The problem with the truth about the 100-year-old Khonburi wooden bridge
๑. บทนำ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสะพานไม้ ๑๐๐ ปี
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสะพานไม้ ๑๐๐ปี ในอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา จากคนรู้จักที่เคยไปเยือนสะพานไม้แห่งนี้ เราไม่ควรเชื่อทันที่ว่าเป็นเรื่องจริง เราควรตั้งข้อสงสัยไว้ จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสะพานไม้ครบุรีแห่งนี้ และรวบรวมหลักฐาน เช่นเว็บไชต์ต่าง ๆ หรือ ดูแผนที่โลกกูเกิลเกี่ยวกับสะพานไม้แห่งนี้ เราจะพบความคิดเห็นจากนักท่องเที่ยวที่วิพากษ์วิจารณ์ตามปฏิภาณของตนเอง ตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนี้และถ่ายทอดความคิดเห็นของตนเองออกมาเป็นข้อความในแอพพริเคชั่นต่าง ๆ นั้น
เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสะพานไม้ครบุรี 100 ปีก่อน และเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ เป็นอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีธรรมชาติของการเป็นนักคิด เมื่อรับรู้สิ่งใดก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยแสดงความคิดเห็นเรื่องราวเหล่านั้นตามปฏิภาณของตนตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยมนุษย์ใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของปรัชญา ในการอธิบายความจริงของเรื่องสะพานไม้ครบุรี ๑๐๐ ปี ผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงของสะพานไม้ครบุรีอย่างถูกต้อง บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของสะพานไม้ครบุรีอย่างผิด ๆ บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือบางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น ดังนั้น เมื่อผู้เขียน นักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจนแล้ว วิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้า ได้ยินความคิดเห็นของคำตอบในเรื่องราวของสะพานไม้ครบุรี ย่อมไม่เชื่อถือความคิดเห็นเหล่านี้ และไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้แท้จริงในเรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเราได้ยินความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อทันที เราควรตั้งข้อสงสัยก่อน จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ เราก็จะใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงอย่างสมเหตุสมผล ถ้าเราไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น เมื่อเราแสดงความคิดเห็นตามหลักเหตุผลและการคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น บางครั้งเราอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง หรือบางครั้งเราอาจใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ บางครั้งเราอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้างหรือในลักษณะนั้นบ้าง เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนแล้ว เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ได้ยินเหตุผลของคำตอบอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน ย่อมไม่เชื่อถือความคิดเห็นว่าเป็นความจริง
ดังนั้นเมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่อง "นักปรัชญา" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกะ หรือนักปรัชญาได้ยินเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของตน มักจะทัศนะตามปฏิภาณของตนเอง และคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล แต่นักปรัชญาหรือนักตรรกะใช้เหตุผลบางครั้งก็อาจจะถูกบ้าง บางครั้งก็อาจผิดบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้นบางครั้งก็ใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้ เมื่อเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบยังไม่ชัดเจนว่ามีความเป็นมาอย่างไร ? ถือว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นเป็นเท็จ
โดยทั่วไปอภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญานักปรัชญาสนใจศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวที่สามารถรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเองเช่น มนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นต้น และความจริงขั้นปรมัตถ์อันเป็นความจริงขั้นสูงสุดของชีวิตมนุษย์ตามกฎธรรมชาติ เช่น การเห็นวิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่ในโลกแห่งเทพและมนุษย์หรือ นรก เป็นต้น ดังนั้น เมื่ออภิปรัชญาสนใจศึกษาความจริงเรื่องมนุษย์ โลก และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพิสูจน์ความจริงเรื่อง เทพเจ้า เป็นต้น เราจึงแบ่งประเภทความจริงได้ดังนี้ กล่าวคือ
๒.ประเภทของความจริงในปรัชญาพุทธภูมิ
เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ อภิปรัชญาจึงเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา อภิปรัชญาจึงเป็นความรู้ของมนุษย์เช่นกัน อย่างไรก็ตามความรู้ของมนุษย์ครอบคลุมทั้งความรู้ที่มนุษย์รับรู้จากการศึกษา การวิจัยและการปฏิบัติแล้วสั่งสมไว้ในจิตใจของมนุษย์ ความรู้นี้เป็นความจริงที่สมมติขึ้น และความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า "ความจริงขั้นปมัตถ์" ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้โดยตรง เว้นแต่มนุษย์จะได้รับการพัฒนาตนเองด้วยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ย่อมจะบรรลุความจริงในระดับสัจธรรมได้ เป็นต้นเราสามารถแบ่งความจริงในอภิปรัชญาออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. "ความจริงที่สมมติขึ้น" คือความจริงในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์
๒."ความจริงขั้นปรมัตถ์" คือความจริงที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์
ผู้เขียนสามารถอธิบายความจริงทั้ง ๒ ประเภทได้ดังนี้
