Intruduction to Buddhaphumi Philosophy : An Analysis of the Key Elements of Buddhism
๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธศาสนา

โดยทั่วไปแล้ว พระพุทธศาสนาถือเป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดและมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้คนทั่วโลก แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาที่ไม่เชื่อในเทพเจ้า ซึ่งปฏิเสขการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่เมื่อพระพุทธศาสนาแพร่หลายไปสู่โลกตะวันตก นักปรัชญาและนักตรรกะในโลกตะวันตกได้ผสมผสานความรู้เกี่ยวกับความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ไปบูรณาการกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีต้นกำเนิดในดินแดนของสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเมื่อกว่า ๒,๕๐๐ ปีก่อน
สาเหตุที่พระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นนั้น เป็นเพราะเจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชวงศ์ศากยะ พระองค์ทรงเห็นปัญหาของประชาชนจำนวนมากในอาณาจักรสักกะที่สูญเสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา จนกลายเป็นคนไร้วรรณะที่เรียกว่า "จัณฑาล" ซึ่งหมายถึง นักโทษที่กระทำความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนา และกฎหมายจารีตประเพณีที่แบ่งแยกวรรณะ เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะ หรือการปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น เมื่อคนในสังคมเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนเหล่านี้ พวกเขายังไม่เชื่อทันทีก็สงสัยไว้ก่อน จนกว่าพวกเขาจะสืบหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอ พวกเขาก็จะนำหลักฐานนั้นเป็นข้อมูลวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น เป็นต้น เมื่อมีหลักฐานยืนยันว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ ผู้นั้นจะถูกลงโทษด้วยการขับออกจากสังคมตลอดชีวิตและไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมตามกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ยากของจัณฑาล สิทธิมนุษยชนของพวกเขาถูกละเมิดอย่างรุนแรง และไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมตามกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะที่พวกเขาเกิดมาได้ พวกเขาต้องเร่ร่อนไปตามท้องถนนตลอดชีวิต แม้เมื่อพวกเขาแก่เฒ่า เจ็บป่วยและเสียชีวิตอยู่บนท้องถนน เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังทรงเมตตาและกรุณาต่อคนจัณฑาล พระองค์ทรงคิดหาวิธีที่จะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน จากการถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคม
๒.ความเป็นมาของพระพุทธศาสนา
โดยทั่วไป เมื่อพราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักปรัชญา นักตรรกะ ในสมัยอินเดียโบราณ นักปรัชญาได้ยินเรื่องราวของมนุษย์ โลก และการมีอยู่ของพระพรหมที่สืบทอดกันมาตั้งอตีดจนถึงปัจจุบัน จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายและเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมไว้ในจิตใจ นักปรัชญาก็ใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ จากหลักฐานทางอารมณ์นั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้น เป็นต้น แต่นักปรัชญาและนักตรรกะแสดงความเห็นตามปฏิภาณของตนตามหลักเหตุผล และการคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้นว่า "อัตตาและโลกเที่ยง" เป็นต้น
เมื่อนักปรัชญามักจะใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นบางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างผิดบ้างครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ และบางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น เมื่อการใช้เหตุผลของนักปรัชญาอธิบายความจริงของคำตอบที่ไม่แน่นอนว่าในเรื่องนั้นมีความเป็นอย่างไรแล้ว วิญญูชนย่อมไม่เชื่อการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบนั้น
แต่เมื่อนักปรัชญามีอายตนะภายในร่างกาย มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตของนักปรัชญาส่วนใหญ่จึงมืดมน ย่อมขาดความสามารถในการใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างสมเหตุสมผล เกิดความสงสัยในสิ่งได้ยินมาแต่นักปรัชญาชอบแสวหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป จึงสนใจศึกษาปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ โครงสร้างความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ เป็นต้น
๓. ในด้านพุทธศาสนานั้น
พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงสนใจแต่ศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความจริงของมนุษย์เท่านั้น ข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปรัชญาและพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่มาจากพยานบุคคล กล่าวกันว่าแม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงเรียนจบหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ วิชาแล้ว แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาล ซึ่งทำผิดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง ด้วยยการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลต่างวรรณะ พวกจัณฑาลจึงถูกสังคมลงโทษด้วยการไล่ออกจากบ้านตลอดชีวิต และต้องอยู่อย่างคนไร้บ้าน (Homeless) แม้ว่าจะแก่ เจ็บป่วยและตายอยู่บนถนน เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล พระองค์ก็ทรงเริ่มสงสัยในความเชื่อเรื่องเทพเจ้า จึงทรงชอบแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงค้นคว้าหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากพยาน ซึ่งเป็นนักบวชที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะแต่ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบเกี่ยวกับประวัติของพระพรหม และพระอิศวรได้ เจ้าชายสิทธัตถะผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อค้นหาความจริงของชีวิตว่า พระพรหมและพระอิศวรทรงสร้างมนุษย์และวรรณะให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาตามคำสอนของพราหมณ์อารยันหรือไม่ แล้วเราจะทราบความจริงของเรื่องนี้ได้อย่างไร ?
