Buddhaphumi's philosophy: Siddhartha's Happiness
๑. ความสุขในพระไตรปิฎก
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีตัณหาในความปรารถนาที่จะมีความสุขทุกคน เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก (ฉบับมหาจุฬา ฯ)อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต หน้า ๑๐๕ ข้อ ๖๒ ได้กล่าวไว้ในอานัณยสูตรว่าด้วยความสุขจากการไม่เป็นหนี้ ครั้งนั้นแลอนาถบิณฑิกคหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับอนาถบิณฑิกคหบดีดังนี้ว่า คหบดี สุข ๔ ประการนี้คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ๒ พึงได้รับตามกาลตามสมัย สุข ๔ ประการคือ
๑.๑.อัตถิสุข (สุขเกิดจากการมีทรัพย์)
๑.๒.โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์)
๑.๓.อาณัยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้)
๑.๔.อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ)
๑.๑.อัตถิสุข (สุขเกิดจากการมีทรัพย์)
๑.๒.โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์)
๑.๓.อาณัยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้)
๑.๔.อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ)
๑.๑ อัตถิสุข ความสุขจากการมีทรัพย์ของเจ้าชายสิทธัตถะกล่าวคือ มนุษย์มีจิตเป็นตัวตนที่แท้จริง ธรรมชาติของจิตมนุษย์มีตัณหาแฝงอยู่ในจิตใจกันทุกคน เมื่อจิตผัสสะสิ่งใดย่อมอยากได้สิ่งนั้นมาสนองความอยากของตนเอง เมื่อเราศึกษาวิถีชีวิตของเจ้าสิทธัตถะก่อนทรงออกผนวช เราค้นพบว่าพระองค์ทรงมีทรัพย์สินเป็นปราสาท ๓ องค์พระเจ้าสุทโธทนะสร้างสระบัว ๓ สระ ให้เป็นที่สำราญพระหฤทัยของพระองค์ มีเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงที่สั่งทำมาจากแคว้นกาสีจำนวนมากมายหลายชุดด้วยกันเพื่อเป็นฉลองพระองค์ ดังปรากฎหลักฐานจากข้อความในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฏกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) อังคุตตรนิกายเอก-ทุก-ติกนิบาต ๙.สุขุมาลสูตรว่าด้วยสุขุมาลชาติทรงตรัสไว้ว่า ข้อ ๓๙.ภิกษุทั้งหลายเราเป็นผู้สุขุมาลชาติ ....ได้ทราบว่าพระราชบิดารับสั่งให้ขุดสระโบกขรณี (สระบัว) ไว้เพื่อเราภายในที่อยู่. ได้ทราบว่าพระราชบิดานั้นรับสั่งให้ปลูกอุบลไว้ในสระหนึ่ง ปลูกปทุมไว้ในสระหนึ่ง ปลูกปุณฑริก (บัวขาว) ไว้ในสระหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่เรา.
เราไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสีผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี ทั้งคนรับใช้คอยกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดทั้งวันและคืน ด้วยความหวัง หนาว ร้อน ธุลี (ดิน) หญ้าหรือน้ำค้างอย่าได้กระทบพระองค์ท่าน เรานั้นมีปราสาท ๓ หลังคือปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว ปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน ปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน เรานั้นได้รับบำเรอด้วยดนตรี ที่ไม่ใช่บุรุษบรรเลงตลอด ๔ เดือน ฤดูฝนในปราสาทฤดูฝนไม่ลงข้างล่างปราสาทเลย ก็แลในที่อยู่ของคนเหล่าอื่นเขาให้ข้าวป่น (ข้าวหัก) มีน้ำผักดองเป็นกับแก่ทาส คนงานและคนรับใช้ฉันใดในนิเวศน์ของพระราชบิดาของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เขาให้ข้าวสาลีสุกผสมเนื้อแก่ทาส คนงานและคนรับใช้ และ อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ สุขุมาลสูตร
๑. สระบัว ๓ สระ. เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๖-๘ พรรษา. ทรงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า เด็กชอบเล่นอะไร อำมาตย์บอกว่าชอบเล่นน้ำ จึงโปรดให้ขุดสระบัวไว้ ๓ สระด้วยกันและสร้างปราสาท ๓ องค์ ถวายเจ้าชายสิทธัตถะ . กล่าวคือ สระที่ ๑ ปลูกดอกบัวอุบล, สระที่ ๒ ปลูกดอกบัวปทุม, สระที่ ๓ ปลูก ดอกบัวปุณฑริก
๒. ปราสาท ๓ หลังคือ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงดำริว่าจะสร้างปราสาทไม้ให้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์แก่พระโพธิสัตว์กล่าวคือเหมันติกปราสาท เป็นปราสาทฤดูหนาวมี ๙ ชั้น ที่พระโพธิสัตว์ทรงประทับแล้ว จิตทรงเกษมสำราญในฤดูหนาว, คิมหันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูร้อนมี ๕ ชั้น, วสันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูฝนมี ๗ ชั้น
๓. เครื่องทรง เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น. ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี. เสื้อก็ทำในแคว้นกาสี. ผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี. ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี เป็นต้น.
