The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แนวคิดทางอภิปรัชญาเกี่ยวกับลุมพินี สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ

   Metaphysical concepts about  Lumbini,  the birthplace  of Prince Siddhartha

บทนำ   ความจริงเกี่ยวกับสถานที่ทีประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ 

        ชาวพุทธทั่วโลกได้ยินเรื่องลุมพินีสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะที่บรรพบุรุษได้เล่าให้ลูกหลานฟังสืบทอดกันมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว ในสมัยอินเดียโบราณนั้น ผู้คนสามารถรับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องราวนี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในใจของตน  แต่ชาวพุทธมีลักษณะไม่เพียงแต่รับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น  ชีวิตพวกเขายังมีลักษณะของการเป็นนักคิดอีกด้วย  เมื่อพวกเขารู้สิ่งไหนก็มักจะคิดจากสิ่งนั้นโดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งนั้นโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือ ที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของลุมพินี, ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะได้อย่างสมเหตุสมผล  อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ตามความรู้เกี่ยวกับเรื่องสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งสั่มสมไว้ในจิตใจของเจ้าชายสิทธัตถะ มักสูญหายไปพร้อมกับความตายของผู้คนในสมัยนั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ปัญหาการสูญหายของความรู้ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์หลายองค์ในสมัยหลังพุทธกาล ประชุมกันเพื่อพิจารณาที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่  ๆ เพื่อธำรงรักษาความรู้หรือธรรมวินัยของพระพทธเจ้าไว้ โดยจัดการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกฉบับมคธเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งมีพระเจ้าอชาติศัตรูเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ด้วยวิธีการมุขปาฐะ หรือในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ ได้นิยามว่ามุขปาฐะคือการต่อปากกันมา, การบอกเล่าต่อ ๆ กันมาโดยมิได้เขียนเป็นลักษณ์อักษร เป็นต้น ในยุคต่อมาก็มีการจารึกพระไตรปิฎกลงบนแผ่นหินอ่อนบ้างหรือใบลานบ้าง ในยุคปัจจุบันทึกลงพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระไตรปิฎกฉบับหลวง บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตบ้าง เป็นต้น

      นี่คือ ประเด็นทางปรัชญาที่น่าสนใจและควรค่าแก่ศึกษาเพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์ เมื่อปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า "นักปรัชญา" พระพุทธศาสนาคือความรู้ของพระพุทธเจ้า วิทยาศาสตร์คือความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมีองค์ประกอบชีวิตที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ  จิตใจมนุษย์ใช้อายตนะภายในเป็นสะพานเชื่อมไปยังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อเกิดสภาวะเหล่านี้ขึ้น สภาวะเหล่านี้ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนจะหายไปจากสายตาของมนุษย์  

     แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านี้ จะหายไปจากสายตามนุษย์ จิตใจมนุษย์ใช้อายตนะภายในร่างกาย เพื่อรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น และสั่งสมไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรับรู้ และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้นยังรวมถึงการคิดด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขาก็จะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบนั้น  ตัวอย่างเช่นในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ ชาวเมืองสักกะและเมืองโกลิยะ ต่างเชื่อในคำสอนของศาสนาพราหมณ์เกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมและเทพเจ้าองค์อื่น ๆ พระพรหมทรงสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง    และบัญญัติกฎหมายวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติตามหน้าที่วรรณะที่ตนเกิดมา  เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา  พระองค์ทรงในฐานะนักปรัชญาและนักตรรกะผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงตระหนักถึงปัญหาของจัณฑาลที่ถูกสังคมลงโทษ โดยอ้างว่าเป็นการลง"พรหมทัณฑ์"หรือการลงโทษของพระพรหม พวกเขาต้องถูกบังคับให้ถูกขับไล่ออกจากบ้านตลอดชีวิต  กลายเป็นคนไร้บ้าน เนื่องจากพวกเขาได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เป็นต้น   