๒.๑.ความจริงที่สมมติขึ้น หมายถึงความจริงในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในที่รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว รวมถึงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มันจะคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะหายไปในอากาศ สิ่งเหล่านี้ถูกมนุษย์สมมติชื่อขึ้นและเรียกว่า "ความจริงที่สมมติขึ้น" หรือความจริงโดยสมมติขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนสิ่งที่เหล่านี้จะหายไปจากสายตามนุษย์ มนุษย์สามารถรับรู้และเก็บมันไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้น พวกเขาจะใช้หลักฐานทางอารมณ์นี้เป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น ๆโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของชีวิตมนุษย์แล้ว พวกเขามีอายตนะภายในของตนเอง มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัดและมักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง เช่นเดียวกับนักตรรกะและนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของพวกเขาจึงมืดมน และขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้
หากพวกเขาแสดงทัศนะของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว การใช้เหตุผลของพวกเขาก็จะอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงถูกต้องหรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างผิด ๆ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล อธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล อธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของคำตอบของนักตรรกะและนักปรัชญาใช้อธิบายความจริงอย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังความเห็นของคำตอบของนักตรรกะและนักปรัชญาแล้ว ย่อมไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงในเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนได้ยินเรื่องการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะย่อมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริง แต่เนื่องจากธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ พวกเขามีอายตนะภายในของตนเองที่จำกัดในการรับรู้และมักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความรู้ไม่รู้ของตนเอง ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นในเรื่องการมีอยู่ของพระพุทธเจ้านี้ จะใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง หรือบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างผิด ๆ เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม นักปรัชญารักที่จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป ก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในเรื่องนั้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอจากนั้นพวกเขาจะใช้หลักฐานเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น การมีอยู่ของพระพุทธเจ้า นักปรัชญาถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นความจริงในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์และเป็นความจริงที่สมมติขึ้น
๒.๒ ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นความจริงในระดับที่่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในที่มีความสามารถจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ นอกจากนี้มนุษย์มักมีอคติต่อมนุษย์ด้วยกันเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน สิ่งนี้ส่งผลให้มนุษย์ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงขาดความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง ธรรมดาจะรับรู้ได้อย่างสมเหตุสมผล เว้นแต่บุคคลนั้นพัฒนาศักยภาพของชีวิตของตนด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ก็จะบรรลุถึงความรู้ระดับอภิญญา ๖ ได้ เช่น พระนิพพาน เป็นต้น ความรู้ดังกล่าวนี้ เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง นักปรัชญาถือเป็นความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นต้น
๓.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสะพานไม้โบราณ ๑๐๐ ปีแห่งครบุรี
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานของสะพานไม้ ๑๐๐ ปีแห่งครบุรี ด้วยตนเอง ผู้เขียนก็ได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า สะพานไม้โบราณครบุรีแห่งนี้เป็นวัตถุที่จับต้องได้ สร้างขึ้นโดยชาวโคกกระชาย ตั้งอยู่กลางทุ่งนา และทรุดโทรมลงตามกฎของธรรมชาติและต้องได้รับการดูแลรักษาเป็นประจำทุกปีซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้โดยตรงผ่านอายตนะภายใน การเยี่ยมชมสะพานไม้อายุ ๑๐๐ ปีครบุรี ตั้งอยู่ในหมู่บ้านโคกกระชาย ตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา
เหตุผลในการสร้างสะพานไม้แห่งนี้: เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาสภาพภูมิประเทศ พบว่าสะพานไม้ครบุรี ๑๐๐ ปี เดิมเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำไหลลงมาจากป่าฝนบนภูเขาตลอดทั้งปี ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร ในอดีต ชาวบ้านจะออกจากหมู่บ้านโคกกระชาย เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในอำเภอครบุรี และหมู่บ้านอื่น ๆ ทางเรือเพื่อเดินทางระหว่างหมู่บ้านใกล้เคียง ต่อมารัฐบาลไทยได้พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โดยสร้างเขื่อนลำแชะเพื่อชะลอระดับน้ำในฤดูฝนและนำมาใช้ในการเกษตรในฤดูแล้ง นอกจากนี้ยังใช้เป็นแหล่งน้ำประปาในจังหวัดนครราชสีมา เพื่ออุปโภคและบริโภคตลอดทั้งปี การสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝน ทำให้พื้นที่น้ำท่วมขังตื้นเขิน ทำให้ปลูกข้าวได้ในฤดูฝน ส่วนในฤดูแล้งก็มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร ในฤดูแล้ง เมื่อน้ำตื้นเขิน ชาวบ้านไม่สามารถนั่งเรือไปมาหาสู่กันได้อีกต่อไป

