The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566

บทนำการศึกษาเชิงวิเคราะห์พระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎก

 An Analytical Study of Buddhism in Tripitaka 

๑.บทนำ  ความเป็นมาและคำสอนของพระพุทธศาสนา   

                  โดยทั่วไปแล้ว  พระพุทธศาสนาถือเป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาที่ไม่เชื่อในเทพเจ้า แต่เมื่อคำสอนของพระพุทธศาสนาถูกเผยแผ่ไปยังโลกตะวันตก  นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ชาวตะวันตก    ได้บูรณาการความรู้ทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับสัจธรรมของมนุษย์ที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์     เข้ากับปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  ซึ่งเป็นความรู้ที่มีต้นกำเนิดในดินแดนของสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเมื่อกว่า ๒,๕๐๐  ปีที่แล้ว

                  ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนานั้น    สามารถสืบย้อนไปได้ถึงเจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชวงศ์ศากยะ      พระองค์ทรงมองเห็นปัญหาของประชาชนจำนวนมากในอาณาจักรสักกะ    ที่ถูกลงโทษฐานละเมิดหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะทาง  พวกเขาสูญเสียสิทธิ   เสรีภาพและหน้าที่ตามวรรณะของตน กลายเป็นคนไร้วรรณะที่รู้จักกันในชื่อ  "จัณฑาล"        ดังนั้น    จัณฑาลจึงหมายถึงนักโทษที่กระทำความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์   และกฎหมายจารีตประเพณีที่แบ่งระบบวรรณะ   เช่น การห้ามมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลต่างวรรณะ  หรือการปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น      เมื่อผู้คนในสังคมเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนเหล่านี้      พวกเขาจะไม่เชื่อทันทีและจะยังคงสงสัยจนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง  และรวบรวมหลักฐาน  เมื่อรวบรวมหลักฐานได้เพียงพอแล้ว       พวกเขาจะใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์     โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง         โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น            เมื่อหลักฐานยืนยันว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์     และกฎหมายจารีตประเพณีวรรณะ   ผู้นั้นจะถูกพระพรหมลงโทษโดยให้ผู้คนในสังคมขับพวกเขาออกจากสังคมตลอดชีวิต   และไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมตามกฎหมายจารีตประเพณีวรรณะ

                    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ยากของจัณฑาลสิทธิมนุษยชนของพวกเขาถูกละเมิดอย่างร้ายแรง  และไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมตามกฎหมายจารีตประเพณีวรรณะที่พวกเขาเกิดมาได้พวกเขาจึงถูกบังคับให้เร่ร่อนไปตามท้องถนนตลอดชีวิต     แม้เมื่อพวกเขาแก่ชรา เจ็บป่วย และเสียชีวิตบนท้องถนน     เจ้าชายสิทธัตถะจึงยังทรงแสดงความเมตตาและกรุณาต่อชาวจัณฑาล     พระองค์ทรงคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากที่เกิดจากการลงโทษของพระพรหม   ที่เรารู้ในชื่อง "พรหมทัณฑ์"   
     
๒.ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา        

                   โดยทั่วไปแล้ว  แม้ว่าศาสนาพราหมณ์จะเป็นที่พึ่งพิงของมนุษย์มาช้านาน  ในการบรรเทาความทุกข์ทรมานอันหยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์มายาวนาน อันเนื่องมาจากความกลัว     โดยพราหมณ์ในนิกายต่าง ๆ          ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาได้สอนชาวอนุทวีปในสมัยอินเดียโบราณ   พึ่งพาเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมบูชายัญของพราหมณ์อารยัน     เมื่อชาวอนุทวีปอินเดียพึ่งพาเทพเจ้าของพราหมณ์อารยัน        พราหมณ์นิกายต่าง ๆ   ก็มั่งคั่งขึ้นจากการบูชายัญเทพเจ้าเหล่านั้นด้วยการถวายของมีค่า  นำไปสู่ความโลภและความปรารถนาที่จะรักษาผลประโยชน์จากการบูชายัญของตนเองไว้ 

                เมื่อศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลต่อความคิดของสาธารณชนพราหมณ์   ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเป็นทำหน้าที่ปรึกษาของกษัตริย์    จึงได้เสนอให้บัญญัติคำสอนของพราหมณ์เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่แบ่งแยกวรรณะ     โดยอ้างถึงความมั่นคงของประเทศ  ระบบวรรณะที่ศาสนาพราหมณ์  และกฎหมายจารีตประเพณีกำหนดขึ้นนำไปสู่การเลือกปฏิบัติต่อผู้คนในสังคม     เนื่องจากเป็นระบบกฎหมายที่มีสภาพบังคับตามกฎหมาย ที่ประชาชนในอาณาจักรสักกะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย        หากฝ่าฝืนกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีก็จะถูกพระพรหมลงโทษ       ด้วยการให้คนในสังคมขับผู้นั้นออกจากสังคมตลอดชีวิต  พวกเขาจะสูญเสียสิทธิ  เสรีภาพและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะที่ตนเกิดมา    

              เมื่อนักปรัชญามักจะใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นบางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างถูกต้อง     บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างผิดบ้างครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้    และบางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น  เป็นต้น  เมื่อการใช้เหตุผลของนักปรัชญาอธิบายความจริงของคำตอบที่ไม่แน่นอนว่าในเรื่องนั้นมีความเป็นอย่างไรแล้ว        วิญญูชนย่อมไม่เชื่อการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบนั้น     

                 แต่เมื่อนักปรัชญามีอายตนะภายในร่างกาย มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น        ชีวิตของนักปรัชญาส่วนใหญ่จึงมืดมน   ย่อมขาดความสามารถในการใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างสมเหตุสมผล    เกิดความสงสัยในสิ่งได้ยินมาแต่นักปรัชญาชอบแสวหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป  จึงสนใจศึกษาปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์    โครงสร้างความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า   และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์  เป็นต้น          

๓. ความสำคัญของพระพุทธศาสนานั้น     

                เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาลถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงด้วยการกฎหมายจารีตประเพณีวรรณะ        ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลจนถึงสมัยปัจจุบัน    พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงสนใจแต่ศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความจริงของมนุษย์เท่านั้น            ข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปรัชญาและพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่มาจากพยานบุคคล    กล่าวกันว่าแม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงเรียนจบหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘  วิชาแล้ว      แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาล        ซึ่งทำผิดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง  ด้วยยการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลต่างวรรณะ    พวกจัณฑาลจึงถูกสังคมลงโทษด้วยการไล่ออกจากบ้านตลอดชีวิต  และต้องอยู่อย่างคนไร้บ้าน (Homeless)  แม้ว่าจะแก่     เจ็บป่วยและตายอยู่บนถนน    เป็นต้น  

               เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล   พระองค์ก็ทรงเริ่มสงสัยในความเชื่อเรื่องเทพเจ้า        จึงทรงชอบแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้        พระองค์จึงทรงค้นคว้าหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากพยาน        ซึ่งเป็นนักบวชที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะแต่ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบเกี่ยวกับประวัติของพระพรหม  และพระอิศวรได้            เจ้าชายสิทธัตถะผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อค้นหาความจริงของชีวิตว่า        พระพรหมและพระอิศวรทรงสร้างมนุษย์และวรรณะให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาตามคำสอนของพราหมณ์อารยันหรือไม่      แล้วเราจะทราบความจริงของเรื่องนี้ได้อย่างไร ?  

                     ส่วนปรัชญาตะวันตกถือกำเนิดขึ้นภายหลังสมัยพุทธกาล เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตจากอาณาจักรโมริยะ  ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก             นักปรัชญาตะวันตกได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้าบูรณาการ (integration)เข้ากับคำสอนของศาสนาคริสต์               โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของศาสนาของตน   การฟื้นฟูศาสนาคริสต์ทำให้ชาวตะวันตกมีความหวังมากขึ้น      อย่างไรก็ตาม  แม้ว่านักปรัชญาจะสามารถใช้เหตุผล   เพื่ออธิบายความเชื่อของตนเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าได้        แต่เหตุผลไม่สามารถช่วยให้ชาวตะวันตกเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าได้     ทำให้ชาวตะวันตกเกิดความสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า     เพราะความเชื่อดังกล่าวไม่สามารถช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงของชีวิตตามที่นักบวชสอนได้     
                  ความจริงของชีวิตมนุษย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแบ่งออกเป็น  ๒ ส่วนคือความรู้ในระดับประสาทสัมผัส  เช่น   ความจริงว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาและต้องตายกันทุกคน        เมื่อตายไปแล้ว ร่างกายจะถูกเผาจนเหลือเพียงกระดูกและเถ้ากระดูก      เป็นความรู้ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในของร่างกาย เป็นต้น     ส่วนความรู้ขั้นปรมัตถ์นั้นไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในร่างกาย            เว้นแต่จะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘  ซึ่งทำให้เกิดปัญญาอันประเสริฐกว่ามนุษย์ทั่วไป     เช่น พระพุทธเจ้าทรงเห็นดวงวิญญาณของมนุษย์   และสัตว์ออกจากร่างไปเกิดในภพอื่นต่อไป        แต่โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกาย      กล่าวคือไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นไกล  ๆ ได้    หรือพลังงานของสสารที่อยู่เหนือขอบเขตอายตนะภายในของมนุษย์  เช่น ไฟฟ้า จิตวิญญาณ คลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์      นอกจากนี้มนุษย์มักมีอคติต่อกันและมักช่วยเหลือกันในทางที่ขัดต่อศีลธรรมและกฎหมายดังนั้น เมื่อความรู้เรื่องมนุษย์  โลก และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ      และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า มีทั้งความรู้ในระดับสัมผัส และความรู้ที่เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์  มนุษย์เราสามารถแบ่งความรู้ได้เป็น ๒ อย่างคือความรู้ระดับโลกียะและโลกุตตร  เป็นต้น  