ส่วนปรัชญาตะวันตกถือกำเนิดขึ้นภายหลังสมัยพุทธกาล เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตจากอาณาจักรโมริยะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก นักปรัชญาตะวันตกได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้าบูรณาการ (integration)เข้ากับคำสอนของศาสนาคริสต์ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของศาสนาของตน การฟื้นฟูศาสนาคริสต์ทำให้ชาวตะวันตกมีความหวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักปรัชญาจะสามารถใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความเชื่อของตนเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ แต่เหตุผลไม่สามารถช่วยให้ชาวตะวันตกเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ ทำให้ชาวตะวันตกเกิดความสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า เพราะความเชื่อดังกล่าวไม่สามารถช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงของชีวิตตามที่นักบวชสอนได้
ความจริงของชีวิตมนุษย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือความรู้ในระดับประสาทสัมผัส เช่น ความจริงว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาและต้องตายกันทุกคน เมื่อตายไปแล้ว ร่างกายจะถูกเผาจนเหลือเพียงกระดูกและเถ้ากระดูก เป็นความรู้ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในของร่างกาย เป็นต้น ส่วนความรู้ขั้นปรมัตถ์นั้นไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในร่างกาย เว้นแต่จะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งทำให้เกิดปัญญาอันประเสริฐกว่ามนุษย์ทั่วไป เช่น พระพุทธเจ้าทรงเห็นดวงวิญญาณของมนุษย์ และสัตว์ออกจากร่างไปเกิดในภพอื่นต่อไป แต่โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกาย กล่าวคือไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นไกล ๆ ได้ หรือพลังงานของสสารที่อยู่เหนือขอบเขตอายตนะภายในของมนุษย์ เช่น ไฟฟ้า จิตวิญญาณ คลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ นอกจากนี้มนุษย์มักมีอคติต่อกันและมักช่วยเหลือกันในทางที่ขัดต่อศีลธรรมและกฎหมายดังนั้น เมื่อความรู้เรื่องมนุษย์ โลก และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า มีทั้งความรู้ในระดับสัมผัส และความรู้ที่เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ มนุษย์เราสามารถแบ่งความรู้ได้เป็น ๒ อย่างคือความรู้ระดับโลกียะและโลกุตตร เป็นต้น
ในการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของโครงสร้างความรู้ของพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญา เนื่องจากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ เราจึงสามารถศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญาพุทธภูมิได้ เมื่อผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เมื่อใดจะต้องสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นส่วนพยานบุคคลที่น่าเชื่อเพื่อยืนยันความจริงนั้น จะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้น ที่จะได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย หากพยานบุคคลไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของตนเอง คำพยานนั้นก็ไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับเป็นหลักฐานได้
