The structure of Buddhism according to Buddhaphumi's Philosophy
บทนำ องค์ประกอบของพระพุทธศาสนา
โดยทั่วไปแล้ว ปรัชญาแบ่งออกเป็นหลายแขนงเช่นอภิปรัชญา มีความสนใจในการศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงของมนุษย์ โลกและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น ญาณวิทยาสนใจปัญหาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้าในฐานะนักปรัชญาและความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ เป็นต้น ในส่วนพระพุทธศาสนานั้นสนใจศึกษาเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความจริงของมนุษย์เท่านั้น ในส่วนข้อเท็จจริงที่ทำให้เกิดปรัชญาและพระพุทธศาสนานั้นมาจากหลักฐานต่าง ๆ กล่าวไว้ว่า แม้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิตถึง ๑๘ สาขาวิชาก็ตาม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นจัณฑาลผู้กระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะ เขาจึงถูกสังคมลงโทษโดยถูกไล่ออกจากที่อยู่อาศัยไปตลอดชีวิต และต้องใช้ชีวิตอย่างคนเร่ร่อน(Homeless)ในวัยชรา ป่วยและตายอยู่ข้างถนน เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นปัญหาของจัณฑาลแล้ว พระองค์ทรงเกิดสงสัยในความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าพระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้อีกต่อไป จึงได้สอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องนี้ จากผู้เห็นเหตุการณ์เป็นปุโรหิตซึ่งเป็นปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะ แต่ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบได้เกี่ยวกับประวัติพระพรหมและพระอิศวรได้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อค้นพบความจริงของชีวิตว่าพระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันหรือไม่? แล้วเราจะรู้ความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างไร ?
ส่วนปรัชญาตะวันตกเกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธกาล เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระธรรมทูตจากอาณาจักรโมริยะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เมื่อนักปรัชญากล่าวถึงข้อเท็จจริงอะไร?จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นหากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงของคำตอบการฟังข้อเท็จจริงจากพยานเพียงคนเดียวก็ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากมนุษย์มีแนวโนมจะมีอคติต่อผู้อื่นและมีข้อจำกัดของอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในการรับรู้ประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง นักปรัชญาจึงไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ได้ยินว่าเป็นความจริงในเรื่องนั้น ตามหลักปรัชญามีแนวความคิดที่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยตัวมันเองทุกสิ่งมีเหตุและผล ตัวอย่างเช่นความจริงของชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือความรู้ในระดับประสาทสัมผัสจะเห็นได้ว่า มนุษย์เกิดแล้วต้องตาย เมื่อพวกเขาตาย ศพของพวกเขาจะถูกเผาเหลือเพียงกระดูกและขึ้เถ้าเท่านั้น สำหรับความรู้ระดับปรมัตถ์นั้นไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖เว้นแต่จะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั้นก็จะได้ญาณทิพย์ที่เหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง ดังเช่นพระพุทธเจ้าก็จะเห็นดวงวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ทั้งน้อย และใหญ่ทิ้งร่างไปเกิดใหม่ในภพอื่นต่อไป เป็นต้น แต่โดยธรรมชาติแล้ว จิตใจของมนุษย์ขึ้นอยู่อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายในการรับรู้สิ่งต่างๆ สภาวะต่างๆ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคม แต่จิตใจมนุษย์มีความสามารถทางปัญญาจำกัด กล่าวคือไม่สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในที่ห่างไกลได้ หรือพลังงานของสสารที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์ เช่น ไฟฟ้า จิตวิญญาณของมนุษย์คลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ นอกจากนี้มนุษย์มักมีอคติต่อกันพวกเขามักจะช่วยเหลือกันในลักษณะที่ขัดต่อศีลธรรมและกฎหมายดังนั้น ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ โลกและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเทพเจ้า มีบ่อเกิดความรู้ทั้งความรู้ในระดับประสาทสัมผัส และความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ มนุษย์จะเข้าใจการมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ผ่านการรับรู้ได้อย่างไร? เป็นปัญหาที่น่าสนใจมากในการศึกษาแล้วนักปรัชญาจะแก้ปัญหาอย่างไร?เมื่อมนุษย์ไม่สามารถใช้อวัยวะอินทรีย์ ๖ ของตนเองในการรับรู้การมีอยู่ของเทพเจ้าได้ เนื่องจากศักยภาพของมนุษย์มีจำกัดเมื่อความรู้ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นเราสามารถแบ่งได้เป็น ๒ อย่างคือความรู้ระดับโลกียะและโลกุตตรธรรมปรมัตถ์)
ในการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงขององค์ประกอบของพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญานั้นเพราะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปี และเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์เราก็สามารถศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญาพุทธภูมิได้ เมื่อผู้เขียนกล่าวถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเมื่อใด จะต้องสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ส่วนพยานบุคคลที่น่าเชื่อเพื่อยืนยันความจริงนั้นจะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย หากพยานบุคคลไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของตนเอง คำพยานนั้นก็ไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจรับเป็นหลักฐานได้ เหตุผลจึงมีน้ำหนักน้อยและไม่สามารถนำมาใช้พิสูจน์ความจริงในเรื่องได้ตัวอย่างเช่นนักวิชาการ ได้เขียนบทวิเคราะห์ถึงต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานสำคัญเช่นการสร้างวัดพุทธมากกว่า ๓๐,๐๐๐ แห่ง และเจดีย์จำนวนมากที่บรรจุพระบรมสาริกธาตุเป็นหลักฐานให้วิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา แต่ข้อเท็จจริงของพุทธสถานในราชอาณาจักรไทยส่วนใหญ่ มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยหลังพระพุทธกาลและไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯได้ยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบว่าราชอาณาจักรไทย เคยเป็นสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า อีกทั้งไม่มีบันทึกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐสุวรรณภูมิ ส่วนนักปรัชญาที่เชื่อว่าพระพุทธศาสนา ควรมีต้นกำเนิดในราชอาณาจักรไทยโดยอ้างวัดพุทธเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเหตุผลในเรื่องนี้ จึงมีน้ำหนักน้อย ไม่เพียงพอที่จะยืนยันข้อเท็จจริงว่าเป็นความจริงเพราะขาดเอกสารหลักฐานและหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้
ปัญหาคือเราจะศึกษาพุทธศาสนาตามแนวคิดปรัชญาพุทธภูมิได้หรือไม่ เมื่อนักปรัชญาสนใจที่จะศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ จิต เจตจำนงเสรีและเทพเจ้า เป็นต้น เมื่อพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับความจริงของมนุษย์ ก็ถือได้ว่าเป็นปัญหาอภิปรัชญาที่สามารถศึกษาได้ตามวิธีพิจารณาปรัชญา เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง ดังนั้นในการศึกษาความจริงของเมืองประวัติศาสตร์สารนารถว่า เป็นสถานที่กำเนิดของพระพุทธศาสนานั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใด ๆ อย่าตัดสินใจเชื่อเรื่องราวที่ฟังตาม ๆ กันมา ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในพระไตรปิฎก อรรถกถา บันทึกของนักบวชจีน พยานวัตถุได้แก่โบราณสถานทางพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พยานบุคคลได้แก่นักโบราณคดีชาวอินเดียและอังกฤษที่ขุดค้น เป็นต้น มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบ หรือหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบต่อไป
ปัญหาว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพุทธศาสนามีองค์ประกอบหลักศาสนาครบถ้วน? "เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าความจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้รับการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ หลายเล่ม เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่างๆเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในจิตใจผู้เขียนยังไม่แน่ชัดว่าข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น พระพุทธศาสนามีองค์ประกอบครบถ้วนตามหลักศาสนาหรือไม่? มีความจำเป็นต้องสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอต่อไป จึงกำหนดขอบเขตความรู้ของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกำหนดองค์ประกอบของคำว่า "ศาสนา"ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ ได้นิยามคำว่า"ศาสนา" ว่า"ศาสนาคือลัทธิความเชื่อของมนุษย์อันมีหลักคือการเกิดขึ้นและสิ้นสุดของโลกเป็นต้นในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่งแสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบาปกับบุญ อันเป็นฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่งลัทธิพิธีกรรมทำตามความเห็นหรือตามคำสอนในเรื่องของความเชื่อนั้น ๆ
ตามคำจำกัดความของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนตีความคำว่า "ศาสนา"มีองค์ประกอบทั้งหมดตามหลักศาสนาดังนี้
๑.ศาสดา
๒.หลักธรรม
๓.สาวก
๔.มีพิธีกรรม
๕.ศาสนสถาน
เราพิจารณาถึงองค์ประกอบของศาสนาได้ดังนี้ ๑.ศาสดาคือมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของความเชื่อนั้นและความรู้เกี่ยวกับการเกิดขึ้นและสิ้นสุดของโลกและ ๒.หลักธรรมเกี่ยวกับบาปและบุญ เป็นต้น ๓.สาวก ๔. พิธีกรรม๔. ศาสนาพิธี ๕.ศาสนสถาน เป็นต้น (ยังมีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น