                 ในการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของโครงสร้างความรู้ของพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญา            เนื่องจากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว         เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์    เราจึงสามารถศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลักปรัชญาพุทธภูมิได้      เมื่อผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน      เมื่อใดจะต้องสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน    มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน   เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นส่วนพยานบุคคลที่น่าเชื่อเพื่อยืนยันความจริงนั้น     จะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้น  ที่จะได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย              หากพยานบุคคลไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของตนเอง  คำพยานนั้นก็ไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับเป็นหลักฐานได้    

           เหตุผลจึงมีน้ำหนักน้อยและไม่สามารถนำมาใช้พิสูจน์ความจริงในเรื่องได้    ตัวอย่าง  เช่น    นักวิชาการสมัยใหม่ได้เขียนบทความเชิงวิเคราะห์ถึงต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย    โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานสำคัญเช่น  การสร้างวัดพุทธมากกว่า ๓๐,๐๐๐ แห่งและเจดีย์จำนวนมากที่บรรจุพระบรมสาริกธาตุ    เป็นหลักฐานให้วิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพุทธศาสนา        แต่ข้อเท็จจริงของพุทธสถานในราชอาณาจักรไทยส่วนใหญ่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยหลังพระพุทธกาล   และไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณได้ยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบว่า       ราชอาณาจักรไทยเคยเป็นสถานที่ประสูติ     สถานที่ตรัสรู้              สถานที่แสดงปฐมเทศนาและปรินิพพานของพระพุทธเจ้า   อีกทั้งไม่มีบันทึกว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐสุวรรณภูมิ           

             ส่วนนักปรัชญาที่เชื่อว่าพระพุทธศาสนา      ควรมีต้นกำเนิดในราชอาณาจักรไทยโดยอ้างวัดพุทธเป็นหลักฐาน    ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้        เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเหตุผลในเรื่องนี้     จึงมีน้ำหนักน้อยไม่เพียงพอที่จะยืนยันข้อเท็จจริงว่าเป็นความจริง    เพราะขาดเอกสารหลักฐานและหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้         

           ปัญหาคือเราสามารถศึกษาพระพุทธศาสนาตามแนวคิดปรัชญาพุทธภูมิได้หรือไม่      เมื่อนักปรัชญาสนใจที่จะศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ จิตเจตจำนงเสรีและเทพเจ้า เป็นต้น         เมื่อพระพุทธศาสนามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของมนุษย์  ถือได้ว่าเป็นปัญหาอภิปรัชญา ที่สามารถศึกษาได้ตามวิธีพิจารณาปรัชญา  เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง  ดังนั้นในการศึกษาความจริงของเมืองประวัติศาสตร์สารนารถว่าเป็นสถานที่กำเนิดของพระพุทธศาสนานั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า  เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใด  ๆ     อย่าตัดสินใจเชื่อเรื่องราวที่ฟังตาม ๆ กันมา  ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน  เช่่น  พยานเอกสารพระไตรปิฎก อรรถกถา   บันทึกของนักบวชจีน พยานวัตถุได้แก่โบราณสถานทางพุทธศาสนา  ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  พยานบุคคลได้แก่นักโบราณคดีชาวอินเดียและอังกฤษที่ขุดค้น        เป็นต้น เมือมีพยานหลักฐานเพียงพอ  ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบต่อไป

                 ปัญหาคือ"เราจะรู้ได้อย่างไรว่า      พุทธศาสนามีโครงสร้างความรู้ทางศาสนาที่สมบูรณ์ "           เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา         จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าเรื่องราวของพระพุทธศาสนานั้น  ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณหลายเล่ม   เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ   เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ผู้เขียนก็จะใช้หลักฐานเหล่านั้น             เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ  เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องโครงสร้างพระพุทธศาสนา โดยใช้เหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องนี้แต่ผลการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณนั้น    ยังไม่แน่ชัดว่า มีองค์ความรู้ครบถ้วนตามหลักศาสนาหรือไม่ 

                    ผู้เขียนจึงกำหนดขอบเขตความรู้ของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยใช้นิยามของคำว่า "ศาสนา"      ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔  ได้นิยามคำว่า"ศาสนา" ว่าลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์     อันมีหลักคือแสดงการกำเนิดและความสิ้นสุดของโลกอันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบาปกับบุญอันเป็นฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง     พร้อมทั้งลัทธิพิธีกระทำตามความเห็นหรือตามคำสั่งสอนในความเชื่อถือนั้น ๆ"
  
        ตามคำจำกัดความของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนตีความคำว่า "ศาสนา"มีองค์ประกอบทั้งหมดตามหลักศาสนาดังนี้
                        ๑.ศาสดา  
                        ๒.หลักธรรม 
                        ๓.สาวก 
                        ๔.มีพิธีกรรม 
                        ๕.ศาสนสถาน  
      เราพิจารณาถึงองค์ประกอบของศาสนาได้ดังนี้ ๑.ศาสดาคือมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของความเชื่อนั้นและความรู้เกี่ยวกับการเกิดขึ้นและสิ้นสุดของโลกและ ๒.หลักธรรมเกี่ยวกับบาปและบุญ เป็นต้น ๓.สาวก ๔.  พิธีกรรม๔. ศาสนาพิธี  ๕.ศาสนสถาน เป็นต้น (ยังมีต่อ) 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