พลังวิริยะ พลังสติ  พลังสมาธิและพลังปัญญาไว้เป็นบุญกุศลที่สั่งสมไว้ในจิตใจของตนเองเพื่อมิให้หายใจทิ้ง  ชีวิตเราจะได้ไม่สูญเปล่า  ผู้เขียนจึงหยิบปากกาขึ้นมาเขียนบทความเรื่องเกี่ยวกับเมืองสกลนคร ให้เป็นบทเรื่องที่ถูกเล่า เวลาของชีวิตผ่านไปแล้วเป็นแค่ความสุขในอารมณ์มัวเมาสิ่งที่ตนพอใจมิให้ให้ตนสูญเปล่าโดยเปล่าประโยชน์ แต่ตนมีตำนานของเรื่องให้ตนเล่า ที่ใช่มีแต่มุมซึ่งตนเป็นผู้เคยโง่เขลาและซึ่มเศร้าเคล้ารอยอิ่มแล้ว อิ่มบุญเกิดขึ้นใจของผู้คน    

        ควาหมายของคำว่า   "สกลนคร"      เมื่อผู้เขียนค้นหาในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ฉบับออนไลน์ไม่มีคำนิยามไว้แต่อย่างใด   ผู้เขียนจำเป็นต้องค้นหาความหมายด้วยการแยกศัพท์ออกมาเป็น ๒ คำ  เพื่อใช้วิเคราะห์หาความหมาย  คำว่า "สกล"และ "นคร"นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำนิยามว่าดังนี้  สกล แปลว่า สากล  ส่วนคำว่า สากล แปลว่าทั่วไป ทั้งหมดทั้งสิ้นคำว่า นคร แปลว่า เมืองใหญ่   เป็นต้น ดังนั้นคำว่า สกลนครจึงวิเคราะห์ความหมายได้ "เมืองใหญ่แห่งโลก"หรือแปลให้ทันสมัยว่า "เมืองยิ่งใหญ่แห่งปฐพี" ก็ได้ เพราะมีตำนานแห่งเมืองใหญ่ของโลกเรื่องผาแดงนางไอ่ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนเอง เป็นเรื่องของผู้คนที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏและมาอุบัติที่เมืองสกลนครนั้นได้ยินได้ฟังกันมาพอสมควร 

๒. นครแห่งธรรมะ 

     เมืองสากลเป็นอาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมืองหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณแล้วเทือกเขาภูพานเป็นป่าดงดิบหนาทึบจึงเป็นสถานที่เหมาะสำหรับพระภิกษุที่เข้าบวชเรียนในพระพุทธศาสนา จะใช้เป็นที่ซ่อนเร้นภาวนา เพื่อมิให้อายตนะภายในของตนรับรู้เรื่องเกี่ยวกับกิเลสของโลก เพื่อเก็บเป็นสัญญาสั่งสมไว้ในจิตทำให้ชีวิตเมื่อตายไปแล้วความรู้ที่สั่งสมไว้ในจิตในลักษณะห่อหุ้มจิตไว้เหล่านั้นติดตามจิตไปภพชาติต่าง ๆ เป็นเส้นทางธุดงค์ของสมณะนักบวชสายธุดงค์เพื่อแสวงหาสัจธรรรมของชีวิตด้วยการชำระล้างกิเลสกิเลสที่สั่งสมในจิตมายาวนานวันเวลาไม่รู้กี่อสงไขยแล้ว การเดินทางมาปฏิบัติธรรมไม่เคยขาดสายมีประเพณีอันดีงามที่สำคัญมีการเดินทางมาอามิสบูชาในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนามีผู้คนไปนมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน   พระธาตุเชิงไม่เคยขาดและปฏิบัติต่อเนื่องกันมายาวนานไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว มีการปฏิบัติบูชา พัฒนายกระดับขึ้นมาด้วยการทำวัตรเย็นในบริเวณลานพระธาตุเชิงชุมวรวิหารอีกด้วยวันพระซึ่งเป็นสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย

๓. นครแห่งธรรมชาติ  

      สภาพทางภูมิศาสตร์นั้น เมืองสกลนครเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งบนฝั่งตะวันตกของริมฝั่งหนองหาน เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อประมาณ ๑๒๓ ตารางกิโลเมตรเป็นน้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาภูพาน  เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาลในหน้าฝนไหลรวมกันผ่านร่องน้ำพุง ลงสู่หนองหานจนกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ในเวลาต่อมาบางทฤษฎีบอกว่าเป็นแอ่งน้ำหนองหานที่เกิดการยุบตัวของของแผ่นดินขนาดใหญ่แผ่นดินถล่มทำให้เกิดตำนานเรื่องราวมากมายด้วยเหตุผลที่เกิดจากความคิดของมนุษย์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดหนองหานลักษณะของหนองหาน เมืองสกลนครเป็นแอ่งน้ำที่เป็นแอ่งกะทะ หรือแก้มลิงเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว หากฝนตกถูกต้องตามฤดูกาลแล้ว จะมีปริมาณน้ำมากน้ำฝนจะไหลหลากจากเทือกเขาภูพานมาจากที่สูงลงที่ต่ำสู่แอ่งกะทะขนาดใหญ่ที่เรียกว่า" หนองหานหลวง" ซึ่งเป็นห่วงน้ำขนาดใหญ่ไหลจากที่สูง  เมื่อน้ำลงสู่หนองท่วมเต็มปริมาณของมวลน้ำก็จะไหลออกจากหนองหารไปตามลำน้ำก่ำที่บ้านเชียงสือไหลออกไปสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม  เมืองสกลนครจึงเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์มากเพราะมีหนองหารเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่อีกหนองหนึ่งของประเทศไทยเกิดจากการทำเขื่อนน้ำก่ำเพื่อเก็บน้ำหนองหารไว้ใช้ฤดูแล้งในฤดูฝนเป็นแหล่งเพาะพันธ์ปลา เป็นแหล่งเพาะพันธ์ปลาหลายร้อยชนิดใช้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงผู้คนบนเทือกเขาภูพานเต็มไปด้วยต้นไม้นานนาพันธ์ บนเทือกเขาภูพานเป็นแหล่งน้ำซับธรรมชาติเป็นอย่างดีมีฝนตกต้องตามฤดูกาลมาก      

     ในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่เรียกว่าประเทศไทย หลักฐานในดินแดนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย  ที่มีสำเนียงภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองเรียกว่า "สำเนียงภาษาไทยอีสาน" บริเวณวัดพระธาตุเชิงวรวิหาร อำเภอเมืองสกลนคร เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของริมฝั่งหนองหานสถานที่แห่งนี้เป็นบึงน้ำเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลจากเทือกเขาภูเขาพาน  เมื่อน้ำในบึงล้นมากบางครั้งน้ำท่วมเข้าสู่ตัวเมืองต้องใช้เวลาหนึ่งสองวัน น้ำในบึงหนองหานไหลออกไปสู่แม่น้ำโขงโดยไหลไปตามน้ำก่ำเป็นระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตรใกล้กับวัดพระธาตุพนมวรวิหาร  อำเภอธาตุพนม  จังหวัดนครพนมเขตพื้นที่อำเภอเมืองสกลนครเคยเป็นดินแดนของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์อันกว้างใหญ่ไพศาลที่กษัตริย์มีอำนาจปกครองที่อาณาเขตบริเวณลุ่มแม่น้ำทางด้านทิศซ้าย เมื่อเราหันไปทางทิศเหนือของแผนที่โลกอำเภอเมืองสกลนครเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพ่อกับแม่ของผู้เขียน อำเภอเมืองสกลนคร มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เมืองหนองหานหลวง"  พ่อแม่ผู้เขียนเกิดอยู่กลางใจเมืองสกล ส่วนแม่ผู้เขียนเกิดที่ตำบลเชียงเครือ ติดกับฝั่งหนองหารในอดีตเมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่ผ่านมานั้น เมืองสกลนครในความทรงจำของฉันที่เก็บสั่งสมต่าง ๆ ไว้เป็นกระแสจิตจนกลายเป็นสัญญาของความทรงจำในชีวิตฉันแม้ทุกวันนี้ไม่เคยลืมเลือนภาพของชีวิตแต่ประการใดโลกนี้ไม่ใครสมบูรณ์แบบแต่อย่างใด ความไม่สมบูรณ์แบบอาจทำให้เราอยู่แต่ในกรอบ แต่จิตของฉันย่อมจินตนาการย่อมเพ้อฝันนอกกรอบไปไกล ที่อยู่อาศัยอยู่เสมอสิ่งที่จินตนาการของมนุษย์การอ่านหนังสือ เพื่อสั่งสมความรู้ไว้ในจิตตนต่อความคิดได้ยาวไกลมาก บ้านฉันเคยเป็นทุ่งนาปลูกข้าว ติดป่าช้าเก่า ในชีวิตเยาว์วัยของฉัน เมืองนี้สงบเงียบมาก ผู้คนอาศัยอยู่น้อยมีความเงียบสงบมากรถยนต์วิ่งไปมาในท้องถนนมีจำนวนน้อยมาก และในปี พ.ศ.จำไม่ได้แล้วฉันเห็นไฟไหม้ที่เมืองสกลนคร แม้ฉันไม่เกิดที่นี้ แต่ฉันมาอาศัยอยู่ในเมืองนี้ตั้งแต่อายุ ๑๐ ขวบฉันชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เพื่อให้จิตเคยอยู่ในโลกอันคับแคบคิดได้ไม่เคยประสาทสัมผัสมาอยู่ในโลกจินตนาการ และมีความสุขในความนึกคิดเสมอกาลเวลาสอนให้มีความเข้มแข็งทางจิต ฉันมีสุขในสิ่งที่เป็นโลกออนไลน์ทำให้ฉันได้เก็บความนึกมายาวนาน ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ ของชีวิตได้ถ่ายทอดลงเป็นตัวอักษร  ให้ผู้รุ่นหลังได้อ่านและเป็นแรงบันดาลให้แก่และกันอยู่เสมอ ฉันเดินไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่บนฝั่งหนองหารทุกวันที่เปิดเทอมตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๔จนถึงชั้นมัธยมปีที่ ๓  ไม่ว่าจะเป็นเวลาช่วงใดภาพชีวิตเหล่านั้นยังอยู่ในจิตฉันเสมอ. ....เป็นความสุขของชีวิตอย่างหนึ่งเพราะการเดินทางกลับบ้านด้วยเท้าอันเรียวเล็กของฉันเป็นการออกกำลังกายเพื่อลดความเครียดจากการฟัง การอ่านการเขียนและการพูดติดต่อหลายชั่วโมงในแต่ละวัน. 



ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