สะพานไม้ครบุรีอายุกว่า ๑๐๐ ปีสร้างขึ้นโดยชาวบ้านเพื่อเป็นเส้นทางคมนาคมระหว่างหมู่บ้าน ต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านโคกกระชาย สะพานไม้ครบุรีนี้ทำจากแผ่นไม้บาง ๕ แผ่น นำมาดัดแปลงวางบนคานไม้ที่ยกสูงจากพื้นประมาน ๑๒๐ เซ็นติเมตร ส่งผลให้สะพานไม้มีความยาว ๕๐๐ เมตร เพื่อความสะดวกในการเดินทาง แม้ว่าหมู่บ้านโคกกระชายจะได้รับการพัฒนาและสร้างถนนขึ้นมาใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังคงประสบปัญหาสุขภาพ จากการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลการไหลเวียนโลหิต ส่งผลให้ผู้คนต้องการพักผ่อน จึงเดินทางไปท่องเที่ยวบนสะพานไม้ครบุรีแห่งนี้เพื่อคลายเครียดจากการยึดติดหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตของตน เป็นต้น
ในอดีต อำเภอครบุรีเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม มีน้ำไหลมาจากภูเขาสูง ทำให้น้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดปี นี่คือต้นกำเนิดของแม่น้ำลำแชะ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ชาวโคกกระชายเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า บริเวณที่สะพานไม้ครบุรีอายุกว่า ๑๐๐ ปีนั้น เดิมเป็นทางน้ำสาธารณะที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านใกล้เคียง ต่อมาทางน้ำเหือดแห้งและตื้นเขิน จนเรือไม่สามารถใช้สัญจรได้ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสร้างสะพานไม้ขึ้นเพื่อใช้สัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านใกล้เคียง สะพานไม้แห่งนี้ถือว่าเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่า เพราะสร้างขึ้นจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่ทำงานร่วมกัน และอาศัยความรู้จากประสบการณ์ชีวิตของชาวบ้านโคกกระชายโดยไม่ต้องเรียนจบระดับมหาวิทยาลัย
เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ ชาวบ้านโคกกระชายจึงร่วมมือกัน ใช้สมาร์ทโฟนสร้างปรากฏการณ์ทางสังคมด้วยการถ่ายภาพสะพานไม้ และโพสต์ลงบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จัก และเยี่ยมชมสะพานไม้แห่งนี้ตลอดทั้งปี คุณค่าของสะพานไม้แห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อผู้คนก้าวเท้าอย่างช้า ๆ บนสะพานไม้เก่าแก่แห่งนี้ พวกเขารู้สึกถึงสายลมธรรมชาติเย็นสบายแทนที่ลมร้อนที่แผ่ขยายและลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ตลอดเวลา เราเดินผ่านคนแปลกหน้า และยิ้มให้กับคนที่เราไม่รู้จัก นี่คือมิตรภาพที่ไม่จำเป็นต้องบอกให้ยิ้ม แต่มาจากใจ ของเราเพราะมันช่วยให้จิตใจของเรารับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ตลอดเวลา เราสามารถคลายเครียด เมื่อเรารู้วิธีละทิ้งความยึดติดกับสิ่งที่เรามี เราก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอดทั้งวัน เราประสบความสำเร็จด้วยการออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยงานเร่งรีบ เพื่อจัดการกับข้อจำกัดด้านเวลา เพื่อแลกกับความเย็นสบายที่เราสัมผัสได้บนผิวหนังของเรา การได้ไปเยือนสะพานไม้ครบุรีที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี จะทำให้รู้สึกคุ้มค่าแก่การไปเยี่ยมชม
เมื่อจิตใจของเราได้รับการกระตุ้นทางอารมณ์ด้วยบรรยากาศของทุ่งนาอันกว้างใหญ่และชมอาทิตย์ตกที่อยู่ตรงหน้า ในตอนเย็น แสงอาทิตย์ที่สวยงามจะสะท้อนลงบนทุ่งนาอันกว้างใหญ่ตามการหมุนของโลก ก่อนที่ความมืดจะเข้ามาแทนที่ บดบังความงดงามของอารมณ์สุนทรียบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ แสงแดดส่องตลอดเวลาทั้งวันจนหายไปอีก ๑๒ ชั่วโมงจนถึงรุ่งเช้า อำเภอครบุรีเคยเป็นพื้นที่น้ำอันอุดมสมบูรณ์มีดินโคลน แต่กาลเวลาและความคิดของผู้คนได้ แต่กาลเวลาและความคิดของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไปในด้านการพัฒนา มีการสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร มีการสร้างสะพานไม้เพื่อทดแทนทางน้ำที่มีอยู่เดิม เนื่องจากเขื่อนกั้นน้ำ ป้องกันไม่ให้ไหลลงมาจากภูเขา สะพานไม้เป็นภูมิปัญญาชาวโคกกระชาย เมื่อโลกก้าวหน้าขึ้น ผู้คนได้รับความสะดวกสบายทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค และความสามารถในการทำงานจากที่บ้าน แต่ความทุกข์ในใจมนุษย์ก็คงอยู่เสมอ และเป็นเงาที่คอยหลอกหลอนผู้คนทุกหนทุกแห่ง ทั้งคนจนและคนรวยต่างต้องทนทุกข์กับความเครียดจากการหาเลี้ยงชีพ เพราะชีวิตต้องการการพักผ่อนและการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ต้องทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง การดื่มเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งแรก ที่นำไปสู่การดื่มและกินเพื่อความสนุกสนาน

เนื่องจากสะพานไม้แห่งนี้มีความสำคัญ จึงได้กลายมาเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน ระหว่างการเดินทางตลอดทั้งปี ในตอนเช้าและเย็น เป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด เพราะแสงแดดสาดส่องจากระยะไกลลงมายังทุ่งนา ลมร้อนพัดขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่และลมเย็นพัดเข้ามาแทนที ชีวิตมนุษย์ต้องเผชิญอากาศหนาวเย็น ซึ่งช่วยลดความร้อนแรงในชีวิตได้อย่างมาก การเดินบนสะพานไม้ครบุรีที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปีข้ามทุ่งนาสีเขียวอันกว้างใหญ่เกินกว่าที่สายตาจะเอื้อมถึง สะพานแห่งนี้จึงเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจของจิตใจมนุษย์ ที่สั่งสมทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ร้ายในชีวิตให้สูดโอโซน อากาศเต็มไปก๊าซออกซิเย็นเข้าสู่ปอดเพื่อฟื้นตัวจากความทุกข์ยากของชีวิตได้เป็นอย่างดี ถือเป็นความรู้ที่แท้จริง สะพานไม้ครบุรี ๑๐๐ ปี เป็นความจริงที่สมมติขึ้นที่สร้างขึ้นจากภูมิปัญญาของช่างฝีมือท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ของหมู่บ้านโคกกระชาย โดยสะพานไม้แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านโคกกระชาย ประวัติความเป็นมาของสะพานไม้ครบุรีอายุ ๑๐๐ ปี