๔. บริวารสมบัติ. เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีข้าราชบริพารดูแลพระองค์ตลอดทั้งวันและคืนไม่มีใครหรือสิ่งใดแม้กระทั้งความหนาว ความร้อนหรือแม้กระทั้งน้ำค้างบนยอดหญ้า มารบกวนพระราชหทัยของเจ้าชายสิทธัตถะมิให้ทรงไม่พอพระทัยได้.
เจ้าชายสิทธัตถะนั้นถูกบำเรอด้วยเสียงดนตรีขับกล่อม นักดนตรีผู้บันเลงเพลง ผู้ขับร้องเพลง นางผู้ร่ายรำ ไม่มีบุรุษปนตลอดเวลา ๔ เดือนในฤดูฝน. ทรงประทับบนปราสาทในฤดูฝนมิได้เสด็จลงมาข้างล่างของปราสาทฤดูฝนเลย พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระองค์ทรงเลี้ยงข้าทาสราชบริพาร กรรมกรชายด้วยด้วยข้าวสาลีและเนื้อสัตว์อย่างดีเป็นต้น จากข้อความพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ข้างต้นได้เราวิเคราะห์ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นฆราวาสวิสัยอยู่นั้น พระองค์ทรงมีความสุขจาการมีทรัพย์ กล่าวคือ
๑). สระบัว ๓ สระ. เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๖-๘ พรรษา ทรงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า เด็กชอบเล่นอะไร อำมาตย์บอกว่าชอบเล่นน้ำ จึงโปรดให้ขุดสระบัวไว้ ๓ สระด้วยกันและสร้างปราสาท ๓ องค์ ถวายเจ้าชายสิทธัตถะ กล่าวคือ สระที่ ๑ ปลูกดอกบัวอุบล สระที่ ๒ ปลูกดอกบัวปทุม สระที่ ๓ ปลูก ดอกบัวปุณฑริก
๒). ปราสาท ๓ หลังคือ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงดำริว่าจะสร้างปราสาท ไม้ให้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์กล่าวคือ เหมันติกปราสาท เป็นปราสาทฤดูหนาวมี ๙ ชั้น ที่พระโพธิสัตว์ทรงประทับแล้ว จิตทรงเกษมสำราญในฤดูหนาวคิมหันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูร้อนมี ๕ ชั้น, วสันติกปราสาทหมายถึงปราสาทฤดูฝนมี ๗ ชั้น
๓). เครื่องทรงพระวรกาย เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสี ผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี เป็นต้น.
๔). บริวารสมบัติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีข้าราชบริพารดูแลพระองค์ตลอดทั้งวันและคืน ไม่มีใครหรือสิ่งใดแม้กระทั้งความหนาว ความร้อนหรือแม้กระทั้งน้ำค้างบนยอดหญ้า มารบกวนพระราชหทัยของเจ้าชายสิทธัตถะมิให้ทรงไม่พอพระทัยได้ เจ้าชายสิทธัตถะนั้นถูกบำเรอด้วยเสียงดนตรีขับกล่อม นักดนตรีผู้บันเลงเพลง ผู้ขับร้องเพลง นางผู้ร่ายรำ ไม่มีบุรุษปนตลอดเวลา ๔ เดือนในฤดูฝน ทรงประทับบนปราสาทในฤดูฝนมิได้เสด็จลงมาข้างล่างของปราสาทฤดูฝนเลย พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระองค์ทรงเลี้ยงข้าทาสราชบริพาร กรรมกรชายด้วยด้วยข้าวสาลีและเนื้อสัตว์อย่างดีเป็นต้น.