๒.ประเภทความจริงทางปรัชญา 

     เนื่องจากอภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา นักปรัชญาจึงสนใจศึกษาปัญหาของความจริงเกี่ยวกับมนุษย์   โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์มีออายตนะภายในร่างกาย มีความสามารถจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ  ที่เข้าในชีวิตได้อย่างจำกัดและมีอคติต่อผู้อื่นทำให้ชีวิตมืดมน เมื่อนักปรัชญา นักตรรกะเหล่านั้น ได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักแสดงความเห็นของเรื่องนั้นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล และการคาดคะเนความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น   การใช้เหตุผลของนักตรรกะและนักปรัชญาเหล่านั้น บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกบ้าง บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนี้ หรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนั้นบ้าง 

     เมื่อปัญหาของความจริงที่นักปรัชญาสนใจศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์โลก  จักรวาล ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่ขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น แต่ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เกิดจากการคิดเห็นจากประสบการณ์ของชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์ หรือประสบการณ์ของปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ของมนุษย์ เกิดการได้รับรู้ความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการเข้าใจความรู้ทางปรัชญา เราจึงแยกประเภทความจริงทางอภิปรัชญาได้ ๒ ประเภทคือ 

        ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น 

        ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ 

๓.ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน 

Ancient Kapilvastu 
      เมื่อผู้เขียนสอบสวนข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ  พยานวัตถุได้แก่ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง และ แผนที่โลกของกูเกิล (google map) แล้ว ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระบิดากับพระนางมายาเทวี พระมารดา    ดังปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เล่มที่ ๓๓ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕  ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕.โคตมพุทธวงศ์ [๑๓.]"กรุงเราชื่อกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของเรา  พระมารดาบังเกิดเกล้าของเราชาวโลกเรียกว่า "มายาเทวี"   เจ้าชายสิทธัตถะทรงสูติที่สวนลุมพินี แคว้นสักกะ ดังปรากฏหลังฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕(ฉบับมหาจุฬา ฯ)  ขุททกนิกาย   อปทานภาค ๒ [๕๕.ภัททิยวรรค] กาฬุทายีเถราปทาน ข้อ [๑๘๓] ครั้งนั้นเจ้าชายสิทธัตถะผู้ทรงเป็นผู้องอาจกว่านรชน  ได้ประสูติแล้วที่สวนลุมพินีที่น่ารื่นรมย์   เพื่อเกื้อกูลและความสุขแก่สัตว์โลกทั้งมวลแคว้นสักกะ เป็นรัฐศาสนาพราหมณ์       

      เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลเรื่อง "วรรณะ"  จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเล่มที่ ๒๘  พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกายชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๖.ภูริทัตตชาดก   ๖.ภริทัตตชาดก [๙๐๖.]  พวกมหาพราหมณ์ถือการสาธยายพระเวท  พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการเกษตรกรรม พวกศูทร ยึดการรับใช้วรรณะทั้ง๔ เข้าถึงการงานตามอ้างมาแต่ละอย่างมหาพรหมผู้มีอำนาจสร้างไว้ 

       ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า แคว้นสักกะเป็นรัฐนับถือศาสนาพราหมณ์ มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยตรากฎหมายวรรณะจารีตประเพณีและแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร โดยให้ประชาชนทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิด โดยพราหมณ์อ้างว่าพระพรหมสร้างชนวรรณะขึ้นมา จึงให้ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะตนเกิดมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์ จึงมีสิทธิหน้าที่ปกครองแคว้นสักกะตามวรรณะที่พระองค์ทรงประสูติมา การบริหารปกครองของชนวรรณะกษัตริย์ทุกคน มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองแคว้นสักกะ  โดยทำหน้าที่เป็นสมาชิกรัฐสภาบัญญัติกฎหมายต่าง ๆ สมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศให้เป็นไป โดยสงบเรียบร้อยถูกต้องตามหลักศีลอันดีของประชาชน และสมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นตุลาการพิจารณาอรรถคดีให้เป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่ประชาชน 