เมื่อผู้เขียนก้าวขึ้นไปบนสะพานไม้โบราณและเดินไปไม่ไกลจากถนน เราก็เห็นชาวบ้านหลายคนจ้องมองไปที่เครื่องสูบน้ำที่มีเสียงดัง ทำให้เขาตระหนักว่าพวกเขากำลังสูบน้ำเข้าไปในนาข้าว เนื่องจากพวกเขาเพ่งปลูกข้าว เมื่อไม่กี่วันก่อน น้ำในนาจึงเหือดแห้งเมื่อไม่มีน้ำมาเลี้ยงต้นข้าว ต้นข้าวก็จะแห้งตาย ผู้เขียนได้พูดคุยกับชาวนาเกี่ยวกับประวัติของสะพานแห่งนี้ พวกเขาเล่าว่าในอดีตนาข้าวแห่งนี้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดปี ชาวบ้านโคกกระชายเรียกว่า "น้ำแชะ" ซึ่งแปลว่าเปียกไปด้วยน้ำและดินโคลน เส้นทางของสะพานไม้ครบุรี ๑๐๐ ปี เดิมเป็นเส้นทางเดินเรือของชาวบ้านมาก่อน ต่อมาได้มีการสร้างสะพานไม้ข้ามพื้นที่ชุ่มน้ำและโคลน ชาวบ้านจึงใช้สะพานนี้ เป็นทางลัดเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อย่นระยะทางไปยังหมู่บ้านโคกกระชายที่ใกล้ที่สุด

ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐ สะพานไม้แห่งนี้ได้ถูกเปลี่่ยนจากเสาไม้เป็นเสาคอนกรีต ชาวบ้านโคกกระชายยังคงใช้เส้นทางนี้เดินทางไปมาระหว่างทุ่งนาเพื่อปลูกข้าวในฤดูแล้ง เป็นเส้นทางสูบน้ำจากคลองลำแชะเข้ามาในพื้นที่ทุกปี และเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูร้อน เมื่อชาวบ้านโคกกระชาย อำเภอครบุรี พัฒนาตนเองด้วยการได้รับความรู้ผ่านเทคโนโลยี่อินเตอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ ก็ช่วยลดปัญหาชาวบ้านต้องเดินทางไปสถานศึกษา และศูนย์การเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้ เพราะสถานเหล่านี้อยู่ไกลบ้าน การพัฒนาชีวิตชาวบ้านด้วยการถ่ายทอดความรู้สู่จิตใจประชาชน ด้วยการแบ่งปันความรู้ด้วยแนวคิดทันสมัย ลดการพึ่งพาผู้อื่น และพึ่งพาตนเองได้ผ่านอินเตอร์เน็ต Fi-Wi โดยการแชร์ภาพและเสียงจากกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่ความรู้จากการศึกษา ค้นคว้าและปฏิบัติจนเห็นผลจริง
ทุกวันนี้ ผู้คนทั่วโลกแชร์ความรู้เป็นล้าน ๆ รายการ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านในการเรียนรู้มากขึ้นความรู้ในจิตใจจะถูกนำมาใช้พัฒนาองค์ความรู้ โดยนำสิ่งของในชุมชนมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ ค้นหาอัตลักษณ์ของตนเอง สร้างโอกาสให้แก่ตนเองและเปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่ห่างไกลการพัฒนาได้ศึกษาค้นคว้า และคิดอย่างสร้างสรรค์ในสิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง เช่น สะพานไม้โบราณอายุกว่า ๑๐๐ ปีในอำเภอครบุรี ที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไว้ได้อย่างมั่นคง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างงานและอาชีพให้กับคนในชุมชน
๓.ความสำคัญเมืองครบุรี
เมื่อพิจารณาตามเหตุผลเชิงตรรกะ ของสภาพภูมิศาสตร์ในอำเภอครบุรีแล้วคือ เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำมูล เนื่องจากตั้งอยู่ในตอนใต้ของอำเภอครบุรี ในอุทยานแห่งชาติทับลานซึ่งได้รับประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เป็นทุ่งนาขนาดใหญ่และล้อมรอบด้วยภูเขา อำเภอครบุรีตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดนครราชสีมา เป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีน้ำซับตลอดเวลา เป็นพื้นที่ราบลุ่มของอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นภูเขาสูง มีป่าไม้ทึบ ทำให้เป็นม่านธรรมชาติที่ดี ที่ป้องกันไม่ให้เมฆฝนกลั่นตัวเป็นน้ำและซึ่มลง ด้านล่าง ดังนั้น อำเภอครบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มจึงมีความชื่นจาก การซึ่มของน้ำจากป่าธรรมชาติ และดินโคลนที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวเป็นอย่างมาก อำเภอครบุรีจึงเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำเล็ก ๆ หลายสายทำให้ดินของอำเภอครบุรีมีน้ำขัง หรือชื่นแฉะ ชาวอำเภอครบุรีจึงประกอบอาชีพเกษตรกรรม และปลูกพืชไร่ ในอดีตชาวนาไม่สามารถปลูกข้าวได้ เพราะพื้นดินกว้างและนาข้าวก็ชื่นและมีน้ำมากในบริเวณที่สร้างสะพานไม้โบราณนั้น
ชาวบ้านเล่าให้ฉันฟังว่า ในอดีตพื้นที่ที่เป็นทุ่งนากว้างใหญ่ที่เราเห็นด้วยตาตนเองนั้น มันเคยเป็นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่มีน้ำท่วมตลอดทั้งปี ชาวบ้านไม่สามารถใช้พื้นที่นั้นได้ แม้จะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เพราะไม่สามารถปลูกข้าวได้ เนื่องจากภูเขาก็เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำไหลลงมาจากภูเขาตลอดทั้งปี เมื่อเป็นที่ราบลุ่ม ก็เกิดน้ำท่วม เส้นทางของสะพานไม้โบราณที่สร้างยาวไกลนั้นเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางเดินเรือเมื่อสองร้อยปีก่อน มีการสร้างเขื่อนลำแซะขึ้นมา ทำให้หนองบึงกลายเป็นน้ำตื้น เพราะมีการกักน้ำบนเขื่อนลำแชะ พื้นที่ราบลุ่มจึงกลายเป็นทุ่งนาสำหรับปลูกข้าวและพืชอื่น ๆได้ เส้นทางเดินเรือ จึงสร้างด้วยสะพานไม้ดังที่เห็นในภาพนี้ ใช้สัญจรไปมาระหว่างทุ่งนาของชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง มันครอบคลุมพื้นที่เท่าที่สายตามนุษย์จะมองเห็นได้
ฉันแสวงหาความรู้เกี่ยวกับวิชาสุนทรีย์ศาสตร์วิชาหนึ่งที่ว่าด้วยความงามของธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นถ้าฉันเพียงบรรยายวิชานี้ตามตำราอย่างเดียว จิตใจของผู้เรียนวิชานี้ไม่มีอรรถรสของความงามให้มีอยู่ในจิตของตนเมื่อฉันตระหนักรู้ถึงความมีอยู่ของสะพานไม้๑๐๐ ปีครบุรีด้วยประสาทสัมผัสของฉันแล้ว จิตฉันเกิดอาการรู้สึกอย่างไร เป็นคำถามที่ฉันตั้งขึ้นมาเองเป็นเรื่องที่ฉันสนใจไม่น้อยที่ต้องคิดหาเหตุผลจากผัสสะนั้น ก่อนอื่นเราต้องอธิบายคำว่า "ความสวย ความงาม" ให้เข้าใจด้วยเหตุผลเสียก่อนว่าความคืออะไร" ตามพจนานุกรมแปลไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถานให้คำนิยามว่า "งาม"เป็นคำวิเศษหมายถึงลักษณะที่เห็นชวนให้ชื่นชมหรือพึงพอใจเช่น มารยาทงาม รูปงาม ลักษณะ ที่สมบรูณ์ดี เช่น ต้นไม้งาม ปีนีฝนงาม ดี มาก ลักษณะเป็นไปตามต้องการเช่นกำไรงาม เป็นต้น.

เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๓๐ น. หลังจากผู้เขียนได้บรรยายหลักธรรมเรื่องกายและจิตของพระพุทธเจ้าแล้ว ในงานปฏิบัติธรรมประจำปีของวัดป่าหิมพานต์หมู่ ๑ ตำบลครบุรี อำเภอครบุรี และผู้เขียนมีศรัทธา ได้ร่วมทำบุญโดยบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธาของตนมีแก่วัดป่าหิมพานต์ก่อนจะกลับไปที่วัด ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมืองนครราชสีมาผู้เขียนเห็นว่าในวันนี้ที่ตำบลโคกกระชายนั้น อากาศเย็นสบายดีท้องฟ้าเมฆมากเห็นฝนตกโปรยปรายเป็นละอองเล็ก ๆ ลอยลงมาผัสสะร่างกายของผู้เขียน อารมณ์ของวิญญาณของผู้เขียนอยากท่องเที่ยวต่อไปอีก ยังไม่อยากจะกลับมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด เพื่อละลายความทุกข์ที่อยู่ในใจของผู้เขียนให้หมดสิ้นไป ท้องฟ้าบริเวณตำบลโคกกระชายนี้แม้จะไม่สดใสด้วยดวงอาทิตย์ ที่จะส่องแสงมาลงบนพื้นโลกมนุษย์ที่ผู้เขียนนับเวลาไม่ได้ว่าเป็นเวลากี่อสงไขยก็ตาม แต่วันนี้สภาพของดินฟ้าอากาศเปลื่ยนแปลงไปไม่สดใสเช่นทุกวันเพราะแสงแดดที่เคยส่องมาพื้นโลกด้วยความร้อนแรงของแสงดวงอาทิตย์กลับส่องแสงลงมาบนพื้นดินอย่างเบาบาง ไม่ครอบคลุมซีกทิศตะวันออกของอำเภอครบุรีอย่างใด
๔.ที่มาของความรู้สะพานไม้โบราณ ๑๐๐ ปีแห่งครบุรี การที่คนเราจะมีความรู้ดีหรือความรู้เลวนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน มนุษย์จะมีความรู้ที่ดี และความรู้ที่เลวนั้น ขึ้นอยู่กับจิตที่มีสติสัมปชัญญะและสำนึกว่า "สิ่งที่เกิดชีวิตในชีวิตตอนนั้นเป็นผิดพลาดในชีวิตหรือประสบการณ์อื่นใดก็พิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นความรู้ดีหรือความรู้ชั่ว เป็นบาปหรือความดี ถ้าเป็นสิ่งที่ยึดถือ เป็นความชั่ว ก็ตัดความยึดติดในสิ่งนั้นออกไปจากชีวิต ถ้าคิดว่าสิ่งที่เกิดในชีวิตปรากฎให้เห็นในตอนนั้น เป็นสิ่งที่ดีก็ใช้สิ่งนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตในภายภาคหน้า เป็นต้น
ทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความรู้มนุษย์นั้นมีหลายทฤษฎี แต่ในการเขียนบทความรู้นี้ ผู้เขียนใช้ทฤษฎีประจักษ์นิยม ในการวิเคราะห์ ต้นกำเนิดของความรู้ ชีวิตของผู้เขียนมีอายตนะภายใน เป็นสะพานเชื่อมจิตของผู้เขียนกับสะพานไม้ ๑๐๐ ปีแห่งครบุรี เนื่องจาก ผู้เขียนได้ฟังเรื่องราวจากที่ผู้เคยไปเยือนสะพานไม้แห่งนี้ จึงได้ตระหนักในความงดงามที่ตนรู้ด้วยตนเองว่า เป็นสะพานไม้โบราณ มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้สวยงามมาก ผู้เขียนนั่งคิดหลังจากลงจากธรรมาสน์ ตราบใดที่ชีวิตของผู้เขียนยังมีลมหายใจ และโอกาส ผู้เขียนก็จะแสวงหาความรู้ที่เป็นประโยชน์จากสะพานไม้แห่งนี้ เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน
ดังนั้น ผู้เขียนจึงตัดสินใจไปแสวงหาความรู้ที่สะพานไม้โบราณ ๑๐๐ ปีแห่งครบุรี เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการสอนวิชาสุนทรียศาสตร์ได้ เพราะในการสอนวิชาใด ๆ ก็ตาม เราสามารถให้ตัวอย่างในการสอนได้ ที่แสดงให้เห็นว่าผู้สอนมีประสบการณ์จากชีวิตจริงไม่ใช่การตีความ และท่องจำจากตัวละครที่อ่านแล้วสอน จิตผู้เขียนหวนนึกถึงความงามของสะพานไม้เก่าแก่อายุ ๑๐๐ ปีของเมืองครบุรี ตั้งอยู่ที่บ้านโคกกระชาย ตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา.