เหตุผลจึงมีน้ำหนักน้อยและไม่สามารถนำมาใช้พิสูจน์ความจริงในเรื่องได้ ตัวอย่าง เช่น นักวิชาการสมัยใหม่ได้เขียนบทความเชิงวิเคราะห์ถึงต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานสำคัญเช่น การสร้างวัดพุทธมากกว่า ๓๐,๐๐๐ แห่งและเจดีย์จำนวนมากที่บรรจุพระบรมสาริกธาตุ เป็นหลักฐานให้วิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพุทธศาสนา แต่ข้อเท็จจริงของพุทธสถานในราชอาณาจักรไทยส่วนใหญ่มีหลักฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยหลังพระพุทธกาล และไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณได้ยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบว่า ราชอาณาจักรไทยเคยเป็นสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนาและปรินิพพานของพระพุทธเจ้า อีกทั้งไม่มีบันทึกว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐสุวรรณภูมิ
ส่วนนักปรัชญาที่เชื่อว่าพระพุทธศาสนา ควรมีต้นกำเนิดในราชอาณาจักรไทยโดยอ้างวัดพุทธเป็นหลักฐาน ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเหตุผลในเรื่องนี้ จึงมีน้ำหนักน้อยไม่เพียงพอที่จะยืนยันข้อเท็จจริงว่าเป็นความจริง เพราะขาดเอกสารหลักฐานและหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้
ปัญหาคือเราสามารถศึกษาพระพุทธศาสนาตามแนวคิดปรัชญาพุทธภูมิได้หรือไม่ เมื่อนักปรัชญาสนใจที่จะศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ จิตเจตจำนงเสรีและเทพเจ้า เป็นต้น เมื่อพระพุทธศาสนามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นปัญหาอภิปรัชญา ที่สามารถศึกษาได้ตามวิธีพิจารณาปรัชญา เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง ดังนั้นในการศึกษาความจริงของเมืองประวัติศาสตร์สารนารถว่าเป็นสถานที่กำเนิดของพระพุทธศาสนานั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใด ๆ อย่าตัดสินใจเชื่อเรื่องราวที่ฟังตาม ๆ กันมา ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เช่่น พยานเอกสารพระไตรปิฎก อรรถกถา บันทึกของนักบวชจีน พยานวัตถุได้แก่โบราณสถานทางพุทธศาสนา ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พยานบุคคลได้แก่นักโบราณคดีชาวอินเดียและอังกฤษที่ขุดค้น เป็นต้น เมือมีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบต่อไป
ปัญหาคือ"เราจะรู้ได้อย่างไรว่า พุทธศาสนามีโครงสร้างความรู้ทางศาสนาที่สมบูรณ์ " เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าเรื่องราวของพระพุทธศาสนานั้น ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณหลายเล่ม เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ผู้เขียนก็จะใช้หลักฐานเหล่านั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องโครงสร้างพระพุทธศาสนา โดยใช้เหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องนี้แต่ผลการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณนั้น ยังไม่แน่ชัดว่า มีองค์ความรู้ครบถ้วนตามหลักศาสนาหรือไม่
ผู้เขียนจึงกำหนดขอบเขตความรู้ของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยใช้นิยามของคำว่า "ศาสนา" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้นิยามคำว่า"ศาสนา" ว่าลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์ อันมีหลักคือแสดงการกำเนิดและความสิ้นสุดของโลกอันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบาปกับบุญอันเป็นฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีกระทำตามความเห็นหรือตามคำสั่งสอนในความเชื่อถือนั้น ๆ"
ตามคำจำกัดความของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนตีความคำว่า "ศาสนา"มีองค์ประกอบทั้งหมดตามหลักศาสนาดังนี้
๑.ศาสดา
๒.หลักธรรม
๓.สาวก
๔.มีพิธีกรรม
๕.ศาสนสถาน
เราพิจารณาถึงองค์ประกอบของศาสนาได้ดังนี้ ๑.ศาสดาคือมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของความเชื่อนั้นและความรู้เกี่ยวกับการเกิดขึ้นและสิ้นสุดของโลกและ ๒.หลักธรรมเกี่ยวกับบาปและบุญ เป็นต้น ๓.สาวก ๔. พิธีกรรม๔. ศาสนาพิธี ๕.ศาสนสถาน เป็นต้น (ยังมีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น