Metaphysical problems concerning the truth of Prince Siddhartha
บทนำ ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะ
ในการศึกษาความจริงเรื่องสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น เป็นเรื่องราวที่สืบต่อกันมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีที่ผู้คนในสมัยนั้น สามารถรับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และเก็บเรื่องราวนั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในใจผู้คนในสมัยนั้น สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงตามความเห็นของผู้คนในสมัยนั้น และความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มักสูญหายไปพร้อมกับการเสียชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น เป็นปัญหาปรัชญาที่น่าสนใจที่ควรศึกษาเพราะมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับมนุษย์ เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า "นักปรัชญา" พระพุทธศาสนาเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของนักวิทยาศาสตร์เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมีองค์ประกอบของชีวิตที่เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ จิตใจของมนุษย์ใช้อายตนะภายในร่างกายของตนเอง เป็นสะพานเชื่อมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือ เหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อเกิดสภาวะเหล่านี้ขึ้น สภาวะเหล่านี้จะคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วจะหายไปจากสายตาของมนุษย์
แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ได้ใช้อายตนะภายในร่างกาย รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและสั่งสมไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่เพียงรับรู้ และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีธรรมชาติของการคิดอีกด้วย เมื่อรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เขาก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ
ตัวอย่างเช่นในสมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ ผู้คนในแคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะ เชื่อในคำสอนของศาสนาพราหมณ์เกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆ อีกมากมาย พระพรหมทรงสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา พระองค์ทรงเป็นนักปรัชญา ผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงมองเห็นปัญหาของจัณฑาล ที่ถูกสังคมลงโทษด้วยการลง"พรหมทัณฑ์" และดำรงชีวิตอย่างคนไร้บ้านไปตลอดชีวิต เนื่องจากพวกเขาได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง ข้อหาฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เป็นต้น
๒.ประเภทความรู้ทางปรัชญา
เนื่องจากอภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา นักปรัชญาจึงสนใจศึกษาปัญหาของความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์มีออายตนะภายในร่างกาย มีความสามารถจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้าในชีวิตได้อย่างจำกัดและมีอคติต่อผู้อื่นทำให้ชีวิตมืดมน เมื่อนักปรัชญา นักตรรกะเหล่านั้น ได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักแสดงความเห็นของเรื่องนั้นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล และการคาดคะเนความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น การใช้เหตุผลของนักตรรกะและนักปรัชญาเหล่านั้น บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกบ้าง บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนี้ หรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนั้นบ้าง
เมื่อปัญหาของความจริงที่นักปรัชญาสนใจศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์โลก จักรวาล ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่ขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น แต่ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เกิดจากการคิดเห็นจากประสบการณ์ของชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์ หรือประสบการณ์ของปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ของมนุษย์ เกิดการได้รับรู้ความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการเข้าใจความรู้ทางปรัชญา เราจึงแยกประเภทความจริงทางอภิปรัชญาได้ ๒ ประเภทคือ
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์
๓.ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน
![]() |
Ancient Kapilvastu |
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลเรื่อง "วรรณะ" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเล่มที่ ๒๘ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกายชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๖.ภูริทัตตชาดก ๖.ภริทัตตชาดก [๙๐๖.] พวกมหาพราหมณ์ถือการสาธยายพระเวท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการเกษตรกรรม พวกศูทร ยึดการรับใช้วรรณะทั้ง๔ เข้าถึงการงานตามอ้างมาแต่ละอย่างมหาพรหมผู้มีอำนาจสร้างไว้



ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า แคว้นสักกะเป็นรัฐนับถือศาสนาพราหมณ์ มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยตรากฎหมายวรรณะจารีตประเพณีและแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร โดยให้ประชาชนทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิด โดยพราหมณ์อ้างว่าพระพรหมสร้างชนวรรณะขึ้นมา จึงให้ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะตนเกิดมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์ จึงมีสิทธิหน้าที่ปกครองแคว้นสักกะตามวรรณะที่พระองค์ทรงประสูติมา การบริหารปกครองของชนวรรณะกษัตริย์ทุกคน มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองแคว้นสักกะ โดยทำหน้าที่เป็นสมาชิกรัฐสภาบัญญัติกฎหมายต่าง ๆ สมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศให้เป็นไป โดยสงบเรียบร้อยถูกต้องตามหลักศีลอันดีของประชาชน และสมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นตุลาการพิจารณาอรรถคดีให้เป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่ประชาชน
ธรรมของกษัตริย์ เป็นกฎหมายสูงสุดเป็นระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองแคว้นเรียกว่า "อปริหานิยธรรม" เป็นหลักนิติศาสตร์สูงสุดในการบริหารปกครองประเทศ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร เป็นผู้มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ตนเกิดมา และกฎหมายนี้จำกัดสิทธิหน้าที่ของพวกจัณฑาลมิให้ประกอบอาชีพของชนวรรรณะอื่น เพราะเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะของบิดากับมารดา ทำให้ลูกกำเนิดมามีสายเลือดไม่บริสุทธิ์เพราะฝ่าฝืนความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพรหม อันเป็นการขัดต่อจารีตประเพณีความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในแคว้นโดยชนวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองประเทศ ในรูปแบบรัฐสภาศากยวงศ์ มีธรรมกษัตริย์ เป็นหลักนิติศาสตร์จารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารปกครองประเทศสักกะ (แคว้นสักกะ) เรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม" เป็นหลักธรรมสูงสุดที่กฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติออกมาภายหลังจะมาโต้แย้งหรือขัดแย้งหลักธรรมกษัตริย์นี้มิได้เลย
ประชาชนในประเทศนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง เป็นผู้สร้างประชาชนชาวสักกะขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์ ให้สิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่ประชาชนที่สร้างขึ้นมาตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น มีความเชื่อได้รับการทำนายว่าชีวิตของพระองค์นั้น หากดำรงพระชนม์ชีพเป็นฆราวาสวิสัยแล้ว จะเป็นพระมหากษัตริย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง และหากพระองค์ทรงออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลกทรงเป็นพระราชโอรสองค์โต เตรียมความพร้อมเป็นกษัตริย์ได้รับการศึกษาด้านศิลปศาสตร์จนสำเร็จการศึกษา ๑๘ สาขาวิชาด้วยกัน เมื่อพระชนมมายุได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพายโสธรา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาท ๓ ฤดูอย่างมีความสุข มีบริวารคอยรับใช้จำนวน ๔๐,๐๐๐ คน เมื่อพระองค์ทรงใช้ชีวิตในพระราชวังกบิลพัสดุ์ที่ประทับส่วนพระองค์ เป็นเวลา ๑๓ ปี พระทัย (จิต) ของทรงเกิดอาการ นิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) ของการผัสสะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ผัสสะด้วยความมัวเมาต่อเนื่องกันเป็นเวลา ๑๓ ปีอาการนิพพิทาของจิต

ปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬา ฯ] สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๑๑.นิพพิทาพหุลสูตรว่าด้วยผู้มากด้วยความเบื่อหน่าย[๑๔๖] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายกุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธามีธรรมอันเหมาะสมคือพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในรูปอยู่....ในเวทนา ..ในสัญญา....ในสังขารพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ผู้ใดมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ผู้ใดมากด้วยเบื่อหน่ายในรูป.....ในเวทนา......ในสัญญา....ในสังขารมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ก็จะกำหนดรู้รูป.... เวทนา .... สัญญา ...สังขาร กำหนดรู้วิญญาณผู้นั้นเมื่อกำหนดรู้รูป กำหนดรู้เวทนากำหนดรู้สัญญา กำหนดรู้สังขาร กำหนดรู้วิญญาณ ย่อมพ้นจากรูป ย่อมพ้นจากเวทนา ย่อมพ้นจากสัญญา ย่อมพ้นจากสังขาร ย่อมพ้นจากวิญญาณเรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และย่อมพ้นจากทุกข์ ข้อเท็จจริงจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังได้เป็นข้อยุติว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในผัสสะที่ทรงมัวเมาในรูปกลิ่น เสียง รส โผฏรัพพะ และธัมมารมย์ เป็นเวลายาวนานถึง ๑๓ ปี ทำให้พระองค์เกิดอาการของจิตคือเบื่อหน่ายในรูปที่ผัสสะเป็นประจำทุกวัน เวทนาเป็นอาการความรู้สึกสุข เป็นประจำทุกวัน สัญญาเป็นอาการของจิตที่สั่งสมเรื่องราวของความมัวเมาในอารมณ์ ที่เคยผัสสะเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น เมื่อนิพพิทาแล้วก็รู้เบื่อหน่ายในสิ่งที่พระองค์เคยมัวเมานั้นอีกต่อไปตัดสินพระทัยออกจากพระราชวังเที่ยวชมพระนครกบิลพัสดุ์ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น