ผู้เขียนจึงตัดสินใจไปยังตำบลโคกกระชาย เมื่อผู้เขียนมาถึงที่ตั้งของสะพานไม้โบราณครบุรี ผู้เขียนมองเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวไม่มากนักและคิดหาเหตุผลจากประสาทสัมผัสของตนเองและระลึกได้ว่าวันนี้เป็นวันจันทร์หน่วยงานราชการและบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เปิดทำงานกันทั่วประเทศ เมื่อมันไม่ใช่วันหยุดราชการแต่อย่างใด จึงไม่มีนักท่องเที่ยวหรือว่ามีนักท่องเที่ยวผู้เข้าชมสะพานไม้โบราณตั้งแต่เช้าตรูแล้ว และได้เดินทางกลับไป เราไม่เห็นนักท่องเที่ยวไม่ใช่ว่าไม่มี นักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวมาแล้ว และกลับไปแต่มันเป็นโอกาสของผู้เขียนที่เดินไปผัสสะอารมณ์ของธรรมชาติก้าวย่างบนสะพานไม้โบราณนั้น โดยไม่ต้องหลบหลีกใครบนสะพาน เพื่อพิจารณาอารมณ์สุนทรียภาพอย่างมีสติ จิตของผู้เขียนรู้สึกโล่งใจเพราะหายจากความเครียดเนื่องจากทำงานหนักมาตลอดทั้งปี
ผู้เขียนตัดสินใจที่จะก้าวเท้าเดินลงจากถนน ที่ตั้งอยู่สูงกว่าท้องทุ่งนาของชาวบ้านโคกกระชายที่กว้างไกลสุดสายตา ผู้เขียนเดินไปตามสะพานไม้โบราณ ที่ชาวบ้านในหมู่โคกกระชายได้ร่วมกัน สร้างขึ้นไว้เพื่อใช้เป็นที่สัญจรไปมาหาสู่กันพื้นผิวของสะพานโบราณชาวบ้านสร้างจากแผ่นไม้จริงจำนวน ๕ แผ่น โดยวางแผ่นไม้พาดเรียงไปตามคานไม้คานไม้ตั้งสูงจากพื้นดินประมาณ ๒ เมตร ไม้พื้นผิวของโบราณมีลักษณะค่อนข้างเก่า และบางแผ่นตัดเป็นไม้แผ่นลักษณะค่อนข้างบางมากแบกรับน้ำหนักของร่างกายผู้เขียนประมาณ ๘๕ กิโลกรัม เมื่อผู้เขียนวางเท้าเหยียบลงบนแผ่นไม้ ทำให้ไม้อ่อนยวบลงไปเล็กน้อยเวลาเดินบนสะพานไม้โบราณ

ผู้เขียนจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก ผู้เขียนเห็นเกษตรกร ๓-๔ คน พวกเขากำลังนั่งบนสะพานโบราณเฝ้าดูปั๊ปทำงาน เพื่อสูบน้ำเข้าทุ่งนาเพราะนี่เป็นฤดูแล้งน้ำบนทุ่งนาเริ่มแห้งแล้ว ฉันได้เห็นต้นข้าวหลายแปลงที่เกษตรกรพึ่งปลูกเสร็จใหม่ ๆ เมื่อฉันสนใจอยากไปท่องเที่ยวชมสะพานแห่งนี้ในแง่มุมวิชาการเมื่อฉันไปผัสสะสถานที่แห่งนี้ จะงดงามดั่งคำเล่าลือของผู้คนที่ได้ไปเที่ยวชมไปมา ฉันค้นหาที่กูเกิลฉันพบคำว่าสะพานไม้ ๑๐๐ ปีครบุรี มีผู้คนเข้าไปค้นหาคำนี้เกือบสองแสนครั้งแล้ว และเขียนข้อความ จากเป็นประสบการณ์ที่พวกเขาได้ไปชมสะพานไม้เป็นข้อความสั้น ๆ มากมายทำให้สะพานไม้นี้กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และคำบอกเล่าได้ยิน และเห็นภาพสวยงามที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์มากมายและกระตุ้นความปรารถนาที่จะมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้สักครั้งหนึ่งของชีวิต
ฉันรับรู้ความมีอยู่ของสะพานไม้ ๑๐๐ ปีครบุรีด้วยการอ่านศึกษาจากโลกออนไลน์และฉันเดินทางมาด้วยตัวของฉันเอง เห็นผ่านสายตาของฉันเองครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ แล้ว ฉันมองด้วยสายตาของฉันเองตัวสะพานหน้าจะมีความกว้างสัก ๑ เมตร ความยาวจากการคาดเดาของฉันประมาณสัก ๑ กิโลเมตร ตัวเสาของสะพานเป็นเสาซิเมนต์เพราะสามารถทนฝนได้ดีกว่าเสาไม้ สะพานมีอายุมากว่า ๑๐๐ ปีตั้งอยู่กลางทุ่งนาอันไกลสุดสายตาจะมองเห็นได้ว่าสิ้นสุดลงที่ใด เมื่อสะพานอยู่กลางแจ้งย่อมผ่านร้อน ที่ผ่านแสงแดดจ้าแผดเผาผ่านลมพายุหลายหลาก ถาโถมเข้ามาระลอกในฤดูฝนและมีเมฆหมอกปกคลุมมากในฤดูหนาว แต่ความเป็นสะพานไม้ร้อยปีครบุรีแห่งนี้ก็ทนทานต่อความร้อนหนาวพายุฝนและแสงแดดร้อยกว่าปีแล้วเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
สะพานไม้โบราณอายุ ๑๐๐ ปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวน่าหลงไหลอีกแห่งหนึ่งมีเสน่ห์ที่จับต้องเข้าถึงได้ เป็นเรื่องราวผ่านประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา เพราะกาลเวลาไม่เคยทำให้คุณค่าของความงามที่เป็นนามธรรมในจิตมนุษย์ของลดลงไป ยังห่อหุ้มจิตไว้เป็นมนต์ขลังที่ไม่มีวันเสื่อมคลายในโลกออนไลน์ เพราะเป็นวิถีความจริงและความงามของสรรพสิ่งที่เสมอภาคกัน ในความไม่เที่ยงแท้ที่เกิดการเสื่อมสลาย ทำให้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก รู้สึกจิตมีอาการอาลัยด้วยเสน่หาการหมุนเวียนของจุติจิต และปฏิสนธิวิญญาณทุกช่วงเวลาที่มนุษย์ควรค้นหาในจิตของตนเสมอ แม้มนุษย์ให้เหตุผลด้วยความหลงยกตัวเองขึ้นมาว่าดีกว่าใครในแหล่งหล้า หาใครเปรียบเทียบอย่างเสมอเหมือนได้ไม่ สุดท้ายก็ไม่เที่ยงอยู่ดีเพราะพระพุทธศาสนาสอน เรื่องเหตุปัจจัยของสรรพสิ่งรวมทั้งวิถีชีวิตของมนุษย์ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยกาย และรวมให้เกิดเป็นชีวิตมนุษย์ก็ต้องเกิดเป็นธรรมดา
