The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทนำ ธาตุแท้ของมนุษย์ตามหลักปรัชญาแดนพุทธภูมิ

The true nature of the Human being  according to the  Buddhaphumi's philosophy

บทนำ

    เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์    มนุษย์มักเป็นสัตว์สังคมในโรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ศูนย์การค้า สถานที่ราชการและในงานสังคมสงเคราะห์ เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกับผู้อื่น มักจะไม่แสดงความรู้สึกแท้จริงเพื่อรักษามารยาททางสังคม แต่เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก,แอปพลิเคชั่น พบว่ามนุษย์มักแสดงเจตนาจากจิตใจของตนเอง ทำให้เราได้รู้ถึงธาตุแท้ของมนุษย์แต่ละคนซึ่งก็คืออัตลักษณ์ของมนุษย์ หรือลักษณะเฉพาะตัวของมนุษย์ หรือ ความเห็นแก่ตัวของตนเองที่คำนึงถึงประโยชน์ของตนเองอย่างชัดเจน ไม่เมตตาผู้อื่น เป็นต้น ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ที่ถ่ายทอดผ่านวิดีโอหรือแบ่งปันความคิดเห็นในแอปพริเคชั่นต่างๆและพฤติกรรมต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นทุกวันทำให้ชุมชนออนไลน์เป็นสังคมที่ตรวจสอบพฤติกรรมคนในสังคมที่แสดง ออกมากขึ้นข้อเท็จจริงที่มนุษย์แสดงเจตจำนง ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ในการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในด้านจิตวิทยา รัฐศาสตร์  สังคม ปรัชญาและศาสนาเป็นต้น โดยไม่ต้องสืบสวนข้อเท็จจริงด้วยตนเอง เพราะข้อมูลทั้งหมดเผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ต ให้คนได้ศึกษาและค้นหาความจริง ทำให้มนุษย์รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนมากขึ้นหรือธาตุแท้ของมนุษย์ที่ไม่เคยปรากฏให้ประจักษ์ในสังคม   เป็นต้น  

        ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของแก่นแท้มนุษย์คืออะไร  ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ว่า ความจริงของชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ เมื่อมนุษย์ตาย จิตวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในร่างกายนั้น ก็จะไปจุติอีกภพหนึ่ง ส่วนจะเกิดที่ภพภูมิไหนนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์กรรมของพวกเขาเป็นกุศลหรืออกุศล ปัญหาว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์มีวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกาย พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อมนุษย์พัฒนาศักยภาพในชีวิตด้วยวิธีปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘  จนจิตเป็นสมาธิ  บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความขุ่นมัว อ่อนเหมาะการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม   มั่นคงในเป้าหมายของชีวิตและไม่หวั่นไหวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ด้วยสติสัมปชัญญะและปัญหาของตนเองได้  พระองค์ทรงเกิดญาณทิพย์เหนือมนุษย์ มองเห็นวิญญาณของสัตว์น้อยใหญ่ เป็นไปตามกรรมของตัวเอง เป็นต้น  เมื่อจิตมนุษย์อาศัยร่างกาย เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับ มนุษย์ สิ่งของมีค่าต่างๆทำให้เกิดตัณหาหรือมนุษย์ที่มัวเมากับสิ่งที่ตนเองชอบจนขาดสติสัมปชัญญะ ลืมหน้าที่ในการปฏิบัติต่อผู้อื่น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น 

      เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องราวของชีวิตจากพระไตรปิฎกอรรถกถา ฏีกา อนุฏี และคิดหาเหตุผลจากข้อในพระไตรปิฎกและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ การเดินทางไปสู่พุทธสถานนั้นก็เป็นปัจจัยที่สำคัญของการเดินทางไปแสวงบุญเมื่อไปถึงสถานที่ดังกล่าวแล้ว หากผู้แสวงบุญมิได้ปฏิบัติบูชาในพุทธสถานนั้น ๆ การเดินทางไปสู่พุทธสถานแห่งนั้น ย่อมขาดเสน่ห์ของการปฏิบัติของการปฏิบัติ ทำให้ผู้แสวงบุญขาดความประทับใจในการเดินทางมาแสวงบุญในครั้งนั้น  การทำงานในพุทธสถานนั้นทำให้เกิดความรู้ที่เป็นความจริงของชีวิตอย่างหนึ่งเพราะเป็นความผ่านอินทรีย์ ๖ เข้ามาสู่จิต จนกลายเป็นสัญญาของการการทำงานนอนเนื่องอยู่ในจิต ยิ่งมีประสบการณ์ของการบรรยายระหว่างการเดินไปสู่เมืองต่าง ๆ ที่สังเวชนียสถานตั้งอยู่นั้นบ่อย ๆ ย่อมเป็นความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ย่อมเกิดความชำนาญในการบรรยายและสามารถหยิบประเด็นมาใช้ในการบรรยายได้ง่าย เป็นความรู้เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลพระไตรปิฎกและเอกสารที่เกี่ยวข้องใช้บรรยายให้แก่ผู้แสวงบุญฟัง มีเนื้อหามีมากมายหลายเรื่องด้วยกัน ล้วนแต่เป็นหลักธรรมที่ผู้แสวงบุญที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทั้งสิ้นทำให้เกิดความรู้ (รู้) ความเข้าใจ (ตื่น) และความเบิกบานของชีวิตได้เป็นอย่างดี ชีวิตเกิดศรัทธาในวิธีการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดีการแสวงบุญในแดนพุทธภูมิ ทำให้ผู้เขียนเกิดสติเมื่อระลึกถึงชีวิตของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้ชีวิตเพื่อประชาชนชาวโลก เมื่อทรงเห็นความทุกข์ยากของประชาชนเพราะสิทธิในหน้าที่ไม่เท่าเทียมกันพระองค์ต้องการปฏิรูปผู้คนในสังคมชมพูทวีปให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมีหวังและโอกาสของชีวิตอย่างเท่าเที่ยมกัน มิถูกเลือกปฏิบัติเพราะการแบ่งประชาชนออกเป็นชนชั้นวรรณะตามแหล่งกำเนิดของตน 

        เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่องชาวชมพูทวีปเพื่อใช้บรรยายในแดนพุทธภูมินั้นทำให้เกิดความสงสัยในกระแสจิตมากมายหลายเรื่องโดยเฉพาะความจริงที่เป็นตัวตนเราเอง เราคือใคร ชีวิตเราตายไปแล้วชีวิตเราสูญสิ้นสุดแค่การเผาร่างกายให้มอดไหม้ไปเท่านั้น กรรมที่เคยมีต่อกันสิ้นสุดกันแค่นั้นใช่ไหม  ในชีวิตผู้คนตั้งแต่ยุคสมัยก่อนพุทธกาลเป็นต้นมานั้น  ทำไมจึงมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ เป็นคำถามที่ฝังรากมายาวนานที่อยากรู้เหตุผลมาก ในยุคก่อนที่เราเกิดมานั้น มนุษย์มีศักยภาพในเรียนรู้น้อยเพราะมีข้อมูลให้ศึกษาน้อยและไม่ได้รับการแชร์ในโลกออนไลน์ให้มีประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเช่นทุกวันนี้พวกเขามีความรู้แค่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวจากการฟังคำบอกเล่าเท่านั้น เมื่อรับรู้แล้วมาคิดหาเหตุผลว่าเป็นความรู้และความจริงอย่างไรยากจะจินตนาการและพรรณาให้ถึงความรู้และความจริงนั้นได้เพราะข้อจำกัดของการศึกษา เมื่อรู้แล้วก็ไม่สามารถนำไปนึกคิดจินตนาการสร้างนวัตกรรมให้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตเพราะข้อจำกัดในสิทธิหน้าที่ในการทำงานเพื่อสร้างโอกาสของชีวิต พวกเขาจึงไม่มีความหวังในความฝันที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า มนุษย์ในยุคนั้นจึงเลือกที่ใช้ชีวิตที่จะจมปลักกับความมัวเมาใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมย์ ที่สั่งสมจนกลายเป็นสัญญานอนเนื่องอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขาและตามจิตวิญญาณของพวกเขาไปจุติจิตในภพอื่นต่อไป เมื่อจิตวิญญาณอุบัติในโลกมนุษย์อีกต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด นอกจากนี้ชีวิตของพวกเขาถูกครอบงำด้วยความเชื่อว่าพระพรหมสร้างชีวิตมนุษย์ขึ้นมาจากพระวรกายของพระพรหมและกำหนดโชคชะตาให้มีสิทธิหน้าที่ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด ห้ามฝ่าฝืนแต่งงานข้ามวรรณะนั้น หากฝ่าฝืนจะถูกลงพรหมฑัณจากสังคม (ยังมีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