      ธรรมของกษัตริย์ เป็นกฎหมายสูงสุดเป็นระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองแคว้นเรียกว่า "อปริหานิยธรรม" เป็นหลักนิติศาสตร์สูงสุดในการบริหารปกครองประเทศ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร เป็นผู้มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ตนเกิดมา  และกฎหมายนี้จำกัดสิทธิหน้าที่ของพวกจัณฑาลมิให้ประกอบอาชีพของชนวรรรณะอื่น เพราะเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะของบิดากับมารดา ทำให้ลูกกำเนิดมามีสายเลือดไม่บริสุทธิ์เพราะฝ่าฝืนความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพรหม อันเป็นการขัดต่อจารีตประเพณีความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในแคว้นโดยชนวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองประเทศ ในรูปแบบรัฐสภาศากยวงศ์ มีธรรมกษัตริย์ เป็นหลักนิติศาสตร์จารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารปกครองประเทศสักกะ (แคว้นสักกะ) เรียกว่า"หลักอปริหานิยธรรม" เป็นหลักธรรมสูงสุดที่กฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติออกมาภายหลังจะมาโต้แย้งหรือขัดแย้งหลักธรรมกษัตริย์นี้มิได้เลย 

      ประชาชนในประเทศนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง เป็นผู้สร้างประชาชนชาวสักกะขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์ ให้สิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่ประชาชนที่สร้างขึ้นมาตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น มีความเชื่อได้รับการทำนายว่าชีวิตของพระองค์นั้น  หากดำรงพระชนม์ชีพเป็นฆราวาสวิสัยแล้ว จะเป็นพระมหากษัตริย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง และหากพระองค์ทรงออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลกทรงเป็นพระราชโอรสองค์โต เตรียมความพร้อมเป็นกษัตริย์ได้รับการศึกษาด้านศิลปศาสตร์จนสำเร็จการศึกษา ๑๘ สาขาวิชาด้วยกัน เมื่อพระชนมมายุได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพายโสธรา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาท ๓ ฤดูอย่างมีความสุข มีบริวารคอยรับใช้จำนวน ๔๐,๐๐๐ คน เมื่อพระองค์ทรงใช้ชีวิตในพระราชวังกบิลพัสดุ์ที่ประทับส่วนพระองค์ เป็นเวลา ๑๓ ปี พระทัย (จิต) ของทรงเกิดอาการ นิพพิทา (ความเบื่อหน่าย)  ของการผัสสะในรูป  เวทนา  สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ผัสสะด้วยความมัวเมาต่อเนื่องกันเป็นเวลา ๑๓ ปีอาการนิพพิทาของจิต   

  ปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ เล่มที่ ๑๗  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬา ฯ]  สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๑๑.นิพพิทาพหุลสูตรว่าด้วยผู้มากด้วยความเบื่อหน่าย[๑๔๖]  เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายกุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธามีธรรมอันเหมาะสมคือพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในรูปอยู่....ในเวทนา ..ในสัญญา....ในสังขารพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ผู้ใดมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ผู้ใดมากด้วยเบื่อหน่ายในรูป.....ในเวทนา......ในสัญญา....ในสังขารมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ก็จะกำหนดรู้รูป.... เวทนา .... สัญญา ...สังขาร กำหนดรู้วิญญาณผู้นั้นเมื่อกำหนดรู้รูป กำหนดรู้เวทนากำหนดรู้สัญญา  กำหนดรู้สังขาร กำหนดรู้วิญญาณ ย่อมพ้นจากรูป ย่อมพ้นจากเวทนา  ย่อมพ้นจากสัญญา ย่อมพ้นจากสังขาร ย่อมพ้นจากวิญญาณเรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และย่อมพ้นจากทุกข์  ข้อเท็จจริงจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังได้เป็นข้อยุติว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในผัสสะที่ทรงมัวเมาในรูปกลิ่น เสียง รส โผฏรัพพะ และธัมมารมย์ เป็นเวลายาวนานถึง ๑๓ ปี ทำให้พระองค์เกิดอาการของจิตคือเบื่อหน่ายในรูปที่ผัสสะเป็นประจำทุกวัน เวทนาเป็นอาการความรู้สึกสุข  เป็นประจำทุกวัน  สัญญาเป็นอาการของจิตที่สั่งสมเรื่องราวของความมัวเมาในอารมณ์   ที่เคยผัสสะเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น เมื่อนิพพิทาแล้วก็รู้เบื่อหน่ายในสิ่งที่พระองค์เคยมัวเมานั้นอีกต่อไปตัดสินพระทัยออกจากพระราชวังเที่ยวชมพระนครกบิลพัสดุ์ต่อไป         

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