The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรัชญาแดนพุทธภูมิ : บทวิเคราะห์ความสุขของเจ้าชายสิทธัตะในพระไตรปิฎก

Buddhaphumi's philosophy: Siddhartha's Happiness


๑. ความสุขในพระไตรปิฎก   

              มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีตัณหาในความปรารถนาที่จะมีความสุขทุกคน เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก (ฉบับมหาจุฬา ฯ)อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต หน้า ๑๐๕ ข้อ ๖๒ ได้กล่าวไว้ในอานัณยสูตรว่าด้วยความสุขจากการไม่เป็นหนี้      ครั้งนั้นแลอนาถบิณฑิกคหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้วนั่ง  ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับอนาถบิณฑิกคหบดีดังนี้ว่า คหบดี  สุข ๔ ประการนี้คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ๒ พึงได้รับตามกาลตามสมัย สุข ๔ ประการคือ 
           ๑.๑.อัตถิสุข (สุขเกิดจากการมีทรัพย์) 
           ๑.๒.โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์) 
           ๑.๓.อาณัยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้) 
           ๑.๔.อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ)

               ๑.๑ อัตถิสุข  ความสุขจากการมีทรัพย์ของเจ้าชายสิทธัตถะกล่าวคือ มนุษย์มีจิตเป็นตัวตนที่แท้จริง ธรรมชาติของจิตมนุษย์มีตัณหาแฝงอยู่ในจิตใจกันทุกคน  เมื่อจิตผัสสะสิ่งใดย่อมอยากได้สิ่งนั้นมาสนองความอยากของตนเอง    เมื่อเราศึกษาวิถีชีวิตของเจ้าสิทธัตถะก่อนทรงออกผนวช เราค้นพบว่าพระองค์ทรงมีทรัพย์สินเป็นปราสาท ๓ องค์พระเจ้าสุทโธทนะสร้างสระบัว ๓ สระ  ให้เป็นที่สำราญพระหฤทัยของพระองค์ มีเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงที่สั่งทำมาจากแคว้นกาสีจำนวนมากมายหลายชุดด้วยกันเพื่อเป็นฉลองพระองค์    ดังปรากฎหลักฐานจากข้อความในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฏกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) อังคุตตรนิกายเอก-ทุก-ติกนิบาต ๙.สุขุมาลสูตรว่าด้วยสุขุมาลชาติทรงตรัสไว้ว่า ข้อ ๓๙.ภิกษุทั้งหลายเราเป็นผู้สุขุมาลชาติ ....ได้ทราบว่าพระราชบิดารับสั่งให้ขุดสระโบกขรณี (สระบัว) ไว้เพื่อเราภายในที่อยู่. ได้ทราบว่าพระราชบิดานั้นรับสั่งให้ปลูกอุบลไว้ในสระหนึ่ง    ปลูกปทุมไว้ในสระหนึ่ง ปลูกปุณฑริก (บัวขาว) ไว้ในสระหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่เรา.  

          เราไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี  เสื้อก็ทำในแคว้นกาสีผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี  ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี  ทั้งคนรับใช้คอยกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดทั้งวันและคืน ด้วยความหวัง หนาว ร้อน ธุลี (ดิน)   หญ้าหรือน้ำค้างอย่าได้กระทบพระองค์ท่าน        เรานั้นมีปราสาท ๓ หลังคือปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว  ปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน ปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน เรานั้นได้รับบำเรอด้วยดนตรี ที่ไม่ใช่บุรุษบรรเลงตลอด ๔   เดือน   ฤดูฝนในปราสาทฤดูฝนไม่ลงข้างล่างปราสาทเลย ก็แลในที่อยู่ของคนเหล่าอื่นเขาให้ข้าวป่น (ข้าวหัก) มีน้ำผักดองเป็นกับแก่ทาส  คนงานและคนรับใช้ฉันใดในนิเวศน์ของพระราชบิดาของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เขาให้ข้าวสาลีสุกผสมเนื้อแก่ทาส คนงานและคนรับใช้ และ อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ สุขุมาลสูตร