๑.๒.โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์) ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การมีเงินหรือเบี้ย เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนวัตถุเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ เพื่อใช้จ่ายทรัพย์ซื้อสิ่งของต่าง ๆ และบริการที่ตนพึงพอใจและปรารถนาสิ่งของต่าง ๆ อยากมีไว้ในความครอบครองของตัวเองเช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้สินค้าต่างประเทศจากแคว้นกาสีดังปรากฎหลักฐานข้อความในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฏกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) อังคุตตรนิกายเอก-ทุก-ติกนิบาต ๙.สุขุมาลสูตรว่าด้วยสุขุมาลชาติทรงตรัสไว้ว่า......เราไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์ เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสีผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสี ทั้งคนรับใช้คอยกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดทั้งวันและคืน ด้วยความหวัง หนาว ร้อน ธุลี (ดิน) หญ้าหรือน้ำค้างอย่าได้กระทบพระองค์ท่าน
จากข้อความในพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ความว่า ในทรงพระเยาว์และดำรงฆราวาสวิสัยนั้น วิถีชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อซื้อสินค้าเครื่องนุ่งห่มต่าง ๆ นำเข้ามาจากต่างประเทศ ในที่นี้หมายแคว้นกาสี เช่น พระองค์ทรงไม่ได้ใช้เพียงไม้จันทร์นำเข้าจากเมืองกาสีเท่านั้น(เมืองกาสีหมายถึง แคว้นกาสี มีเมืองหลวงชื่อเมืองพาราณสี ในคำอธิบายนี้ขอใช้คำว่า เมืองพาราณสีเท่านั้น ) ทรงสั่งผ้าโพกศีรษะ เสื้อผ้า นุ่งห่มชั้นเลิศ มาใช้เป็นเครื่องห่มให้พระวรกายสวยงาม ล้วนแต่มีแหล่งผลิตในเมืองพาราณสี เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นกาสีทั้งสิ้น จากพระสูตรในพระไตรปิฎกดังกล่าวว่า
๑.๓. อาณัยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้) จากการศึกษาข้อมูลจากแหล่ง
ความรู้ในพระไตรปิฎก ผู้เขียนพบว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาถึง ๑๘ สาขาวิชา ในวัยพระชนม์มายุเพียง ๑๖ พรรษาและพระองค์ทรงประทับในพระราชวังกบิลพัสดุ์ปราสาท ๓ ฤดูเพียงเพื่อแสวงหาความสุขของชีวิตเท่านั้น ไม่มีหลักฐานว่าพระองค์ทรงชีวิตใช้เป็นอย่างอื่นแต่อย่างใด การใช้ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตมีความสุขไม่เป็นหนี้แต่อย่างใด ในยุคต่อมาได้ปรากฎเป็นหลักฐานที่กรมโบราณคดีของประเทศเนปาล ได้รักษาไว้จากร่องอารยธรรมโบราณเป็นกำแพงพระราชวังกบิลพัสดุ์ ขนาด ๑ เมตรกว่าประตูทางเข้าและออกจากพระราชวังกบิลพัสดุ์ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เมื่อจิตของฉันได้ผัสสะด้วยอินทรีย์ ๖ ของฉันที่กำแพงพระราชวังโบราณประตูในพระราชฐานชั้นของพระราชวังกบิลพัสดุ์ ทำให้จิตของฉันได้จินตนาการเป็นมโนภาพของภาพย้อนเหตุการณ์กลับไปสู่สมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะ ใช้ชีวิตประทับอยู่กับพระราชวงศ์ศากายะมีปราสาท ๓ หลัง ตั้งภายในกำแพงโบราณซึ่งเป็นสถานที่ประทับของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช เจ้าชายสิทธัตถะ (เรา) ไม่ได้ใช้เฉพาะไม้จันทร์เมืองกาสี (พาราณสี) เท่านั้น ผ้าโผกของเราก็ทำในแคว้นกาสี เสื้อก็ทำในแคว้นกาสี ผ้านุ่งก็ทำในแคว้นกาสี ผ้าห่มก็ทำในแคว้นกาสีทั้งคนรับใช้คอยกั้นเศวตฉัตร