The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2566

บทนำ จาริกแสวงบุญที่พม่าตามหลักปรัชญาแดนพุทธภูมิ

Introduction: Pilgrimage to Burma in Buddhaphumi's  Philosophy

๑.บทนำ 

                   ครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้เขียน  อาศัยอยู่ที่เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระพุทธศาสนา และพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนทุกคนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตมนุษย์ เรื่องนี้ ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นในใจของผู้คนทั่วโลกที่เรียกว่า "ยุคศิวิไลย์"  ชีวิตของมนุษย์สงบสุข     โดยยึดหลักศีลธรรมและกฎหมายเป็นข้อเท็จจริงที่ชาวพุทธทั่วโลกยอมรับ และยืนยันความจริงของเรื่องนี้ว่าเมืองประวัติศาสตร์สารนารถเป็นสถานที่ ที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก ซึ่งนำไปสู่การเกิดพระรัตนตรัยครบ ๓ ประการ ตั้งอยู่ในอำเภอพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย  

              ในปี ค.ศ. ๒๐๐๒ ผู้เขียนมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่คณะศิลปศาสตร์   มหาวิทยาลัยบันนารัสฮินดู สาธารณรัฐอินเดียและในปีพ.ศ.๒๕๕๔  ผู้เขียนสำเร็จปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เป็นผู้เขียนอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยเป็นเวลาหลายปี ทำให้ผู้เขียนมีโอกาสแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมืองทุกปี เพื่อพัฒนาศักยภาพในชีวิตตัวเองให้มีสมาธิ บริสุทธิ์ปราศจากอคติ ความขุ่นมัวอ่อนโยนมีความมั่นคงและไม่หวั่นไหวต่อปัญหาหนักของชีวิตด้วยวิธีปฏิบัติบูชาเพื่อชำระล้างกิเลสให้หมดสิ้นไป  ในชีวิตของผู้เขียนมีความฝันอีกครั้งหนึ่งที่จะเดินทางไปสวดมนต์ไหว้พระที่เมืองร่างกุ้ง สหภาพพม่าโดยเฉพาะบริเวณลานรอบพระมหาเจดีย์ชเวดากองและตั้งอยู่ใกล้กับประเทศไทยของเรามากที่สุด 

            ผู้เขียนได้อ่านเนื้อหาแบ่งปันบนอินเตอร์เน็ตในเว็บไซต์หลายแห่งว่า เจดีย์ชเวดากองเป็นพระมหาเจดีย์สีทองที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุสิ่งของที่ควรสักการะบูชาในพระพุทธศาสนา เป็นเส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้าที่ทรงมอบให้พ่อค้า ๒ คนชื่อว่าตปุลสะและภัลลิกะซึ่งเป็นสองพ่อค้าชาวมอญแต่ไม่เคยมีโอกาสักครั้งในชีวิตจนกระทั่งเรียนจบปริญญาเอกและกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา สอนในระดับปริญญาตรี โทและเอก เป็นต้น 

           เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ผู้เขียนได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรของนิสิตหลักสูตรพุทธศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาพระพุทธศาสนาและปรัชญา ในโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมในอาเซียนที่สหภาพพม่าโดยกำหนดการเดินทางวันที่ ๓ - ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ในวันแรกของการเดินทางจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ฯ วิทยาเขตนครราชสีมาไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่คืนวันที่ ๒ พฤศจิกายน เวลา ๐๐.๓๐ น. ไปถึงสนามบินดอนเมือง เวลา ๐.๘๐ น.ที่อาคารผู้โดยสารขาออกชั้น ๓ ประตูที่ ๑ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯคอยอำนวยความสะดวกในเรื่องสัมภาระและเอกสารการเดินทาง  เมื่อเดินทางไปถึงเมืองร่างกุ้งของสหภาพพม่า ที่สนามบินมิง กลาดงผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและด่านศุลกากร และไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนาหลายแห่งด้วยกันเช่น เมืองสิเหลียม เพื่อชมความสวยงามของพระเจดีย์เยเลพญา พระมหาเจดีย์ชเวดากอง และพระธาตุอินทร์แขวน เป็นต้น    

        เมื่อผู้เขียนศึกษาประวัติของเจดียชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) มีผู้กล่าวว่าเจดีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า ซึ่งตปุสสะและภัลลิกะได้รับมาจากพระหัตถ์พระพุทธเจ้าโดยตรง เมื่อได้ทราบข้อมูลนี้ ผู้เขียนจึงตั้งข้อสงสัยว่า ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเจดีย์ชเวดากอง สอดคล้องกับข้อความในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยหรือไม่ ซึ่งระบุว่า  ไม่นานนักหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้   พระองค์ทรงได้พบกับตปุสสะและภัทลิกะทำให้ผู้เขียนสนใจและต้องการไปชมเจดีย์ชเวดากองอย่างน้อยสักหนึ่งครั้งในชีวิต 