       จากข้อความพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ข้างต้นได้เราวิเคราะห์ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นฆราวาสวิสัยอยู่นั้น    พระองค์ทรงมีความสุขจาการมีทรัพย์ กล่าวคือ 

            ๑. สระบัว ๓ สระ.           เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๖-๘ พรรษา. ทรงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า เด็กชอบเล่นอะไร อำมาตย์บอกว่าชอบเล่นน้ำ จึงโปรดให้ขุดสระบัวไว้ ๓   สระด้วยกันและสร้างปราสาท ๓ องค์ ถวายเจ้าชายสิทธัตถะ . กล่าวคือ สระที่ ๑ ปลูกดอกบัวอุบล, สระที่ ๒ ปลูกดอกบัวปทุม, สระที่ ๓ ปลูก ดอกบัวปุณฑริก 

            ๒. ปราสาท ๓ หลังคือ      เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงดำริว่าจะสร้างปราสาทไม้ให้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์แก่พระโพธิสัตว์กล่าวคือเหมันติกปราสาท เป็นปราสาทฤดูหนาวมี ๙ ชั้น ที่พระโพธิสัตว์ทรงประทับแล้ว     จิตทรงเกษมสำราญในฤดูหนาว,  คิมหันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูร้อนมี ๕ ชั้น, วสันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูฝนมี ๗ ชั้น   
   
            ๓. เครื่องทรง   เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น.  ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี. เสื้อก็ทำในแคว้นกาสี.  ผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี.  ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี เป็นต้น. 
       
           ๔. บริวารสมบัติ. เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีข้าราชบริพารดูแลพระองค์ตลอดทั้งวันและคืนไม่มีใครหรือสิ่งใดแม้กระทั้งความหนาว ความร้อนหรือแม้กระทั้งน้ำค้างบนยอดหญ้า    มารบกวนพระราชหทัยของเจ้าชายสิทธัตถะมิให้ทรงไม่พอพระทัยได้.  

               เจ้าชายสิทธัตถะนั้นถูกบำเรอด้วยเสียงดนตรีขับกล่อม นักดนตรีผู้บันเลงเพลง ผู้ขับร้องเพลง นางผู้ร่ายรำ ไม่มีบุรุษปนตลอดเวลา ๔ เดือนในฤดูฝน.  ทรงประทับบนปราสาทในฤดูฝนมิได้เสด็จลงมาข้างล่างของปราสาทฤดูฝนเลย พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระองค์ทรงเลี้ยงข้าทาสราชบริพาร กรรมกรชายด้วยด้วยข้าวสาลีและเนื้อสัตว์อย่างดีเป็นต้น         จากข้อความพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ข้างต้นได้เราวิเคราะห์ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นฆราวาสวิสัยอยู่นั้น พระองค์ทรงมีความสุขจาการมีทรัพย์ กล่าวคือ 

             ๑). สระบัว ๓ สระ.   เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๖-๘ พรรษา       ทรงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า เด็กชอบเล่นอะไร อำมาตย์บอกว่าชอบเล่นน้ำ จึงโปรดให้ขุดสระบัวไว้ ๓ สระด้วยกันและสร้างปราสาท ๓ องค์ ถวายเจ้าชายสิทธัตถะ   กล่าวคือ สระที่ ๑ ปลูกดอกบัวอุบล สระที่ ๒ ปลูกดอกบัวปทุม สระที่ ๓ ปลูก ดอกบัวปุณฑริก 

      ๒). ปราสาท ๓ หลังคือ          เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงดำริว่าจะสร้างปราสาท  ไม้ให้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์กล่าวคือ เหมันติกปราสาท เป็นปราสาทฤดูหนาวมี ๙ ชั้น ที่พระโพธิสัตว์ทรงประทับแล้ว จิตทรงเกษมสำราญในฤดูหนาวคิมหันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูร้อนมี ๕ ชั้น,  วสันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูฝนมี ๗ ชั้น   
   
       ๓). เครื่องทรงพระวรกาย   เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสี ผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี    ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี เป็นต้น. 
       