ให้เราตลอดทั้งวันและคืนด้วยความหวัง หนาว ร้อน ธุลี (ดิน)หญ้าหรือน้ำค้างอย่าได้กระทบพระองค์ท่านเรานั้น มีปราสาท ๓ หลังคือปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาวปราสาทหลังหนึ่ง เป็นที่อยู่ในฤดูร้อนปราสาทหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝนเรานั้นได้รับบำเรอด้วยดนตรีที่ไม่ใช่บุรุษบรรเลงตลอด ๔ เดือนฤดูฝนในปราสาทฤดูฝนไม่ลงข้างล่างปราสาทเลยก็แลในที่อยู่ของคนเหล่าอื่นเขาให้ข้าวป่น (ข้าวหัก) มีน้ำผักดองเป็นกับแก่ทาส คนงานและคนรับใช้ฉันใด ในนิเวศน์ของพระราชบิดาของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เขาให้ข้าวสาลีสุกผสมเนื้อแก่ทาส คนงานและคนรับใช้ อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ สุขุมาลสูตร จากข้อความพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังดำรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่นั้น และอาศัยอยู่ในพระราชวังกรุงกบิลพัสดุ์นั้นพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาได้ทรงโปรดให้ขุดสระบัวไว้ ๓ สระด้วยกัน ในพระราชวังกบิลพัสดุ์โดยสระที่ ๑ ปลูกดอกบัวอุบล สระที่ ๒ ปลูกดอกบัวปทุม สระที่ ๓ ปลูก ดอกบัวปุณฑริก เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงพระเกษมสำราญ มีความสุขในพระหฤทัยในปราสาทที่ประทับส่วนพระองค์.
๔. ที่สุดของความสุขของมนุษย์ เมื่อมนุษย์เสพสุขในความมัวเมา ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และธัมมารมย์อันรื่นรมย์แล้ว เป็นประจำทุกค่ำคืน มิเคยขาด จิตวิญญาณผู้เสพสุขในสิ่งเดิม ๆ ในที่สุดย่อมเกิดนิพพิทา เป็นอาการของจิต เกิดความเบื่อหน่ายในความมัวเมาของรูป รส กลิ่น เสียง โผฐฐัพพะ และธัมมารมย์นั้น ความสุขจึงเป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตเรียกว่า เจตสิก และ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิต กล่าวคือเมื่อจิตมนุษย์กระทบกับวัตถุแห่งกิเลสต่าง ๆ ผ่านอินทรีย์ ๖ เมื่อจิตกระทบแล้ว เกิดความคิดด้วยเหตุผลเป็นองค์ความเกี่ยวรู้กับกิเลสวัตถุนั้น เมื่อพิจารณาแล้วเกิดรู้สึกซึ่งเป็นอาการจิตที่ตัวเองพอใจในที่รู้นั้น จิตตัวเองย่อมเกิดความสุขจากการผัสสะสิ่งนั้นแต่ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์นั้น วัตถุแห่งกิเลสที่มากระทบจิตทุกวินาทีมีหลายอย่างหรือหลายเรื่องราวด้วยกัน มิใช่แต่เรื่องราวของความสุขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวที่ทำให้เกิดความทุกข์เพราะไม่พอใจมาสอดแทรกให้ เราหันเหความสนใจจากความสุขที่ตนมีอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราหันเหความสนใจไปสู่วัตถุกิเลสตัวใหม่ ละทิ้งวัตถุกิเลสเดิม (ถ้าเป็นมนุษย์) ทำให้จิตพวกเขาเกิดความทุกข์เพราะไม่มีวัตถุกิเลสนั้น มาสนองอารมณ์ (ตัณหา) ในความอยากของตัวเองอีกต่อไปหรือคิดว่าถูกลดความสำคัญลงไปกลายเป็นอัตตาสำคัญผิดคิดว่าตัวเองด้อยค่ากลายเป็นความทุกข์ก็มี หรือหันเหใจวัตถุแห่งกิเลสใหม่ คิดว่าวัตถุแห่งความสุข แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นความทุกข์ก็