ส่วนเหตุปัจจัยให้ดับคือเสียชีวิตก็กายต้องดับจิตย่อมไปจุติจิตเช่นเดียวกันไม่ใครจะหยุดเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้ ลมหนาวจากท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่ไกลสุดสายตา และพัดเข้ามาแทนที่อากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าสีครามลมหนาวพัดผ่านประสาทสัมผัสของร่างกายของฉัน จนฉันรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและจิตฉันสูดดมก๊าซออกซิเยนเข้าสู่ปอดทั้งสองข้างของฉันร่างกายของฉันเคยเครียด เนื่องจากการทำงานพบปัญหาซ้ำซากปัญหาที่เป็นทุกข์ตลอด ทำให้ฉันต้องคิดตัดสินใจเริ่มผ่อนคลายลงมาก จิตใจของฉันสดชื่นมากจิตใจของฉันได้ปลดปล่อยตัวฉันเองจากภาระเมื่อยล้าเพราะประสาทสัมผัสของร่างกาย ฉันได้ผัสสะอากาศที่เย็นสบายวันนี้ไม่มีแสงของดวงอาทิตย์ ฝนตกลงจากท้องฟ้าบางเบาและพัดออกไป ไม่มีเรื่องราวใดที่แบ่งปันผ่านโลกออนไลน์ผ่านอากาศเข้าสู่ชีวิตของฉัน เพื่อให้จิตของฉันได้รับรู้ทำให้ฉันไม่รู้สึกทุกข์ ไม่ต้องตัดสินใจอย่างรีบเร่งเรื่องอะไรอีกต่อไปเพราะแบดเตอรี่โทรศัพท์ใช้ไปจนหมดแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดส่งผ่านเข้ามาที่โทรศัพท์มาให้ฉันต้องรับรู้อีกต้องคิดตัดสินใจอีก จิตจึงหมดความกังวลไปชั่วขณะหนึ่งกล้องถ่ายรูปยังมีแบดเตอรี่อยู่ยังถ่ายรูปได้อีกเป็น ๑๐๐ รูป โลกมีบ่วงผูกพันจิตของเราทำให้เราเกิดความทุกข์เพราะการรับรู้ความเปลื่ยนแปลงของชีวิต ผู้เข้าใจความเปลื่ยนแปลงเท่านั้นจะเกิดความสุขและสงบได้ในชีวิต.
๕.ความงามสะพานไม้ ๑๐๐ ปีแห่งครบุรี ความรู้สึกสวยงามเป็นอาการหนึ่งของจิตใจที่เกิดขึ้น เมื่อจิตรับรู้วัตถุหนึ่งสิ่งใด ก็จะคิดหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของสิ่งนั้น และทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น เมื่อมาถึงตำบลโคกกระชาย จิตของผู้เขียนก็ได้สัมผัสสะพานไม้ที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปีด้วยประสาทสัมผัสของตนเอง และเหมือนได้รู้สัมผัสสะพานนั้นอย่างใกล้ชิด เกิดอารมณ์สุนทรียะในจิตของผู้เขียนเอง ช่วยบรรเทาทุกข์ที่เกิดจากความกดดันในจิตใจ ทำให้จิตใจของมนุษย์สนใจและพอใจกับสิ่งนั้น เมื่อจิตสนใจอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก็จะหันเหออกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น ทำให้จิตหายมืดมนเราก็จะรู้สึกโล่งใจจากทุกข์ที่สะสมอยู่ในจิตใจ แม้ว่าอารมณ์นั้นจะผ่านประสาทสัมผัสในชีวิตตนเพียงชั่วขณะก็ตาม เมื่อเราสนใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็จะรู้สึกยินดีในอารมณ์นั้น แม้จะเป็นเพียงความสุขชั่วคราวก็ตาม อย่างน้อยก็ทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น เราก็จะมีสติระลึกถึงความสุขหรือความทุกข์ในอดีตชาติได้ เราก็จะใช้ปัญญา พิจารณา การกระทำทางกาย วาจา และใจ ให้เกิดความบริสุทธิ์ขึ้นได้ ดังนั้นความงามจึงเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ เพราะความงามช่วยขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้มีอารมณ์สุนทรีย์ ช่วยบรรเทาทุกข์ที่เกิดจากการสัมผัสกับราคะกามตัณหา ซึ่งอาจทำให้จิตไม่สงบนิ่งและวิตกกังวล แม้ความงามที่ถูกสัมผัสจะทำให้จิตใจมีความสุขทางสุนทรียะชั่วขณะ แต่ก็เป็นความรู้ที่เป็นความจริงอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้จิตใจมนุษย์สงบ เบิกบาน มีความสุขและเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ดังนั้นความงามจึงเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในจิตของมนุษย์ ผู้เขียนได้เดินบนสะพานไม้โบราณ วันนี้ผู้เขียนไม่พบเห็นนักท่องเที่ยวจากจังหวัดนครราชสีมาหรือที่ใด เดินทางมายังสะพานโบราณแห่งนี้เลย ผู้เขียนจึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบนสะพานไม้ เพราะไม่คอยหลบเลี่ยงญาติพี่น้อง และไม่อยากให้ญาติพี่น้องต้องมาวุ่นวาย ผู้เขียนจึงปล่อยความเครียดจากการทำงานที่โต๊ะหลายชั่วโมง ความซ้ำซากจำเจของสิ่งที่ทำอยู่ ผู้เขียนละสายตาจากสิ่งที่ทำนั้น เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ และคลายความเหงาเศร้าเหมือนคนแบกโลกด้วยจิตที่หนักอึ้ง ลมที่พัดเข้ามาในชีวิต สัมผัสภายนอกและซึ่มซาบเข้าสู่จิตใจของตัวเอง ยังมีผู้คนอีกมากที่มีทรัพย์สมบัติน้อยกว่าคนอื่น แต่กลับมีความสุขมากกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นให้ความสำคัญกับความปรารถนา ที่อยู่ห่างไกลจากตนมากเกินไป ไม่สนใจสิ่งมีค่าที่อยู่ใกล้ตัว และสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ และไม่ต้องเสียเงินมากมาย เพื่อแสวงหาสิ่งเหล่านี้ เมื่อจิตใจสงบ ก็จะช่วยให้ศักยภาพทางจิตเข้มแข็งและอดทนต่อความทุกข์ได้