        ๔). บริวารสมบัติ        เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีข้าราชบริพารดูแลพระองค์ตลอดทั้งวันและคืน  ไม่มีใครหรือสิ่งใดแม้กระทั้งความหนาว ความร้อนหรือแม้กระทั้งน้ำค้างบนยอดหญ้า มารบกวนพระราชหทัยของเจ้าชายสิทธัตถะมิให้ทรงไม่พอพระทัยได้ จ้าชายสิทธัตถะนั้นถูกบำเรอด้วยเสียงดนตรีขับกล่อม นักดนตรีผู้บันเลงเพลง ผู้ขับร้องเพลง นางผู้ร่ายรำ ไม่มีบุรุษปนตลอดเวลา ๔ เดือนในฤดูฝน   ทรงประทับบนปราสาทในฤดูฝนมิได้เสด็จลงมาข้างล่างของปราสาทฤดูฝนเลย  พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระองค์ทรงเลี้ยงข้าทาสราชบริพาร กรรมกรชายด้วยด้วยข้าวสาลีและเนื้อสัตว์อย่างดีเป็นต้น.

            ๑.๒.โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์)  ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การมีเงินหรือเบี้ย      เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนวัตถุเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์   เพื่อใช้จ่ายทรัพย์ซื้อสิ่งของต่าง ๆ และบริการที่ตนพึงพอใจและปรารถนาสิ่งของต่าง  ๆ อยากมีไว้ในความครอบครองของตัวเองเช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้สินค้าต่างประเทศจากแคว้นกาสีดังปรากฎหลักฐานข้อความในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฏกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) อังคุตตรนิกายเอก-ทุก-ติกนิบาต ๙.สุขุมาลสูตรว่าด้วยสุขุมาลชาติทรงตรัสไว้ว่า......เราไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์ เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น  ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสีผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี ทั้งคนรับใช้คอยกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดทั้งวันและคืน     ด้วยความหวัง หนาว ร้อน ธุลี (ดิน) หญ้าหรือน้ำค้างอย่าได้กระทบพระองค์ท่าน 

           จากข้อความในพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ความว่า  ในทรงพระเยาว์และดำรงฆราวาสวิสัยนั้น   วิถีชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อซื้อสินค้าเครื่องนุ่งห่มต่าง ๆ นำเข้ามาจากต่างประเทศ ในที่นี้หมายแคว้นกาสี เช่น พระองค์ทรงไม่ได้ใช้เพียงไม้จันทร์นำเข้าจากเมืองกาสีเท่านั้น(เมืองกาสีหมายถึง แคว้นกาสี มีเมืองหลวงชื่อเมืองพาราณสี ในคำอธิบายนี้ขอใช้คำว่า เมืองพาราณสีเท่านั้น ) ทรงสั่งผ้าโพกศีรษะ เสื้อผ้า นุ่งห่มชั้นเลิศ มาใช้เป็นเครื่องห่มให้พระวรกายสวยงาม ล้วนแต่มีแหล่งผลิตในเมืองพาราณสี เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นกาสีทั้งสิ้น    จากพระสูตรในพระไตรปิฎกดังกล่าวว่า