           เนื่องจากในช่วงเวลานั้นผู้เขียนเป็นเคยได้แสดงธรรมเทศนาในเมืองศักดิ์สิทธิทั้ง ๔  แห่งในอินเดียและเนปาล ผู้เขียนเคยบรรยายประวัติศาสตร์ของตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าชาวมอญให้กับผู้แสวงบุญชาวไทยพุทธ    ที่สัตตมหาสถานในบริเวณใกล้เคียงกับมหาสถูปพุทธคยา    อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ไม่เคยศึกษารายละเอียดเรื่องราวของเจดีย์ชเวดากองมาก่อน  ในสมัยพุทธกาลนั้น ดินแดนของสหภาพพม่าถูกปกครองโดยกษัตริย์มอญ เมื่อผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปแสวงบุญในพม่า    ผู้เขียนจึงตัดสินใจค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์ชเวดากองนี้ โดยอาศัยทฤษฎีความรู้เชิงประจักษ์     เป็นหลักในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เหตุผล  วึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ 

           การเขียนบทความเชิงปรัชญาเกี่ยวกข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูล  โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงในประเด็นของเรื่องนั้นิ  เพื่อพิสูจน์ความจริงที่คลุมเครือให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น    โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบนั้น    แม้ความคิดเห็นของนักปรัชญาจะมีความคิดเห็นหรือทัศนะทางปรัชญาของนักวิชาการยังคลุมเครือ และไม่ชัดเจนก็ตาม    อย่างไรก็ตาม เหตุผลในคำตอบของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาคนใครก็ถูกต้องสำหรับคนนั้น  หากยังไม่มีข้อมูลใหม่ยกขึ้นมาพิสูจน์ความจริง ก็ถือว่าไม่มีเหตุผลที่จะหักล้างคำตอบในเรื่องนั้นได้ และข้อมูลเก่าก็ยังมีประโยชน์และต้องได้รับการรักษาไว้ดำเนินวิจัยและค้นหาความจริง และนำไปพัฒนาความรู้ดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม  การศึกษา ค้นคว้าและเนื่องจากเป็นหลักฐานในการค้นคว้า และตรวจสอบข้อมูลกันต่อไปและจะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนา การใช้เหตุผลทางปรัชญาไป อธิบายหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจดีกว่าการศึกษาแบบท่องจำ เพราะการศึกษาที่มีเหตุผลเกิดขึ้นและสัญญาของความรู้มีอยู่แล้วในจิตวิญญาณ 

          ผู้นั้นสามารถนำความรู้ที่อยู่จิตมาสู่ความคิดจินตนาการได้อย่างไร้ขีดจำกัด ส่วนความรู้เกิดจากการท่องจำมีขอบเขตของการจินตนามจำกัด เมื่อคำถามถูกถามและมีคำตอบให้ผู้ศึกษาไม่สามารถนึกคิดจินตนาการไกลกว่าประสาทสัมผัสตนแต่อย่างใด เป็นเรื่องการศึกษาแบบท่องจดหรือแบบสัญญา เมื่อเรียนจบไปแล้วไปประยุกต์กับวิชาอื่นยาก หลายคนบอกว่าการศึกษาพุทธศาสนาจึงเป็นวิชาที่ไม่น่าสนใจที่อยากศึกษา เรียนจบไปแล้วแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรอีก
 
       พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นพระมหาเจดีย์ทองคำตั้งอยู่บนแผ่นประเทศพม่ามาไม่น้อยกว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว สร้างขึ้นโดยพระเจ้าโกะลาปะเป็นพระเจดีย์ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อใช้บรรจุสิ่งที่ควรเคารพบูชาสูงสุด คือพระเกศาของพระพุทธเจ้าจำนวน ๘ เส้นที่พ่อค้าพานิชชาวมอญ ๒ ท่านคือตะปุสสะและภัลลิกะได้รับประทานจากพระพุทธเจ้าในสัปดาห์ที่ ๗ ที่ใต้ต้นราชายตนะ ดังปรากฎพยานหลักฐาน 

          (๑) ในพระไตรปิฎกเล่มที่๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬา ฯ ]มหาวรรค ภาค๑ มหาขันธกะ  ๕.ราชายตนคาถา [๖] .....ครั้งนั้นพ่อค้า ๒ คนชื่อตปุสสะและภัลลิกะ เดินทางไกลอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ขณะนั้นเทวดาผู้เป็นญาติร่วมสายโลหิตของตปุสสะและภัลลิกะพ่อค้าทั้งสองได้กล่าวว่า "ท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ เมื่อแรกตรัสรู้ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสอง จงไปต้อนรับพระองค์ด้วยข้าวตูผงและข้าวตูก้อน...ปรุงด้วยน้ำผี้งเถิด การบูชาของท่านทั้งสอง.....จักเป็นประโยชน์สุขสิ้นกาลนาน  
          
          (๒) ในอรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ ราชายตนคาถามีเนื้อความว่าอีกอย่างหนึ่งความว่า สองพานิชนั้นถึงความเป็นอุบาสถ ด้วยวาจา สองพานิชนั้นประกาศความเป็นอุบาสถอย่างนั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ที่นี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าพึงอภิวาทและยืนรับใครเล่าพระเจ้าข้าฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียรพระเกศาติดพระหัตถ์ ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้นแก่เขาทั้งสองด้วยตรัสว่าท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้ สองพานิชนั้นได้พระเกศาธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรม รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป...
  
