โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์มาพร้อมกับอวิชชา ต้องดำรงชีวิตอยู่กับครอบครัวและสถาบันครอบครัว เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกการทำงานสอนตัวเองให้รู้จักโอกาสของชีวิต ในสมัยก่อนพุทธกาล มนุษย์ขาดโอกาสในชีวิตเพราะในยุคนั้น มนุษย์ยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนอย่างไร ? ให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ความรู้ของมนุษย์ที่มีอยู่จากประสบการณ์ชีวิตนั้น แม้จะมีปัจจัยจากการได้รับรู้จากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิด จิตใจของมนุษย์ก็เก็บอารมณ์เหล่านั้น สั่งสมอยู่ในจิตใจของตน และนำมาวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ แต่หลักฐานทางอารมณ์ที่ได้รับมานั้นยังไม่เพียงพอเพราะมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของตนเองขึ้นไป และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเกิดความคิดที่โง่เขลา ความเกลียดชังที่คนอื่นเจริญรุ่งเรืองในอาชีพ หน้าที่การงาน จึงมีโอกาสก้าวหน้าในชีวิต จึงมีจำกัด เพราะมนุษย์มีความรู้เพียงระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น ส่วนความรู้อีกประเภทหนึ่งคือความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของประสาทสัมผัสของมนุษย์ เช่น พราหมณ์อารยันยังไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตให้บรรลุถึงความรู้ถึงระดับการมีญาณทิพย์เหนือมนุษย์เห็นการมีอยู่ของเทพองค์นั้น แม้พราหมณ์อารยันและพราหมณ์ดราวิเดียนจะอธิบายด้วยเหตุผลว่า การบูชายัญเทพเจ้าด้วยของมีค่านั้น พระองค์จะช่วยให้มนุษย์บรรลุถึงความสำเร็จในชีวิตได้ก็ตามเนื่องด้วยผลประโยชน์ของการบูชายัญเทพเจ้า ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์ในหลายนิกาย และพราหมณ์ถูกยกฐานะในสังคมการเมือง เมื่อมหาราชาแต่งตั้งพราหมณ์เป็นปุโรหิต เป็นที่ปรึกษาของมหาราชาในด้านนิติขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี พราหมณ์อารยันต้องการผูกขาดการทำพิธีบูชาเทพเจ้าเพียงฝ่ายเดียว จึงเสนอตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะเพื่อจำกัดสิทธิหน้าที่ของพราหมณ์ดราวิเดียนมิให้ทำพิธีบูชายัญ โดยอ้างความเชื่อว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามหน้าที่ของตนเอง ทำให้ชีวิตมนุษย์อยู่ในความมืดมน มองไม่โอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพของชีวิตเพราะถูกจำกัดสิทธิในการศึกษา และใช้ทักษะความสามารถของตนได้เนื่องจากถูกจำกัดสิทธิในการประกอบอาชีพ ตามพจนานุกรมฉบับราช บัณฑิตยสถานออนไลน์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้คำจำกัดความว่า "โอกาส" นั้นมีความหมายว่าช่อง ทาง เวลาที่เหมาะ จังหวะ เป็นต้น ชีวิตมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีตัณหาเป็นเครื่องนำทาง ต้องการให้ผู้อื่นให้โอกาสตนทำงานเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว หรือ ตนเองสร้างโอกาสให้กับตนเอง เป็นปัญหาที่น่าคิด คำว่า "โอกาส" ตามคำนิยามคือช่องทาง เวลาที่เหมาะ และจังหวะ ในการทำงานรับใช้สังคมหรือสร้างโอกาสให้กับคนในสังคม แต่ช่องทางของชีวิตเป็นสิ่งที่หาได้ยากในชีวิตโดยเฉพาะโอกาสในการทำงาน ความรู้ที่เราศึกษาในสถาบันนั้น เป็นการศึกษาให้รู้เท่านั้นแต่ไม่ใช่สถานที่ใช้ความรู้ในการทำงานเพิ่มมูลค่าให้กับชีวิต เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อเพิ่มมูลค่าคือความมั่งคั่ง เงิน ทอง แลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อตอบสนองต่อชีวิตในความอยากมี อยากเป็น และอยากได้อย่างเพียงพอ ก็จะมีความสุขได้ในระดับหนึ่ง ของชีวิต เป็นต้น