            แสดงให้เราเห็นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความสุขในซื้อไม้จันทร์และเครื่องนุ่งห่มของพระองค์   ก็ทรงสั่งซื้อมาจากเมืองพาราณสี แห่งแคว้นกาสี แม่เครื่องนุ่งห่มเหล่านั้นจะมีราคาแพงที่สุดในยุคนั้นก็ตามก็ทรงนำใช้ในวิถีชีวิตประจำวันของพระองค์เพราะการสวมเสื้อผ้าราคาแพงเหล่านั้นเป็นความสุขที่พระองค์พอใจในการใช้จ่ายทรัพย์         ในสมัยก่อนพุทธกาลเมืองพาราณสีมีชื่อเสียงในด้านการผลิตผ้าไหมกาสีส่งออกไปขายยังแคว้นต่าง  ๆ โดยส่งผ่านแคว้นมัลละของพวกมัลละกษัตริย์มีเมืองหลวงชื่อกุสินารา          เมืองพาราณสีมีระยะทางห่างจากรุง กบิลพัสด์ุประมาณ ๓๒๗ กิโลเมตร  พระเจ้าสุทโธทนะทรงโปรดนำเข้าเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตรภูษาพัสตราภรณ์ชั้นเลิศแห่งยุคจาก พาราณสีเมืองหลวง แห่งแคว้นกาสี เพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มพระวรกายของเจ้าชายสิทธัตถะใช้ในวิถีชีวิตประจำวัน    ในวิถีชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงใช้เพียงไม้จันทร์แห่งเมืองกาสีเท่านั้น    (คำว่า" เมืองกาสี")    ในพระไตรปิฎก หมายถึง แคว้นกาสี มีเมืองพาราณสี เป็นเมืองหลวง ผ้าโพกศีรษะ        เสื้อผ้านุ่งห่มชั้นเลิศของพระองค์  ล้วนแต่มีแหล่งผลิตในเมืองพาราณสีทั้งสิ้นและเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่า มีชื่อเสียงในด้านการผลิตผ้าไหมกาสีตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ในปัจจุบันก็ยังมีการผลิตให้เห็นจนถึงทุกวันนี้      ในปัจจุบันเมืองพาราณีมีระยะทางห่างจากรุงกบิลพัศด์ุประมาณ ๓๒๗ กิโลเมตร พระเจ้าสุทโธทนะทรงปรารถนาให้พระราชโอรสดำรงตนอยู่ในฆราวาสวิสัยดังนั้นโปรดนำเข้าเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตรภูษาพัสตราภรณ์ชั้นเลิศแห่งยุคจากพาราณสีเมืองหลวง แห่งแคว้นกาสีเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มพระวรกายของเจ้าชายสิทธัตถะให้ทรงใช้ในวิถีชีวิตประจำวัน ทรงโปรดมีข้าราชบริพารดูแลพระองค์ตลอดทั้งวันและคืน ไม่มีใครหรือสิ่งใด    แม้กระทั้งความหนาว ความร้อนหรือแม้กระทั้งน้ำค้างบนยอดหญ้า          มากระทบรบกวนพระราชหทัยเจ้าชายสิทธัตถะทรงมิพอพระทัยได้ปราสาทของเจ้าชายสิทธัตถะ อยู่ทั้งหมด ๓ องค์      องค์ที่ ๑ เป็นที่ประทับในฤดูหนาว องค์ที่ ๒ เป็นที่ประทับในฤดูฝน องค์ที่ ๓ เป็นที่ประทับในฤดูร้อน        ทรงโปรดให้เจ้าชายสิทธัตถะนั้นถูกบำเรอด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมจากสตรีผู้เป็นนักดนตรี ผู้บันเลงเพลง ผู้ขับร้องเพลง นางผู้ร่ายรำ ไม่มีบุรุษปนตลอดเวลา ๔ เดือนในฤดูฝน    ทรงประทับอยู่บนปราสาทในฤดูฝนมิได้เสด็จลงมาข้างล่างของปราสาทฤดูฝนเลยพระราชบิดาพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเลี้ยงข้าทาสราชบริพาร   กรรมกรชายด้วยด้วยข้าวสาลีและเนื้อสัตว์อย่างดีเป็นต้นข้อความในพระไตรปิฎกได้บรรยายภาพไว้ในพระไตรปิฎกนี้          แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของพระองค์ที่สมบูรณ์พูนสุข เต็มไปด้วยความสุขสำราญ, เบิกบานพระหฤทัย,  มีการปรุงแต่งชีวิตเต็มไปด้วยด้วยอามิสสุขตลอดเวลายากที่ผู้ใด จะทรงเสมอเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงปรารถนาสิ่งใดก็ทรงได้ดั่งมโนรส   ที่พระองค์ทรงปรารถนาทุกประการด้วยพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาทรงมีความปรารถนาให้พระราชโอรสติดอามิสุขในโลกเพื่อจะได้ทรงทำหน้าที่ เป็นกษัตริย์ผู้ปกครองราชย์สมบัติของแคว้นสักชนบท ดูแลความทุกข์ยากของประชาชนต่อจากพระองค์  

