Metaphysical problems concerning the truth of Prince Siddhartha
บทนำ ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะ
ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับสถานที่ประสูติของเจ้าสิทธัตถะนั้น เป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจและควรศึกษาอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า"นักปรัชญา", พระพุทธศาสนาเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า, และวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยทั่วเไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมีองค์ประกอบของชีวิตเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ เป็นต้นจิตของมนุษย์มีหน้าที่ใช้อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งสภาวะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และก็เสื่อมสลายไปในอากาศธาตุ แต่ก่อนที่จะเลือนหายไปจากสายตาของมนุษย์ จิตมนุษย์ก็รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดขึ้น จิตก็ทำหน้าที่โน้มรับอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของมนุษย์มิได้มีหน้าที่รับรู้, เก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แต่จิตมนุษย์มีธรรมชาติเป็นผู้คิด เมื่อรู้สิ่งไหนก็คิดจากสิ่งนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ ตัวอย่างเช่น ในสมัยเจิญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ ผู้คนในแคว้นสักกะหรือแคว้นโกฬิยะเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์ถึงการมีอยู่จริงของพระพรหมแลพระอิศวร พระพรหมณ์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากร่างกายของพระพรหม นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงของชีวิตมนุษย์ว่าชีวิตมนุษย์คืออะไร เมื่อผู้เขียนการศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ พวกพราหมณ์เรียกอีกหนึ่งว่านักปรัชญาศาสนาพราหมณ์สอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ พระพุทธศาสนาเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องศึกษาภูมิหลังพระพุทธเจ้าเพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการออกผนวชของพระองค์ เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง สามารถนำความรู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้พัฒนาศักยภาพของตนเองได้จนสามารถบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากข้อความในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ รับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่า
Ancient kapilavastu |
๒.สถานที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงสูติที่สวนลุมพินี แคว้นสักกะ ดังปรากฏหลังฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) ขุททกนิกาย อปทานภาค ๒ [๕๕.ภัททิยวรรค] กาฬุทายีเถราปทาน ข้อ [๑๘๓] ครั้งนั้นเจ้าชายสิทธัตถะผู้ทรงเป็นผู้องอาจกว่านรชน ได้ประสูติแล้ว ที่สวนลุมพินีที่น่ารื่นรมย์เพื่อเกื้อกูลและเพื่อความสุขแก่สัตว์โลกทั้งมวล
แคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลเรื่องวรรณะจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๖.ภูริทัตตชาดก ๖.ภริทัตตชาดก [๙๐๖.] พวกมหาพราหมณ์ถือการสาธยายพระเวท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการเกษตรกรรม พวกศูทร ยึดการรับใช้ วรรณะทั้ง ๔ เข้าถึงการงานตามอ้างมาแต่ละอย่าง มหาพรหมผู้มีอำนาจสร้างไว้ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้ว่า แคว้นสักกะนั้นเป็นรัฐศาสนาเพราะ มีการปกครองสามัคคีธรรม โดยออกกฎหมายจารีประเพณีแบ่งประชาชนเป็นวรรณะ ๔ พวก ได้แก่ พวกพราหมณ์ พวกกษัตริย์ พวกแพศย์ และพวกศูทร โดยให้ประชาชนทำงานตามหน้าที่ในวรรณะที่ตนเกิดมานั้น โดยพระพรหมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างงานไว้ให้ชนวรรณะต่าง ๆ ที่พระองค์สร้างขึ้นมาให้ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะตนเกิดมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์ จึงมีสิทธิหน้าที่ปกครองแคว้นสักกะ ตามวรรณะที่พระองค์ทรงประสูติมา การบริหารปกครองของชนวรรณะกษัตริย์ทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารปกครองแคว้นสักกะ โดยทำหน้าที่เป็นสมาชิกรัฐสภาบัญญัติกฎหมายต่าง ๆ สมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อยถูกต้องตามหลักศีลอันดีของประชาชนและสมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นตุลาการพิจารณาอรรถคดีให้เป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่ประชาชนธรรมของกษัตริย์ เป็นกฎหมายสูงสุดเป็นระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองแคว้นเรียกว่า "อปริหานิยธรรม" เป็นหลักนิติศาสตร์สูงสุดในการบริหารปกครองประเทศโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร เป็นผู้มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ตนเกิดมา และกฎหมายนี้จำกัดสิทธิหน้าที่ของพวกจัณฑาลมิให้ประกอบอาชีพของชนวรรรณะอื่นเพราะเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะของบิดากับมารดา ทำให้ลูกกำเนิดมามีสายเลือดไม่บริสุทธิ์เพราะฝ่าฝืนความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพรหม อันเป็นการขัดต่อจารีตประเพณีความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในแคว้น โดยชนวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองประเทศ ในรูปแบบรัฐสภาศากยวงศ์มีธรรมกษัตริย์เป็นหลักนิติศาสตร์จารีตประเพณีสูงสุด ในการบริหารปกครองประเทศสักกะ (แคว้นสักกะ) เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" เป็นหลักธรรมสูงสุดที่กฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติออกมาภายหลังจะมาโต้แย้งหรือขัดแย้งหลักธรรมกษัตริย์นี้มิได้เลย ประชาชนในประเทศนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ มีความเชื่อว่า พระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง เป็นผู้สร้างประชาชนชาวสักกะขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์ ให้สิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่ประชาชนที่สร้างขึ้นมาตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น มีความเชื่อได้รับการทำนายว่าชีวิตของพระองค์นั้น หากดำรงพระชนม์ชีพเป็นฆราวาสวิสัยแล้วจะเป็นพระมหากษัตริย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง และหากพระองค์ทรงออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตเตรียมความพร้อมเป็นกษัตริย์ได้รับการศึกษาด้านศิลปศาสตร์จนสำเร็จการศึกษา ๑๘ สาขาวิชาด้วยกัน เมื่อพระชนมมายุได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพายโสธรา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาท ๓ ฤดูอย่างมีความสุข มีบริวารคอยรับใช้จำนวน ๔๐,๐๐๐ คน เมื่อพระองค์ทรงใช้ชีวิตในพระราชวังกบิลพัสดุ์ที่ประทับส่วนพระองค์ เป็นเวลา ๑๓ ปี พระทัย (จิต) ของทรงเกิดอาการ นิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) ของการผัสสะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ผัสสะด้วยความมัวเมาต่อเนื่องกันเป็นเวลา ๑๓ ปีอาการนิพพิทาของจิต
ปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬา ฯ] สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๑๑.นิพพิทาพหุลสูตรว่าด้วยผู้มากด้วยความเบื่อหน่าย[๑๔๖] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายกุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธามีธรรมอันเหมาะสมคือพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในรูปอยู่....ในเวทนา ..ในสัญญา....ในสังขารพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ผู้ใดมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ผู้ใดมากด้วยเบื่อหน่าย ในรูป.....ในเวทนา......ในสัญญา....ในสังขารมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ก็จะกำหนดรู้รูป.... เวทนา .... สัญญา ...สังขาร กำหนดรู้วิญญาณผู้นั้นเมื่อกำหนดรู้รูป กำหนดรู้เวทนากำหนดรู้สัญญา กำหนดรู้สังขาร กำหนดรู้วิญญาณ ย่อมพ้นจากรูป ย่อมพ้นจากเวทนา ย่อมพ้นจากสัญญา ย่อมพ้นจากสังขาร ย่อมพ้นจากวิญญาณเรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และย่อมพ้นจากทุกข์ ข้อเท็จจริงจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังได้เป็นข้อยุติว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในผัสสะที่ทรงมัวเมาในรูปกลิ่น เสียง รส โผฏรัพพะ และธัมมารมย์ เป็นเวลายาวนานถึง ๑๓ ปี ทำให้พระองค์เกิดอาการของจิตคือเบื่อหน่ายในรูปที่ผัสสะเป็นประจำทุกวัน เวทนาเป็นอาการความรู้สึกสุข เป็นประจำทุกวัน สัญญาเป็นอาการของจิตที่สั่งสมเรื่องราวของความมัวเมาในอารมณ์ ที่เคยผัสสะเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น เมื่อนิพพิทาแล้วก็รู้เบื่อหน่ายในสิ่งที่พระองค์เคยมัวเมานั้นอีกต่อไปตัดสินพระทัยออกจากพระราชวังเที่ยวชมพระนครกบิลพัสดุ์ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น