The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ปัญหาญาณวิทยาในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ?

Problems of epistemology in the Mahachula edition of the Tripitaka
๑.บทนำ 
๒.ความหมายของญาณวิทยา
๓.ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์
๔.องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์  
๕.วิธีการแสวงหาความรู้ 
๖.ความเหตุสมผลของความรู้    

๑.บทนำ 

           โดยทั่วไปแล้ว   มีเรื่องราวมากมายและหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิตมนุษย์  อาจเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับมนุษย์     โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก็ได้    และข้อพิสูจน์ความเห็นเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า เช่น   พระพรหมและพระอิศวรที่ได้ยินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน    เมื่อมนุษย์ได้รับรู้และเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ สั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจก็เกิดความสงสัยเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเรื่องราวเหล่านั้น       ทำให้มนุษย์คิดหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องเหล่านั้น  แต่มนุษย์หลายคนที่เรียกว่า"นักปรัชญา"  ก็ชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนั้นต่อไป    โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่สงสัยนั้นและรวบรวมหลักฐานต่าง  ๆ ให้เพียงเพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้     เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นเป็นต้น     ตัวอย่างเช่นเจ้าลัทธิต่าง ๆ  สอนว่ากายกรรมที่ทำต่อกันนั้นไม่ผลต่อกัน มีทั้งกรรมที่เป็นกุศล  เป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น     สามารถเห็นได้โดยตรงในชีวิตประจำวันของมนุษย์  สิ่งที่เกิดขึ้นสามารถรับรู้ได้โดยประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง             หรือสื่อสังคมออนไลน์บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตที่คนทั่วโลกแบ่งปันเป็นความรู้ให้มนุษย์ได้ถอดบทเรียนในเรื่องนั้น และนำความรู้ได้จากการคาดคะเนความจริงในเรื่องนั้นเพื่อหาเหตุผลมาสอนผู้อื่น   หรือใช้ในการออกกฎหมาย  เพื่อปกป้องคุมครองผู้คนมากมายในสังคมมนุษย์  ที่ขาดการศึกษาเรียนรู้ความคิดของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา    มิให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน    ส่วนกรรมอันเป็นอกุศลที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคน   เกิดจากตัณหาราคะของมนุษย์  ความคิดของมนุษย์จึงมีความสลับซับซ้อนยากแท้หยั่งถึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถแยกแยะข้อความคิดเห็นใดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องใดเป็นเท็จ   ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต          และทรัพย์ของมนุษย์เป็นอันมากในแต่ละปีหรือเหตุกาลในอดีตผ่านไปหลายพันปี 
 ๒.ความหมายของญาณวิทยา     เป็นสาขาวิชาหนึ่งของปรัชญาที่แยกเนื้อหาของตนออกมาจากปรัชญา  แต่ก็ยังเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา     เมื่อเนื้อหาของปรัชญา     ที่มีบ่อเกิดจากความรู้ผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจ แล้วคิดหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ        นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์นั้น   องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ วิธีของมนุษย์ในการแสวงหาความรู้ที่เรียกว่า "วิธีพิจารณาความจริง"ของปรัชญา  ความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์  และญาณวิทยามีหน้าที่ให้คำตอบกับสังคมในปัญหาที่สังคมสงสัยว่า  "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริงในเรื่องนั้น ๆ  ?   โดยทั่วไป  ความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของมนุษย์นั้น  มีทั้งข้อเท็จจริงที่เป็นจริงหรือเป็นเท็จ  เมื่อจิตใจของมนุษย์อาศัยร่างกายเชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ     และเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา   มันคงอยู่ในสถานะชั่วระยะเวลาหนึ่ง  แล้วสลายตัวไปในอากาศธาตุ   แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาของมนุษยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนว่า ธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้น เมื่อรู้สิ่งใดก็จะเก็บอารมณ์ของสิ่งนั้น สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์         นอกจากรับรู้และเก็บอารมณ์เหล่านั้นเป็นหลักฐานแล้ว  ก็จะคิดจากหลักฐานทางอารมณ์ที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์นั้น      เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น    แต่เมื่อมนุษยรู้แล้วได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นและปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้นั้น   ยังไม่ชัดเจนในความเป็นของเรื่องนั้น ใครชอบหาความรู้ในเรื่องนั้นต่อไป  จำเป็นต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเป็นข้อมูลใช้วิเคราะห์  เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงในเรื่องนั้นต่อไป
 ๓.ต้นกำเนิดความรู้ของญาณวิทยา   โดยทั่วไป เมื่อมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖     ในร่างกายของตนเองมีข้อจำกัดในการรับรู้และเป็นคนเห็นแก่ตัว   จึงชอบอคติต่อผู้อื่นที่มีทักษะความสามารถในชีวิตดีกว่าตน เกิดความไม่รู้ของตนเอง     มีปัญหาเพิ่มเติมที่ผู้เขียนสงสัยว่าบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์มาจากไหน      เมื่อผู้เขียนศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าชีวิตมนุษย์มีวิญญาณเป็นแก่นแท้ของชีวิต  และอาศัยอยู่ในร่างกายเพื่อสั่งสมอารมณ์ต่าง ๆ        ที่เป็นวัตถุและนามธรรมไว้ในจิตวิญญาณของตัวเอง  หากจิตของมนุษย์สั่งสมแล้วและเกิดความพอใจ   จิตของมนุษย์ก็อยากได้ ก็จะลงมือแสวงหาสิ่งนั้นมาตอบสนองความต้องการของตัวเอง ดังนั้นจิตวิญญาณมนุษย์มีการเวียนว่ายเกิดในสังสารวัฏ    เมื่อวิญญาณมาพร้อมกรรมติดตัวมาซึ่งเป็นความรู้สั่งสมไว้ในจิต  จนเป็นสัญญานอนเนื่องอยู่ในจิตอย่างนั้น  ความรู้ติดตัวมาแต่กำเนิดจะไม่มีประโยชน์อันใด   หากไม่ใช้ในการพัฒนาศักยภาพชีวิต ให้มีทักษะทางธุรกิจในอาชีพที่ชอบในยุคสมัยปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า     วิชาความรู้ซึ่งเป็นหลักสูตรเปิดสอนในสถาบันการศึกษาในประเทศไทย          และต่างประเทศทั่วโลกนั้นเป็นความรู้ที่พัฒนาจากการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลของคำตอบในผัสสะของมนุษย์ที่เรียกว่า    นักวิชาการ  นักปรัชญา  นักวิทยาศาสตร์และได้อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ   เพื่อสนับสนุนการให้เหตุผลของความรู้ของคน ๆ  หนึ่งคือความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผลและมีเป็นสากล เมื่อผู้อื่นนำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้เหตุผลของคำตอบเช่นเดียวกัน 
๑.ความรู้คืออะไร (What is knowledge) 
 เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามว่า"ความรู้" คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือได้รับจากประสบการณ์ทางผัสสะ รวมทั้งความสามารถเชิงทักษะ เช่น ความรู้เชิงประวัติศาสตร์สิ่งที่ได้รับจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือ การปฏิบัติ เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับจากประสบการณ์ เช่น ผู้ชายคนนี้เก่ง แต่ไม่มีความรู้เรื่องผู้หญิง (๑)  จากคำนิยามจากที่มาของความรู้ดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนตีความได้ว่า ความรู้เป็นมนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมนุษย์สั่งสมไว้ในจิตของชีวิตตนเอง  เกิดจากวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า ประสบการทางผัสสะ ความสามารถเชิงทักษะ เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผล ปราศจากข้อพิรุธสงสัยในเหตุผลของคำตอบว่าเป็นความจริงอีกต่อไป และจากคำนิยามดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนความได้ดังต่อไปนี้