           ๑.๓. อาณัยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้)   จากการศึกษาข้อมูลจากแหล่ง
ความรู้ในพระไตรปิฎก   ผู้เขียนพบว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาถึง ๑๘ สาขาวิชา    ในวัยพระชนม์มายุเพียง ๑๖ พรรษาและพระองค์ทรงประทับในพระราชวังกบิลพัสดุ์ปราสาท ๓ ฤดูเพียงเพื่อแสวงหาความสุขของชีวิตเท่านั้น  ไม่มีหลักฐานว่าพระองค์ทรงชีวิตใช้เป็นอย่างอื่นแต่อย่างใด   การใช้ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตมีความสุขไม่เป็นหนี้แต่อย่างใด        ในยุคต่อมาได้ปรากฎเป็นหลักฐานที่กรมโบราณคดีของประเทศเนปาล          ได้รักษาไว้จากร่องอารยธรรมโบราณเป็นกำแพงพระราชวังกบิลพัสดุ์ ขนาด ๑ เมตรกว่าประตูทางเข้าและออกจากพระราชวังกบิลพัสดุ์ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เมื่อจิตของฉันได้ผัสสะด้วยอินทรีย์ ๖ ของฉันที่กำแพงพระราชวังโบราณประตูในพระราชฐานชั้นของพระราชวังกบิลพัสดุ์   ทำให้จิตของฉันได้จินตนาการเป็นมโนภาพของภาพย้อนเหตุการณ์กลับไปสู่สมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะ        ใช้ชีวิตประทับอยู่กับพระราชวงศ์ศากายะมีปราสาท ๓ หลัง  ตั้งภายในกำแพงโบราณซึ่งเป็นสถานที่ประทับของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช เจ้าชายสิทธัตถะ (เรา)       ไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี  (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสี ผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี      ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสีทั้งคนรับใช้คอยกั้นเศวตฉัตร           ให้เราตลอดทั้งวันและคืนด้วยความหวัง หนาว ร้อน ธุลี (ดิน)หญ้าหรือน้ำค้างอย่าได้กระทบพระองค์ท่านเรานั้น  มีปราสาท ๓ หลังคือปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาวปราสาทหลังหนึ่ง    เป็นที่อยู่ในฤดูร้อนปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝนเรานั้นได้รับบำเรอด้วยดนตรีที่ไม่ใช่บุรุษบรรเลงตลอด  ๔    เดือนฤดูฝนในปราสาทฤดูฝนไม่ลงข้างล่างปราสาทเลยก็แลในที่อยู่ของคนเหล่าอื่นเขาให้ข้าวป่น (ข้าวหัก) มีน้ำผักดองเป็นกับแก่ทาส คนงานและคนรับใช้ฉันใด       ในนิเวศน์ของพระราชบิดาของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เขาให้ข้าวสาลีสุกผสมเนื้อแก่ทาส คนงานและคนรับใช้          อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ สุขุมาลสูตร   จากข้อความพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังดำรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่นั้น      และอาศัยอยู่ในพระราชวังกรุงกบิลพัสดุ์นั้นพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาได้ทรงโปรดให้ขุดสระบัวไว้ ๓ สระด้วยกัน             ในพระราชวังกบิลพัสดุ์โดยสระที่ ๑       ปลูกดอกบัวอุบล     สระที่ ๒ ปลูกดอกบัวปทุม สระที่ ๓ ปลูก ดอกบัวปุณฑริก  เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงพระเกษมสำราญ   มีความสุขในพระหฤทัยในปราสาทที่ประทับส่วนพระองค์.