ดังนั้น เมื่อจิตมนุษย์เกิดความอยากมีเกิดขึ้น เมื่อได้ดั่งจิตของตนอยากแล้ว ตั้งอยู่ด้วยความสนใจชั่วขณะหนึ่ง และสิ้นสุดลงไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบใหม่ ความสนใจแสวงหาวัตถุแห่งกิเลสมาสนองความอยากของตนหรือมีไว้ลักษณะชมเชยเป็นเจ้าของผู้ครองทุกเช้าค่ำ หรือมีไว้อวดคนอื่นเพื่อให้รับการยกย่องว่าเป็นคนเก่งมากบารมี เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้ติดในโลกธรรมแปด เป็นต้นเมื่อจิตไม่มีรูปร่าง ความสุขจึงเป็นอาการของจิตย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไปด้วยเช่นเดียวกันแสดงอาการออกมาผ่านร่างกายของตัวเอง ถ้าผู้นั้นแสดงอาการของจิตในใบหน้าลักษณะดำคล่ำเครียดจนหน้าส่งเสียงดังเหมือนสัตว์เดรัจฉาน แสดงอาการโทสะจริตเยี่ยงสัตว์เพราะสัตว์ส่วนใหญ่ไม่มีสติสัมปชัญญะ จิตความสุขของมนุษย์ต้องอิงอาศัยวัตถุที่เรียกว่าวัตถุแห่งกิเลส หรือ เสียง กลิ่น การสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เมื่อจิตสัมผัสเกิดสิ่งใดเกิดความทะยานอยากเป็นเจ้าของ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการมนุษย์ย่อมจมปลักกับอารมณ์อยากอย่างนั้นเรียกว่าอารมณ์นี้ว่าความทุกข์เพราะไม่ได้วัตถุแห่งกิเลสมาสนองความอยากของตนเอง แต่ในบางครั้งมนุษย์ได้วัตถุแห่งกิเลสมาสนองความอยากของตัวเองและสนุกเพลิดเพลินในสิ่งนั้นชัวขณะหนึ่ง แต่เมื่อมนุษย์เจอวัตถุแห่งกิเลสใหม่ที่มนุษย์คิดว่าดีกว่าเดิม สนองตัณหาหรือความอยากดีกว่าเดิมจิตมนุษย์ย่อมไม่สนใจใยดีสิ่งที่มีอยู่แล้ว ความสุขที่เคยยึดติดเริ่มเป็นอนิจจังคือความสุข ยินดี พอใจในสิ่งที่มีอยู่เดิมกับวัตถุแห่งกิเลสเดิมเริ่มดับลงไป จิตมนุษย์มีความสุขอยู่กับสิ่งใหม่ที่ตนเองให้ความสนใจมนุษย์ จึงตั้งใจจะแสวงหาสิ่งใหม่มาสนองความอยากแก่ตนเอง เมื่อไม่ได้ย่อมเกิดความทุกข์ หรือ เมื่อได้ครอบครองเป็นที่พอใจ ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายและหาสิ่งใหม่นั้น มาครอบครองตามต้องการของตนเองเรื่อยไปไม่มีวันสิ้น สถาวะของความรักพอใจในสิ่งต่าง ๆ ย่อมตกในอำนาจของกฎไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะทรงมัวเมาในชีวิต ทรงอยู่กับเครื่องดีด สี ตีเป่า และเหล่าสตรี เป็นเวลาหลายปี ในปราสาท ๓ ฤดูความสุขที่เกิดจากอารมณ์ภายนอกมากระทบผ่านอายตนะภายใน กับรูปของเหล่าสตรีสาวสวยที่มาร่ายรำลีลาต่าง ๆ แสดงเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า ให้เกิดความสุขทางหู ทุกค่ำคืนและมีสุรา น้ำเมา อาหารอันเลิศรส มาปรุงแต่งจิตให้มีความสุขยาวนานนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในอำนาจของกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้นเกิดขึ้นด้วยความพอใจตั้งอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งและนำมาซึ่งเบื่อหน่าย เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้รสชาติทางลิ้น ได้เสียดสีกายอย่างจำเจซ้ำซาก ย่อมนำมาซึ่งความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตจาการเห็น การได้ยิน ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้อีกผ่านอินทรีย์ทั้งหก อาการของจิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปแบบนี้เรียกว่า กฎไตรลักษณ์ คืออาการของจิตที่เกิด เพราะพอใจในสิ่งใด ย่อมเสพสิ่งนั้นเป็นประจำกลายเป็นความจำเจซ้ำซาก ย่อมจิตเบื่อหน่ายไม่อยากเสพอีกซึ่งเป็นธรรมดาของจิตของมนุษย์ทุกคน จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกสู่อุทยานกบิลพัสดุ์ทำให้พระองค์ได้เห็นสัจธรรม
๑.http://www.84000.org/tripitaka/pitaka_item/m_read.php?B=20&A=5205
๒.http://www.84000.org/tripitaka/pitaka_item/m_read.php?B=20&A=5498
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น