 ๑.๑.ความรู้เป็นสิ่งสั่งสมในประเด็นที่กล่าวนี้ ผู้เขียนตีความได้ว่า เมื่อจิตเป็นสาระอันเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ จิตอาศัยร่างกายเป็นผู้รับรู้ความรู้เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกชีวิตมนุษย์ เมื่อจิตรับรู้แล้วโน้มรับความรู้นั้นเข้ามาสั่งสมภายในจิตตน ถ้าสิ่งผัสสะนั้นเป็นวัตถุเช่น รถยนต์นั้น คงไม่มีใครเอารถยนต์สั่งสมไว้ในจิตตนได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีรูปร่างคงได้เฉพาะอารมณ์เรื่องรถยนต์เท่านั้นไว้ในจิตของตนเพราะจิตเป็นอรูป เป็นนามธรรมอาศัยร่างกายนี้อยู่เท่านั้น อารมณ์ของสิ่งต่างๆที่สั่งสมอยู่ในจิตนั้นมิได้สูญหายไปไหนนอนเนื่องจิตอย่างนั้น เมื่อเราเรียนจบหลักสูตรในมหาวิทยาลัยความรู้ที่เคยศึกษาก็ติดตัวมาสู่สถานที่ประกอบธุรกิจการงานของตน เพื่อนำความรู้นั้นมาใช้ในการทำงานให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ หากเราไม่มีตั้งศึกษาค้นคว้าก็ขณะเรียนในมหาวิทยาลัย ก็จะไม่มีความรู้สั่งสมอยู่ในจิตตนก็คิดการทำงานใดก็ไม่เท่าทันคนอื่นที่มีความรู้พร้อมมากกว่าตน จะคิดเรียนเพิ่มเติมคนอื่นก็เลื่อนชั้นของหน้าที่การงานไปไกลมากกว่าตนเองแล้ว 

     จิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่รูปร่างอาศัยร่างกายนี้เป็นให้ดำรงชีวิตต่อไปอีกเพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจเป็น ๑๐ หรือ ๒๐ หรือ ๑๐๐ ปีเท่านั้น ก็ออกจากร่างไปจุติจิตไม่มีวันหวนกลับมาสู่ร่างเดิมได้เพราะเสื่อมสลายไปแล้วจิตอาศัยอินทรีย์ ๖ ส่วนของร่างกายมนุษย์เป็นทวารเชื่อมความรู้ภายนอกชีวิตมนุษย์ได้ เมื่อจิตมนุษย์มีลักษณะเป็นอรูป ต้องอาศัยร่างกายโน้มออกไปรู้อารมณ์ต่างๆ มาสั่งสมให้มีอยู่ในจิตของมนุษย์ เมื่อจิตเป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง สิ่งที่มาสั่งสมอยู่ในจิตย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไปด้วย วัตถุแห่งกิเลสเช่นรถยนต์ คอนโด บ้านพักอาศัยและคนรัก เป็นต้น เป็นสิ่งที่มีรูปพรรณสัณฐาน  มนุษย์ไม่สามารถเอาสิ่งมีรูปร่างเหล่าสั่งสมอยู่ในจิตได้ ได้แต่เพียงอารมณ์และเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นไม่มีรูปร่างนั้นมาสั่งสมไว้ในจิตได้  ส่วนทักษะการใช้แอฟฟริ่เคชั่นของการใช้คอมพิวเตอร์เช่นกัน เมื่อใช้บ่อยๆ ย่อมเกิดทักษะความชำนาญใช้ได้อย่างคล่องแคล้วว่องไวนั้น  มัแต่อารมณ์ทักษะการใช้เท่านั้น ที่เป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตนั้นเท่านั้น               


๑.๒ความรู้สั่งสมจากการเล่าเรียน

 ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ นั้นได้นิยามคำว่า ศึกษา คือการเล่าเรียน การฝึกฝน และอบรม เป็นต้น การเล่าเรียนคือการศึกษาด้วยการท่องบ่น ค่าถาอาคม ท่องบ่นการสวดมนต์ ท่องบ่นไวยากรณ์ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เป็นต้นผู้เขียนวิเคราะห์ได้ดังนี้เมื่อเราศึกษาความรู้ในตำราที่เราอ่านนั้นก็จะเกิดการสั่งสมเก็บไว้ในจิตของผู้อ่าน การเล่าเรียนด้วยการท่องบ่น จิตก็จะเก็บสะสมไว้ในจิตตนนั้น ในยามจำเป็นของชีวิต ก็นำความรู้ออกมาจากจิตมาใช้ได้เลย เป็นต้น  ส่วนคำว่า ฝึกฝนหมายถึงความเพียรฝึก พยายามฝึกให้เกิดความชำนาญ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์เป็นต้น การเตะตะกร้อ เตะฟุตบอล เป็นต้น ส่วนคำว่าอบรมนั้น หมายถึงการพร่ำสอนให้ซึ่มซับเข้าไปในจิตจนเป็นนิสัย เป็นต้นเช่น สอนให้คิดเลขอยู่ในใจจนสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขเป็นต้น ชี้แจ้งให้คนนั้นเข้าใจในสิ่งตนต้องการว่ายังไม่มีต้องอดทนรอ  ขัดเกลานิสัย เช่นรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  เป็นต้น