๑.๔. อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ)     ในข้อความปรากฎในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฏกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ)      อังคุตตรนิกายเอก-ทุก-ติกนิบาต ๕.หัตถกะกุมารสูตรว่าด้วยหัตถกกุมารทูลถามถึงความสุขทรงตรัสไว้ว่าสมัยหนึ่ง.... หัตถกกุมารกรุงอาฬวี.......ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า..... พระองค์ทรงอยู่สุขสบายดีหรือ ..ทรงตรัสตอบว่า..เราเป็นสุขดีและ     เราเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เป็นอยู่เป็นสุขในโลก.....หัตถกกุมารกราบ ทูลว่า..... ราตรีในฤดูหนาว  ตั้งอยู่ในระหว่าง...เป็นสมัยที่หิมะตกพื้นดินแข็ง แตกระแหงที่ลาดใบไม้บาง ใบไม้ทั้งหลายอยู่ห่างกัน  ผ้ากาสายะ(ผ้าย้อมน้ำฝาด) เย็นและลมเวรัมภะ ที่เหยือกเย็นกำลังพัด พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่า เราเป็นสุขดี และเราเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เป็นอยู่เป็นสุขในโลก และพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่า....ย้อนถาม...เรือนยอดของคหบดี ...  ที่เขาโบก ภายในและภายนอก ลมพัดเข้าไม่ได้มีบานประตูมิดชิด  หน้าต่างปิดสนิท ....  ประชาบดี ๔ นางบำรุงด้วยวิธีที่น่าชอบใจพอใจ...พึงมีสุขหรือไม่....เขาตอบว่ามี...ความเร่าร้อนทางกายหรือใจเกิดขึ้นเพราะราคะ..พึงเกิดแก่บุตรคหบดี ..บ้างไหม หัตถกราชกุมารตอบว่า อย่างนั้น....พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า..ความเร่าร้อนเพราะราคะ.. ตถาคตได้ตัดเด็ดขาดแล้ว.....เราจึงอยู่เป็นสุข ...ความเร่าร้อนทางกายหรือทางใจที่เกิดขึ้นเพราะโทสะ...    โมหะ... เป็นเหตุให้ผู้ถูกแผดเผา อยู่เป็นทุกข์พึงเกิดแก่คหบดี...บ้างไหม...อย่างนั้นพระพุทธเจ้า ข้า ฯ.    

จากข้อความจากพุทธพจน์  ในพระไตรปิฎกดังกล่าวข้างต้นเราวิเคราะห์ได้ว่า แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงผัสสะกับอากาศหนาวในฤดูหนาว   ผ้ากาสายะที่เป็นจีวรห่มคลุมพระวรกายของพระองค์จะเย็นไป   ด้วยก็ตามแต่พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่อยู่เป็นสุขและเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เป็นสุขที่สุดในโลก เพราะพระองค์ตัดราคะที่แผดเผาไปจนหมดสิ้นได้เด็ดขาดแล้ว     ส่วนเศรษฐีผู้พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย    แม้ปราสาทเรือนยอดที่เขาโบกปูนไว้ภายในและภายนอกในฤดูหนาวลมพัดเข้าไม่ได้มีบานประตูมิดชิดหน้าต่างปิดสนิทก็ตาม....ภายในปราสาทของคหบดีมีนางประชาบดี ๔ คนคอยรับใช้บำรุง     ด้วยวิธีการที่น่าชื่นชอบใจให้ตนพอใจในสิ่งกระทำก็ ตาม...พึงมีสุขก็ตามแต่เมื่อจิตของคหบดี   ยังไม่สามารถตัดราคะจิตให้หายขาดได้  ผู้นั้นยังมีความทุกข์อยู่เช่นเดิม.