         จากข้อความในพระไตรปิฎก เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ (ทรงค้นพบ) วัฏจักรของชีวิตในการเวียนว่ายตายแล้วเกิดของจิตวิญญาณในสังสารวัฏ ทรงสติระลึกถึงกระบวนการตรัสรู้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และทรงพิจารณาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ ๗ ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ พ่อค้าสองคนที่เดินทางจากดินแดนที่เรียกว่า"อุกกลชนบท" (ดินแดนในประเทศพม่าในปัจจุบัน)เพื่อค้าขายที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พอผ่านไปทางนั้นก็มีโอกาสถวายข้าวปั้นและข้าวตูผงแด่พระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้เป็นเวลา ๔๙ วัน พระพุทธเจ้าทรงประทานเส้นพระเกศาแก่พ่อค้าทั้ง ๒ คนไป  

            ปัญหาเรื่องที่ตั้งของเขตอุกกลชนบทยังไม่มีการวิจัยเป็นดินแดนในอนุทวีปหรือสุวรรณภูมิ ถ้าเราแปลความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ นิยามคำว่า"ปรัชญาเป็นแนวคิดหลักความรู้และความจริง" ส่วนภาษาคือถ้อยคำที่ใช้เขียนเพื่อสื่อความของกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดออกมาเป็นตัวอักษร เป็นต้น คำว่า "อุก" แปลว่า หักหาญโดยพละการ กลชนบทแปลว่า การล่วงหรือล่อลวงให้หลงหรือให้เข้าใจผิด เพื่อให้ฉงนหรือเสียเปรียบ เป็นต้น  กล่าวให้เข้าใจอย่างง่ายเขตอุกกลชนบทคือ ดินแดนชนบทห่างไกลความเจริญ เต็มไปด้วยคนป่าเถื่อน มีเหล่ห์เหลี่ยมและหักหาญเพื่อแย่งชิงทรัพย์กันปัญหาต้องวิเคราะห์ว่า ดินแดนคนป่าเถื่อนที่กล่าวถึงนั้นตั้งอยู่ในประเทศพม่าหรือไม่ คงมิใช่แต่ประการใด เพราะ เมื่อเงื่อนเวลาของการตั้งประเทศพม่าเป็นแผ่นดินนั้น ประมาณปี พ.ศ. ๑๕๐๐ หลังจากสมัยพุทธกาลหรือหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วประมาณ ๑,๖๐๐ ปีแล้ว 

๒.การปฏิบัติบูชาที่เจดีย์ชเวดากอง 

       ปัญหาคำว่า"ปฏิบัติบูชา"มีความหมายว่าอย่างไร เมื่อศึกษาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ฉบับออนไลน์ให้คำนิยามว่าการบูชาด้วยการปฏิบัติคำสั่งสอนคู่กับอามิสบูชาด้วยสิ่งของ กล่าวคือเมื่อผู้เขียนเดินทางมาถึงพระเจดีย์ชเวดากอง ผู้เขียนซื้อดอกไม้เป็นเครื่องอามิชบูชาต่อพระเกศาของพระพุทธเจ้า ผู้เขียนยกดอกไม้ประนมมือสวดมนต์ไหว้อย่างเงียบๆ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ ทรงสละวรรณะกษัตริย์ศากยวงศ์มีหน้าที่ปกครองรัฐสักกะทรงออกผนวชเพื่อค้นหาสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ เพื่อนำพาดวงจิตวิญญาณของมนุษยชาติข้ามพ้นโชคชะตา อันมืดบอดเพราะความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมายาวนานว่า ชีวิตมนุษย์ถูกพระพรหมสร้างขึ้นมาและลิขิตโชคชะตาไว้แล้ว ด้วยระบบวรรณะให้มนุษย์มีสิทธิหน้าที่ของความเป็นมนุษย์นั้น พระพรหมได้สร้างไว้ให้แล้ว...เป็นต้นจนกลายเป็นความทุกข์ เพราะ มนุษย์มีจริตของความชอบไม่เหมือนกัน..พระมหาเจดีย์ชเวดากอง 
*ฉันมาไหว้พระที่ เจดีย์ชเวดากอง
ร่วมเพื่อนผองหาย หมองด้วยบูชา
สงบตนเย็นจิต สถิตย์ใจด้วยปัญญา
แก้ปัญหาด้วยฤทธิ์ ธรรมนำพ้นเอย.  (ยังมีต่อ) 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