     ๑.๓.ความรู้เป็นสิ่งสั่งสมจาการค้นคว้า ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามคำว่าค้นคว้าคือการหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนตามหลักวิชาการ การเสาะหาเอามาเป็นต้น  เช่น การศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลของคำว่า "นิพพาน" มีการนิยามไว้ในพจนานุกรมหลายฉบับด้วยกัน ตามพจนานุกรมของอ.เปลื้อง ณ.นคร ได้อธิบายคำว่า "นิพพาน" หมายถึงความสิ้นกิเลสและพระพุทธเจ้าทรงค้นว่าจิตห่อหุ้มด้วยกิเลสอย่าหนาแน่น คือความโลภ ความโกรธ ความหลง และได้ทรงค้นพบวิธีการอย่างหนึ่งในการสำรอกกิเลสออกจากจิตได้คือ มรรค ๘ ถ้าใครปฏิบัติตามมรรค ๘ ได้ (๒) 

   จากคำนิยามนั้นผู้เขียนวิเคราะห์ว่า"ความรู้" ตามคำนิยามของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาว่า "ความรู้" หมายถึงสิ่งที่สั่งสมในชีวิตของมนุษย์ สั่งสมไว้ในจิตในลักษณะเป็นความรู้ที่ห่อหุ้มจิตไว้อย่างหนาแน่น มิใช่ผสมเป็นเนื้อสารเกียวกับจิตของมนุษย์ ความรู้ที่จิตมีอยู่มากมายหลายเรื่องด้วยกันมิใช่สิ่งที่เรียกว่ากิเลสเท่านั้น -ยังมีความรู้ที่เกื้อหนุนชีวิตไปในทางที่ดีสั่งสมอยู่ในจิตเรียกว่ากุศลกรรมหรือความรู้ที่ศึกษาอาจจะเป็นวิชาสังคม วิชาวิทยาศาสตร์และวิชาคณิตศาสตร์ เป็นต้น.  
   
  ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผู้เขียนเห็นว่า ความรู้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จิตตนรับรู้ผ่านอินทรีย์ ๖ จรเข้ามาสู่จิต ธรรมชาติจิตย่อมคิดหาเหตุผลของคำตอบจนเกิดความแน่ใจว่าเป็นความรู้และความจริงในเรื่องนั้นไป ดังนั้นความรู้จึงมีที่มาจากการฟังคำบรรยาย การค้นคว้าจากตำราเรียน หรือการสำรวจจากสถานที่จริงก็ได้ มาจากการทดลองลงมือปฏิบัติจริงเพื่อหาความรู้เรื่องแร่ธาตุต่าง ๆ  จิตน้อมรับเรื่องราวเหล่านั้นมาสั่งสมอยู่ในจิตของมนุษย์กลายเป็นความรู้ของบุคคลนั้นๆ ไป ความรู้จึงเป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตน เป็นต้น          