๔. ที่สุดของความสุขของมนุษย์      เมื่อมนุษย์เสพสุขในความมัวเมา ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และธัมมารมย์อันรื่นรมย์แล้ว     เป็นประจำทุกค่ำคืน มิเคยขาด จิตวิญญาณผู้เสพสุขในสิ่งเดิม ๆ ในที่สุดย่อมเกิดนิพพิทา เป็นอาการของจิต เกิดความเบื่อหน่ายในความมัวเมาของรูป รส กลิ่น เสียง โผฐฐัพพะ และธัมมารมย์นั้น   ความสุขจึงเป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตเรียกว่า เจตสิก และ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิต กล่าวคือเมื่อจิตมนุษย์กระทบกับวัตถุแห่งกิเลสต่าง ๆ ผ่านอินทรีย์ ๖   เมื่อจิตกระทบแล้ว    เกิดความคิดด้วยเหตุผลเป็นองค์ความเกี่ยวรู้กับกิเลสวัตถุนั้น  เมื่อพิจารณาแล้วเกิดรู้สึกซึ่งเป็นอาการจิตที่ตัวเองพอใจในที่รู้นั้น จิตตัวเองย่อมเกิดความสุขจากการผัสสะสิ่งนั้นแต่ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์นั้น      วัตถุแห่งกิเลสที่มากระทบจิตทุกวินาทีมีหลายอย่างหรือหลายเรื่องราวด้วยกัน  มิใช่แต่เรื่องราวของความสุขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น   แต่ยังมีเรื่องราวที่ทำให้เกิดความทุกข์เพราะไม่พอใจมาสอดแทรกให้  เราหันเหความสนใจจากความสุขที่ตนมีอยู่ตลอดเวลา      เมื่อเราหันเหความสนใจไปสู่วัตถุกิเลสตัวใหม่ ละทิ้งวัตถุกิเลสเดิม   (ถ้าเป็นมนุษย์)  ทำให้จิตพวกเขาเกิดความทุกข์เพราะไม่มีวัตถุกิเลสนั้น   มาสนองอารมณ์ (ตัณหา) ในความอยากของตัวเองอีกต่อไปหรือคิดว่าถูกลดความสำคัญลงไปกลายเป็นอัตตาสำคัญผิดคิดว่าตัวเองด้อยค่ากลายเป็นความทุกข์ก็มี หรือหันเหใจวัตถุแห่งกิเลสใหม่     คิดว่าวัตถุแห่งความสุข แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นความทุกข์ก็ 

