The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปัญหาความจริงเกี่ยวกับสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ


   Metaphysical problems concerning the truth of Prince Siddhartha

บทนำ ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะ 

        ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับสถานที่ประสูติของเจ้าสิทธัตถะนั้น เป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจและควรศึกษาอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า"นักปรัชญา", พระพุทธศาสนาเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า, และวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยทั่วเไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมีองค์ประกอบของชีวิตเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ เป็นต้นจิตของมนุษย์มีหน้าที่ใช้อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งสภาวะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และก็เสื่อมสลายไปในอากาศธาตุ แต่ก่อนที่จะเลือนหายไปจากสายตาของมนุษย์ จิตมนุษย์ก็รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดขึ้น จิตก็ทำหน้าที่โน้มรับอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของมนุษย์มิได้มีหน้าที่รับรู้, เก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ  แต่จิตมนุษย์มีธรรมชาติเป็นผู้คิด เมื่อรู้สิ่งไหนก็คิดจากสิ่งนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ  ตัวอย่างเช่น ในสมัยเจิญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ ผู้คนในแคว้นสักกะหรือแคว้นโกฬิยะเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์ถึงการมีอยู่จริงของพระพรหมแลพระอิศวร  พระพรหมณ์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากร่างกายของพระพรหม      นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงของชีวิตมนุษย์ว่าชีวิตมนุษย์คืออะไร เมื่อผู้เขียนการศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ พวกพราหมณ์เรียกอีกหนึ่งว่านักปรัชญาศาสนาพราหมณ์สอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ พระพุทธศาสนาเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องศึกษาภูมิหลังพระพุทธเจ้าเพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการออกผนวชของพระองค์ เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง สามารถนำความรู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้พัฒนาศักยภาพของตนเองได้จนสามารถบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้  เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากข้อความในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ  รับฟังข้อเท็จจริงได้เป็นที่ยุติว่า 


Ancient  kapilavastu 
            ๑.พระบิดากับพระมารดา เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดา กับพระนางมายาเทวี พระมารดา ดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์ [๑๓.] "กรุงเราชื่อกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของเรา พระมารดาบังเกิดเกล้าของเราชาวโลกเรียกว่า มายาเทวี" 

 
      ๒.สถานที่ประสูติ 
 เจ้าชายสิทธัตถะทรงสูติที่สวนลุมพินี แคว้นสักกะ ดังปรากฏหลังฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ (ฉบับมหาจุฬา ฯ)  ขุททกนิกาย อปทานภาค ๒ [๕๕.ภัททิยวรรค] กาฬุทายีเถราปทาน ข้อ [๑๘๓] ครั้งนั้นเจ้าชายสิทธัตถะผู้ทรงเป็นผู้องอาจกว่านรชน ได้ประสูติแล้ว ที่สวนลุมพินีที่น่ารื่นรมย์เพื่อเกื้อกูลและเพื่อความสุขแก่สัตว์โลกทั้งมวล

แคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลเรื่องวรรณะจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๖.ภูริทัตตชาดก ๖.ภริทัตตชาดก [๙๐๖.] พวกมหาพราหมณ์ถือการสาธยายพระเวท  พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการเกษตรกรรม พวกศูทร ยึดการรับใช้ วรรณะทั้ง ๔ เข้าถึงการงานตามอ้างมาแต่ละอย่าง มหาพรหมผู้มีอำนาจสร้างไว้ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้ว่า แคว้นสักกะนั้นเป็นรัฐศาสนาเพราะ มีการปกครองสามัคคีธรรม โดยออกกฎหมายจารีประเพณีแบ่งประชาชนเป็นวรรณะ ๔ พวก ได้แก่ พวกพราหมณ์ พวกกษัตริย์ พวกแพศย์ และพวกศูทร โดยให้ประชาชนทำงานตามหน้าที่ในวรรณะที่ตนเกิดมานั้น โดยพระพรหมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างงานไว้ให้ชนวรรณะต่าง ๆ ที่พระองค์สร้างขึ้นมาให้ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะตนเกิดมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์ จึงมีสิทธิหน้าที่ปกครองแคว้นสักกะ ตามวรรณะที่พระองค์ทรงประสูติมา การบริหารปกครองของชนวรรณะกษัตริย์ทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารปกครองแคว้นสักกะ โดยทำหน้าที่เป็นสมาชิกรัฐสภาบัญญัติกฎหมายต่าง ๆ  สมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อยถูกต้องตามหลักศีลอันดีของประชาชนและสมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่เป็นตุลาการพิจารณาอรรถคดีให้เป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่ประชาชนธรรมของกษัตริย์ เป็นกฎหมายสูงสุดเป็นระเบียบปฏิบัติในการบริหารปกครองแคว้นเรียกว่า "อปริหานิยธรรม" เป็นหลักนิติศาสตร์สูงสุดในการบริหารปกครองประเทศโดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร เป็นผู้มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ตนเกิดมา และกฎหมายนี้จำกัดสิทธิหน้าที่ของพวกจัณฑาลมิให้ประกอบอาชีพของชนวรรรณะอื่นเพราะเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะของบิดากับมารดา ทำให้ลูกกำเนิดมามีสายเลือดไม่บริสุทธิ์เพราะฝ่าฝืนความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพรหม อันเป็นการขัดต่อจารีตประเพณีความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในแคว้น โดยชนวรรณะกษัตริย์มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองประเทศ ในรูปแบบรัฐสภาศากยวงศ์มีธรรมกษัตริย์เป็นหลักนิติศาสตร์จารีตประเพณีสูงสุด ในการบริหารปกครองประเทศสักกะ (แคว้นสักกะ) เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม"  เป็นหลักธรรมสูงสุดที่กฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติออกมาภายหลังจะมาโต้แย้งหรือขัดแย้งหลักธรรมกษัตริย์นี้มิได้เลย ประชาชนในประเทศนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ มีความเชื่อว่า พระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง เป็นผู้สร้างประชาชนชาวสักกะขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์ ให้สิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่ประชาชนที่สร้างขึ้นมาตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น มีความเชื่อได้รับการทำนายว่าชีวิตของพระองค์นั้น หากดำรงพระชนม์ชีพเป็นฆราวาสวิสัยแล้วจะเป็นพระมหากษัตริย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง และหากพระองค์ทรงออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตเตรียมความพร้อมเป็นกษัตริย์ได้รับการศึกษาด้านศิลปศาสตร์จนสำเร็จการศึกษา ๑๘ สาขาวิชาด้วยกัน เมื่อพระชนมมายุได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพายโสธรา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาท ๓ ฤดูอย่างมีความสุข มีบริวารคอยรับใช้จำนวน ๔๐,๐๐๐ คน เมื่อพระองค์ทรงใช้ชีวิตในพระราชวังกบิลพัสดุ์ที่ประทับส่วนพระองค์ เป็นเวลา ๑๓ ปี พระทัย (จิต) ของทรงเกิดอาการ นิพพิทา (ความเบื่อหน่าย)  ของการผัสสะในรูป  เวทนา  สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ผัสสะด้วยความมัวเมาต่อเนื่องกันเป็นเวลา ๑๓ ปีอาการนิพพิทาของจิต   


ปรากฏหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ เล่มที่ ๑๗  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬา ฯ]  สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๑๑.นิพพิทาพหุลสูตรว่าด้วยผู้มากด้วยความเบื่อหน่าย[๑๔๖]  เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายกุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธามีธรรมอันเหมาะสมคือพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในรูปอยู่....ในเวทนา ..ในสัญญา....ในสังขารพึงเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ผู้ใดมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ผู้ใดมากด้วยเบื่อหน่าย ในรูป.....ในเวทนา......ในสัญญา....ในสังขารมากด้วยความเบื่อหน่ายในวิญญาณอยู่ ก็จะกำหนดรู้รูป.... เวทนา .... สัญญา ...สังขาร กำหนดรู้วิญญาณผู้นั้นเมื่อกำหนดรู้รูป กำหนดรู้เวทนากำหนดรู้สัญญา  กำหนดรู้สังขาร กำหนดรู้วิญญาณ ย่อมพ้นจากรูป ย่อมพ้นจากเวทนา  ย่อมพ้นจากสัญญา ย่อมพ้นจากสังขาร ย่อมพ้นจากวิญญาณเรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และย่อมพ้นจากทุกข์  ข้อเท็จจริงจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังได้เป็นข้อยุติว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในผัสสะที่ทรงมัวเมาในรูปกลิ่น เสียง รส โผฏรัพพะ และธัมมารมย์ เป็นเวลายาวนานถึง ๑๓ ปี ทำให้พระองค์เกิดอาการของจิตคือเบื่อหน่ายในรูปที่ผัสสะเป็นประจำทุกวัน เวทนาเป็นอาการความรู้สึกสุข  เป็นประจำทุกวัน  สัญญาเป็นอาการของจิตที่สั่งสมเรื่องราวของความมัวเมาในอารมณ์   ที่เคยผัสสะเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น เมื่อนิพพิทาแล้วก็รู้เบื่อหน่ายในสิ่งที่พระองค์เคยมัวเมานั้นอีกต่อไปตัดสินพระทัยออกจากพระราชวังเที่ยวชมพระนครกบิลพัสดุ์ต่อไป         

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