นับเป็นข้อจำกัดของมนุษย์ในการคิด จินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ทำให้มนุษย์มองเห็นโอกาสในการต่อสู้ เพื่อชีวิตอีกครั้ง ปัญหาว่าความงามก่อให้เกิดความหลงใหล หรือไม่ มีเหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนี้เพียงใด เมื่อพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับกรรมของมนุษย์หากเราพิจารณากรรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย วาจา และใจ การกระทำนั้นจะบริสุทธิ์ เสมือนว่าความงามเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในจิต จะทำให้มนุษย์หลงใหลในความงามนั้นหรือไม่ หากพิจารณาด้วยเหตุผลและจิตมีสติ จิตใจของมนุษย์จะหลงใหลได้ยาก เพราะอารมณ์ต่าง ๆ จะถูกพิจารณาอยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตใจของมนุษย์อย่างข้าพเจ้าได้เห็นความงดงามของสะพานไม้โบราณ เป็นสะพานที่มีอายุกว่า ๑๐๐ กว่าปี ในอำเภอครบุรี ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าได้เห็นถึงธรรมชาติแท้จริงของปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในโลก ในช่วงเวลา ที่ทำให้จิตของมนุษย์ มีสุนทรียภาพ มีความพอใจ คลายความเครียดในชีวิต เมื่อเราเห็นสิ่งที่อยู่ในทุ่งนา ป่าเขา ภูเขาสูงและสายแม่น้ำแชะ ที่ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้มีอายุยืนยาวชั่วขณะ แล้วก็เสื่อมสลาย ทุกสิ่งที่มนุษยรู้ด้วยประสาทสัมผัส นั้น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทำให้มี มีเหตุปัจจัยทำให้ดับ สิ่งที่ผ่านประสาทสัมผัสเข้าสู่จิต เมื่อจิตใจไม่พอใจก็เกิดความทุกข์ การฝึกฝนจิตให้อดทนต่อความทุกข์นั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตมนุษย์นั้น เราจะต้องรู้จักร้อนหรือหนาวจากเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เพราะเมื่อมนุษย์รู้แล้วก็จะคิดและสร้างอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆของตนให้แตกต่างกันออกไป เป็นทั้งความทุกข์และความพอใจสลับกันไป การดำเนินชีวิตที่เงียบสงบและเรียบง่าย เราก็สามารถสัมผัส และเข้าถึงตัวตนที่อยู่ในจิตใจได้ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความทุกข์ของชีวิตได้ เพราะบางครั้ง จิตใจเรามัวแต่เขียนหนังสือหรืออ่านหนังสือจนเกินไป ก็ทำให้เกิดความเครียดได้ การใช้ชีวิตอยู่กับความบันเทิงมากเกินไป อาจทำให้เครียดได้เช่นกัน การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ตามหลักปรัชญา บางครั้งจิตใจ เราไม่สามารถวิเคราะห์งานได้อีกต่อไป ทำให้เกิดความทุกข์ได้เช่นกันการปล่อยใจให้ว่างเปล่าจากความเครียดของชีวิต น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต บางครั้งเราต้องรู้จักพิจารณาธาตุต่างๆ ของโลก เบื้องหน้าเราว่าอาจเต็มไปด้วยกระดูกเล็ก ๆ อิฐเล็ก ๆ และเถ้าถ่านเล็ก ๆ เท่าฝุ่นผง มีกองอยู่เต็มไปหมด ช่วยลดความทะเยอทะยานและความปรารถนาในชีวิตของเราลงได้ ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการพัฒนาสติสัมปชัญญะต่อความตาย เพราะวันนี้คือวันแห่งความสุขของเขา พรุ่งนี้ก็ต้องเป็นวันแห่งความทุกข์ของเราเราอาจต้องเจอมันในวัฏจักรแบบนี้ เมื่อมีเวลาว่างก็แสวงหาความรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๖ โดยตรง ความรู้ผ่านอักษรก็ไม่ใช่ความรู้ผ่านประสบการณ์ ต้องอาศัยการคิดและจินตนาการว่าได้ไปชมสะพานไม้ครบุรี ๑๐๐ ปี บ้านโคกกระชาย เมืองครบุรี แล้วเห็นว่ามันสวยงามแค่ไหน น่าจะเป็นการยกตัวอย่างความสวยงามที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง เพราะแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ เป็นที่ชื่นชมของช่างภาพและแชร์กันในโลกออนไลน์ ในฐานะครูสอนสุนทรียศาสตร์เชิงวิเคราะห์ เราก็อยากรู้สะพานแห่งนี้สวยงามเพียงใดทั้งที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง แต่พอไปถึง ก็มีคนเดินเข้ามาชมความสวยงามของสะพานไม้ครบุรี ๑๐๐ ปีเต็มไปหมด สมณะย่อมไม่สะดวกที่จะเดินทางไปศึกษาท่ามกลางผู้คนจำนวนมากขนาดนั้น เราจึงเดินทางกลับไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น