         ดังนั้น เมื่อจิตมนุษย์เกิดความอยากมีเกิดขึ้น เมื่อได้ดั่งจิตของตนอยากแล้ว ตั้งอยู่ด้วยความสนใจชั่วขณะหนึ่ง และสิ้นสุดลงไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบใหม่    ความสนใจแสวงหาวัตถุแห่งกิเลสมาสนองความอยากของตนหรือมีไว้ลักษณะชมเชยเป็นเจ้าของผู้ครองทุกเช้าค่ำ   หรือมีไว้อวดคนอื่นเพื่อให้รับการยกย่องว่าเป็นคนเก่งมากบารมี  เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้ติดในโลกธรรมแปด เป็นต้นเมื่อจิตไม่มีรูปร่าง ความสุขจึงเป็นอาการของจิตย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไปด้วยเช่นเดียวกันแสดงอาการออกมาผ่านร่างกายของตัวเอง  ถ้าผู้นั้นแสดงอาการของจิตในใบหน้าลักษณะดำคล่ำเครียดจนหน้าส่งเสียงดังเหมือนสัตว์เดรัจฉาน แสดงอาการโทสะจริตเยี่ยงสัตว์เพราะสัตว์ส่วนใหญ่ไม่มีสติสัมปชัญญะ  จิตความสุขของมนุษย์ต้องอิงอาศัยวัตถุที่เรียกว่าวัตถุแห่งกิเลส หรือ เสียง กลิ่น  การสัมผัสสิ่งต่าง ๆ   เมื่อจิตสัมผัสเกิดสิ่งใดเกิดความทะยานอยากเป็นเจ้าของ    เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการมนุษย์ย่อมจมปลักกับอารมณ์อยากอย่างนั้นเรียกว่าอารมณ์นี้ว่าความทุกข์เพราะไม่ได้วัตถุแห่งกิเลสมาสนองความอยากของตนเอง     แต่ในบางครั้งมนุษย์ได้วัตถุแห่งกิเลสมาสนองความอยากของตัวเองและสนุกเพลิดเพลินในสิ่งนั้นชัวขณะหนึ่ง  แต่เมื่อมนุษย์เจอวัตถุแห่งกิเลสใหม่ที่มนุษย์คิดว่าดีกว่าเดิม  สนองตัณหาหรือความอยากดีกว่าเดิมจิตมนุษย์ย่อมไม่สนใจใยดีสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ความสุขที่เคยยึดติดเริ่มเป็นอนิจจังคือความสุข ยินดี    พอใจในสิ่งที่มีอยู่เดิมกับวัตถุแห่งกิเลสเดิมเริ่มดับลงไป   จิตมนุษย์มีความสุขอยู่กับสิ่งใหม่ที่ตนเองให้ความสนใจมนุษย์    จึงตั้งใจจะแสวงหาสิ่งใหม่มาสนองความอยากแก่ตนเอง      เมื่อไม่ได้ย่อมเกิดความทุกข์ หรือ เมื่อได้ครอบครองเป็นที่พอใจ   ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายและหาสิ่งใหม่นั้น    มาครอบครองตามต้องการของตนเองเรื่อยไปไม่มีวันสิ้น สถาวะของความรักพอใจในสิ่งต่าง  ๆ    ย่อมตกในอำนาจของกฎไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน   เช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะทรงมัวเมาในชีวิต ทรงอยู่กับเครื่องดีด สี ตีเป่า และเหล่าสตรี เป็นเวลาหลายปี          ในปราสาท ๓ ฤดูความสุขที่เกิดจากอารมณ์ภายนอกมากระทบผ่านอายตนะภายใน    กับรูปของเหล่าสตรีสาวสวยที่มาร่ายรำลีลาต่าง ๆ แสดงเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า ให้เกิดความสุขทางหู ทุกค่ำคืนและมีสุรา น้ำเมา อาหารอันเลิศรส มาปรุงแต่งจิตให้มีความสุขยาวนานนั้น   สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในอำนาจของกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้นเกิดขึ้นด้วยความพอใจตั้งอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งและนำมาซึ่งเบื่อหน่าย   เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้รสชาติทางลิ้น ได้เสียดสีกายอย่างจำเจซ้ำซาก   ย่อมนำมาซึ่งความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตจาการเห็น การได้ยิน ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้อีกผ่านอินทรีย์ทั้งหก อาการของจิตที่เกิดขึ้น    ตั้งอยู่ และดับไปแบบนี้เรียกว่า กฎไตรลักษณ์ คืออาการของจิตที่เกิด เพราะพอใจในสิ่งใด  ย่อมเสพสิ่งนั้นเป็นประจำกลายเป็นความจำเจซ้ำซาก ย่อมจิตเบื่อหน่ายไม่อยากเสพอีกซึ่งเป็นธรรมดาของจิตของมนุษย์ทุกคน จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกสู่อุทยานกบิลพัสดุ์ทำให้พระองค์ได้เห็นสัจธรรม   

บรรณานุกรม 
๑.http://www.84000.org/tripitaka/pitaka_item/m_read.php?B=20&A=5205
๒.http://www.84000.org/tripitaka/pitaka_item/m_read.php?B=20&A=5498

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