มีคำพูดที่น่าสนใจว่า"ผู้ใดเห็นโอกาสก็เห็นทางชีวิต"การเดินทางไปศึกษาต่อที่สาธารณรัฐอินเดียนั้น ทำให้ผู้เขียนมีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาโทถึงปริญญาเอก และเห็นโอกาสที่หาดูได้ยากจากผู้แสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง๔ที่ฟังคำบรรยายในโบราณสถานในพระพุทธศาสนาจากพระวิทยากรรุ่นพี่ไปสู่พระวิทยากร เมื่อจิตวิญญาณของผู้เขียนสั่งสมความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองในการปฏิบัติบูชาในพุทธสถานแห่งนั้ทำให้ผู้เขียนมีโอกาสรับรู้ถึงคุณค่าทางประวัติศาสตรว่า เป็นพุทธสถานที่พระพุทธเจ้าได้ทรงงานเผยแผ่โดยทรงแสดงพระธรรมเทศนาและมีเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวข้องพระพุทธเจ้าตามหลักฐานในพระสูตรต่าง ๆ ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหลายเล่ม ข้อมูลทั้งพุทธนิกายเถรวาทและมหายาน ข้อมูลพุทธสถานผ่านการวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลของเจ้าหน้าที่โบราณคดี ชาวอินเดีย เนปาล และนักโบราณคดีชาวอังกฤษในช่วงเวลาที่อังกฤษปกครองอินเดีย
การได้มีโอกาสเป็นพระวิทยากรในแดนพุทธภูมินั้น มิใช่การถ่ายทอดความรู้ด้วยการเล่าเรื่องราวจากตำราทางพุทธศาสนาให้กับผู้แสวงบุญฟังเท่านั้น เราต้องนำหลักพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้กับวิถีของชาวอินเดีย ที่เราได้เคยสัมผัสวิถีชีวิตของพวกเขา และถ่ายทอดวิถีชีวิตของพวกเขาให้กับผู้แสวงบุญฟังจนสิ้นความสงสัย ในยุคสมัยก่อนนั้น มีตำราที่มีผู้แต่งไว้ไม่กี่เล่มเท่านั้นให้เราได้ศึกษาค้นคว้าและข้อมูลหายากมาก การบรรยายเนื้อหาของพระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกต้องให้สอดคล้องกับพุทธสถานที่เราเดินทางไปถึงนั้น ด้วยความรู้ความเข้าใจของตนเองแม้จะมีเนื้อหาจะเข้าใจยาก แต่เราต้องบรรยายแบบง่าย ๆ ที่ผู้แสวงบุญจะเข้าใจ และมีน้ำเสียงอันทรงพลังที่บรรยายได้อย่างน้อยวันละ ๘-๑๐ ชั่วโมง เมื่อไปถึงพุทธสถานเหล่านั้นแล้ว ก็เป็นวัด ภูเขา ถ้ำที่มีอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจไปอีก เพราะสามารถพบเห็นได้ทุกที่ในสาธารณรัฐอินเดีย หรือประเทศไทย เมื่อเดินทางมาถึง ผู้แสวงบุญจะไม่รู้สึกถึงคุณค่าหรือความหมายใด ๆ เลย หรือรู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าไม่ก่อให้เกิดผลลัพท์หรือมรรคผลใดเลยถ้าเราเพิ่มการปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์บูชาคุณพระพุทธเจ้าและนั่งสมาธิและฟังคำบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธสถานให้ผู้แสวงบุญได้ฟัง จนพวกเขาเกิดความรู้และความเข้าใจในชีวิตของตนเองได้ การปฏิบัติบูชาจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่งที่พระวิทยากรควรใส่ใจศึกษาอยู่เสมอ เพราะพระพุทธเจ้าทรงประทานงานพัฒนาศักยภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกเป็นภาระหน้าที่พระภิกษุสามเณร ที่จะรักษาศรัทธาของญาติโยมด้วยการชี้ทางชำระล้างความทุกข์ให้สิ้นไปจากความเครียด เพราะปัญหาชีวิตที่จรเข้ามาจากการทำงานหนัก เพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว และยังต้องแลกกับปัญหาของสุขภาพร่างกายตนเอง
เมื่อผู้แสวงบุญมาด้วยความศรัทธา จิตวิญญาณของพวกเขาต้องการความรู้และความสุขเกิดขึ้นในใจผ่านการปฏิบัติบูชาของพวกเขาเองตลอดเส้นทางถึงสังเวชนียสถานทั้ง ๔ จึงเป็นหน้าที่ของพระวิทยากรจะต้องตระหนักถึงหน้าที่ของตนด้วยชีวิตของเราเองตลอดการทำงาน ตลอด ๘ วันของการแสวงบุญครั้งนั้น ทุกชีวิตมีความฝัน ความหวัง และโอกาสในชีวิตเพื่อให้บรรลุความสำเร็จที่ปรารถนา การมีความรู้แต่ไม่กล้าเผชิญความทุกข์ยาก ชีวิตที่รอคอยพรหมลิขิตจะมีชีวิตอยู่ปราศจากเกียรติและศักษ์ศรี การแสวงหาความโชคดีและอนาคตดีกว่าปล่อยโชคชะตากำหนดชีวิตของตน การเดินทางไปศึกษาต่อที่สาธารณรัฐอินเดีย แม้จะมีชีวิตไม่สะดวกสบายเช่นการใช้ชีวิตนักบวชในประเทศไทยโดยเฉพาะการบิณฑบาต แต่การอาศัยอยู่ในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมือง ชาวอินเดียสอนอะไรให้ผู้เขียนเข้าใจชีวิตมากมาย มองเห็นความหวัง ความฝัน และที่สำคัญมีโอกาสทำงานทดแทนบุญคุณของพระพุทธเจ้า เพราะช่วยให้ผู้เขียนได้พัฒนาศักยภาพความรู้ของตนเองตลอดเวลา เห็นข้อบกพร่องของตัวเองที่ต้องเตรียมตัวรับมือกับงานหนักที่เข้ามาตลอดเวลา แม้จะมีความรู้ดีมีทักษะในการสื่อสารกับผู้อื่นเพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างดีก็ตาม แต่อาจารย์ยังคงสอนว่า หากเราสอนคนอื่นให้มีความรู้เข้าใจชัดเจนอย่างไร ตนเองก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้น มิฉะนั้นถือว่าชีวิตเราก็ตั้งอยู่ในความประมาทเช่นกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น