    ๑.๔ บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ ตามหลักคำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้าในเรื่องวิชชา ๓ นั้นทำให้มนุษย์รู้จักตัวตนที่แท้จริงตนว่า มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริงของตน  หากชีวิตมนุษย์คนใดไม่มีจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายแล้วมนุษย์ผู้นั้นก็จะเสียชีวิตลงไปทันที ดังนั้นจิตเป็นเหตุปัจจัยทีสำคัญทำให้เกิดชีวิตใหม่ของมนุษย์ขึ้นมาชีวิตจึงมีกายและจิตต่างอาศัยซึ่งกันและกันทำให้มนุษย์มีชีวิตดำรงอยู่จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปมิได้ จิตอาศัยร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญในการรับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจรเข้ามาสู่ชีวิตของตนเองตลอดเวลา ส่วนของร่างกายนั้นเรียกว่า "อินทรีย์ ๖ และนักปรัชญาถือว่าอินทรีย์ ๖ เป็นบ่อเกิดของความรู้มนุษย์ทุกคน มนุษย์เป็นสัตว์ที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและเลียนแบบพฤติกรรมวิถีการดำเนินชีวิตของกันและกัน จนกลายเป็นวัฒนธรรมของตนเองหรือเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง และนำไปใช้ประพฤติและปฏิบัติจนเป็นเรื่องปกติของคนในสังคมนั้นๆ ดังนั้นการเกิดวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์นั้น เกิดจากการรับรู้ของจิตแล้วคิดหาเหตุผลจนกลายเป็นความรู้และนำไปนึกคิดจนสู่การประพฤติปฏิบัติจนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมมนุษย์  นอกจากนี้จิตยังมีอาการในความอยากมี อยากเป็น อยากกิน อยากดื่ม ในสิ่งต่างๆ ที่มาผัสสะอินทรีย์ ๖ ที่อยู่ล้อมรอบชีวิตตนเอง จิตวิญญาณของมนุษย์มีการเคลื่อนไหวในการคิดหาสิ่งต่างๆ มาสนองความอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น ของตนเองตลอดเวลา บางครั้งสิ่งที่อยากนั้นอยู่ห่างไกลก็ยอมลงทุนเดินทางไปสู่ที่ต่าง ๆ เพื่อได้มาสิ่งมาสนองอารมณ์อยากของตนเองตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์ต้องการผัสสะอากาศเย็นจึงเดินทางไปสู่ภูเขาสูงที่อยู่ห่างไกลเพื่อผัสสะอากาศเย็น โดยพื้นฐานชีวิตมนุษย์ต้องลิ้มรสชาดของอาหารด้วยเจตนากินเพื่อประทั่งความหิวของตัวเอง แต่ยอมบินไปต่างประเทศเพื่อรับประทานอาหารที่ตนชื่นชอบเป็นต้น ปัญหาต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า มนุษย์ใช้อะไรแสวงหาความรู้ เมื่อวิเคราะห์จากคำสอนเรื่องวิชชา ๓ ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ภาค ๑ [๑๓] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพีงดังเนิน ปราศจากเศร้าหมอง อ่อนเหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ เรานั้นได้น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ  เห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติจิต กำลังอุบัติทั้งชั้นต่ำ และชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและไม่ดีด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์  เรารู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์ที่ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต  กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ผู้อื่นทำกรรมตามความเห็นผิด พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่หมู่สัตว์ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นชอบ และชักชวนผู้อื่นให้ผู้อื่นทำกรรมตามความเห็นชอบพวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นต้น จากข้อความในพระไตรปิฎกดังกล่าวข้างต้นยืนยันอย่างมั่นคงว่า ในชีวิตมนุษย์มีจิต เป็นปัจจัยที่สำคัญ เมื่อมนุษย์พัฒนาชีวิตจนจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ปราศจากเครื่องเศร้าหมองคือกิเลสอยู่ในจิตนั้นแล้วจะมองเห็นเห็นสัตว์น้อยใหญ่ไปจุติจิตนั้น  

  ดังนั้นผู้เขียนวิเคราะห์ได้ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นจิตเป็นผู้แสวงหาความรู้ผ่านอินทรีย์ ๖ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกายที่จิตอาศัยนั้น กล่าวคือ เมือศากยมุนีพระโพธิสัตว์ ทรงพัฒนาศักยภาพของชีวิตด้วยวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ทรงตัดนิวรณ์ไปจนหมดสิ้น จิตของพระองค์ ทรงมีตาทิพย์ ทรงเห็นจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนออกจากร่างไปสู่ภพภูมิต่างๆ มูลเหตุจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น โดยไม่มีใครทำให้ตนเป็น ตนได้ ตนมี  มีแต่ตนเองเป็นผู้กระทำเองเพราะเจตนาของการกระทำมาจากจิตของตนไม่พอใจ เมื่อกระทำไปแล้วทำให้ชีวิตตนมีวิบากกรรม เพราะอารมณ์ของการกระทำหรือพฤติกรรมของการกระทำ กลายเป็นนามธรรมสั่งสมอยู่ในจิตของตนเอง และนอนเนื่องอยู่อย่างนั้น  มิใช่เทพเจ้าองค์ใดบันดาลให้ตนเป็น เช่น การฆ่าผู้อื่นนั้น เกิดจากการกระทำของผู้อื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายตนทำให้จิตตนผัสสะแล้วเกิดความไม่พอใจ จึงแสดงเจตนาด้วยการสมัครใจเข้าต่อสู้เพื่อป้องกันชีวิตของตนเอง  เมื่อผัสสะโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ตนชอบ แต่ตนไม่มีเงินซื้อ จึงตัณหาในความอยากได้ จึงเข้าแย่งชิงทรัพย์สินนั้นมาเป็นของตน  ฉ้อโกงทรัพย์สินโดยเจตนาทุจริตจากตน  แย่งบุคคลที่ตนรักจากการครองครองของตน  เมื่อผู้อื่นได้ดีในหน้าที่การงานเกิดความริษยา เอาพฤติกรรมของไปนินทาในทางที่ไม่ดี เป็นต้น  เมื่อมนุษย์มีความรู้ว่าสสารทุกชนิดมีพลังงานในตัวเอง แม้แต่ตัวมนุษย์เองก็ถือว่าเป็นสสารชนิดหนึ่งที่มีพลังงานของไฟฟ้าสถิต มนุษย์จึงรู้จักหาวิธีสร้างเครื่องมือคอมพิวเตอร์ ที่มีอยู่ในโลกและหาวิธีการใช้พลังงานและสร้างพลังไฟฟ้าขึ้นมา และหาวิธีการใช้ประโยชน์จากพลังไฟฟ้าเหล่านั้น   

จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทำให้มนุษย์ค้นพบว่าชีวิตมีดวงจิตอาศัยอินทรีย์ ๖ ของร่างกายรับรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  เมื่อดวงจิตสงสัยก็ศึกษาค้นคว้าเพื่อหาเหตุผลของคำตอบที่เรามั่นใจเป็นความรู้จริงแท้ปราศจากข้อพิรุธสงสัยในความจริงอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น ในยุคก่อนเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชทรงศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ วิชาศาสนาพราหมณ์ ทรงรับรู้จากครูวิศวามิตรว่า มนุษย์ถูกจากขึ้นมาจากร่างกายของพระพรหม และสร้างวรรณะให้ผู้คนที่พระพรหมทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมา การศึกษาในสำนักการศึกษาของครูวิศวามิตรเพื่อเป็นความติดตัวอยู่ในดวงจิตของพระองค์ เพื่อนำไปใช้ทำงานตามสิทธิและหน้าที่ของวรรณะกษัตริย์ในอนาคตข้างหน้าต่อไป ปัญหาต่อไปต้องพิจารณาคือ เมื่อชีวิตของมนุษย์มีอินทรีย์ ๖ เป็นอวัยวะเชื่อมกับเรื่องราวของความรู้เกี่ยวกับโลกตลอดเวลาปัญหาจึงเกิดคำถามว่า ทำไมมนุษย์จึงจำเป็นต้องแสวงหาความรู้ในสถาบันการศึกษาอีก นอกจากนี้เมื่อเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้คนที่อยู่บนโลกในหลายร้อยปีที่ผ่านมา เราได้ค้นพบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ หลายคนมิใช่บุคคลที่มีระดับการศึกษาปริญญาเอกและจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่มนุษย์ยกย่องว่าดีที่สุดในโลกแต่อย่างใด แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังประสบความสำเร็จในชีวิตได้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อศึกษาเข้าไปถึงองค์กรบริษัทต่าง ๆที่เข้าสร้างอาณาจักรด้านธุรกิจขึ้นมา ผู้บริหารส่วนใหญ่ก็จบการศึกษาในระดับปริญญาเอกทั้งสิ้นขณะเดียวกันเขามีแนวคิดว่า หากมนุษย์ไม่มีการศึกษา ย่อมไม่มีความรู้ที่นำไปพัฒนาศักยภาพของตนเองได้โดยการคิดและจินตนาการเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและช่วยเหลือประเทศชาติได้ เมื่อมนุษย์ต้องการพัฒนาบ้านเมืองประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า ต้องอาศัยกำลังความคิดสติปัญญาและช่วยกันลงมือกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกัน หากมนุษย์ไม่มีความรู้ไปในทางเดียวกันย่อมเข้าใจวัตถุ ประสงค์ของการร่วมมือกันทำงานแตกต่างกันจึงเป็นเรื่องยาก       ที่จะพัฒนาองค์กรที่ตนทำด้วยจะเดินทางไปแนวเดียวกันได้ เพราะจะทำให้มีผู้เห็นด้วยและไม่เห็นดีด้วยกันในแนวคิดของการพัฒนาในกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทำขึ้นมาเพื่อให้การพัฒนาประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองได้รับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต แม้ในปัจจุบันเมื่อมีการตั้งสถาบันการศึกษาเกิดขึ้นมากมายแต่ผู้คนที่สำเร็จการศึกษาส่วนหนึ่งยังเป็นปัญหาของสังคมเช่นเดิม แม้จะเข้าสู่ระบบการศึกษาก็ตาม ดังนั้นผู้เขียนจึงเกิดความสนใจว่าอยากเขียนเรื่องความรู้ว่าคืออะไร ความรู้มีลักษณะอย่างไร เมื่อศึกษาแล้วจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจและใฝ่ที่จะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรู้ไปใช้ในชีวิตยิ่ง ๆ  ขึ้นไ.
บรรณานุกรม 
๑. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ (ออนไลน์) http://www.royin.go.th /dictionary/  
๒.พจนานุกรมของ อ.เปลื้อง ณ.นคร http://dictionary. sanook.com/search/นิพพาน. 
๓.โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑ หน้า : ๖
     

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