บทนำ:การค้นหาความจริง : รัฐธรรมนูญในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ (Introduction: The Search for Truth : The Secret Constitution in The Mahachulalongkorn Tripitaka
๑.บทนำ
ในยุคปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างก็มีอธิปไตยเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐในการบังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน อำนาจอธิปไตยนี้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่จัดระเบียบการปกครองประเทศ กำหนดรูปแบบและระบอบการปกครอง สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของประชาชน อำนาจหน้าที่ขององค์กร ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรต่าง ๆ ที่จะใช้ในการบริหารประเทศเพื่อแสดงถึงเอกราชของประเทศตนเอง เช่น ราชอาณาจักรไทย มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งมีทั้งหมด ๑๖ หมวด (category) โดยหมวดทั่วไประบุไว้ดังนี้ หมวด ๑ บททั่วไป (มาตรา๑-๒) หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย หมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ หมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ หมวด ๗ รัฐสภา หมวด ๘ คณะรัฐมนตรี หมวด ๙ ศาล หมวด ๑๐ ศาลรัฐธรรมนูญ หมวด ๑๑ องค์อิสระ หมวด ๑๒ องค์กรอิสระ หมวด ๑๓ อัยการ หมวด ๑๔ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนศึกษาประวัติศาสตร์ศาสตร์พระพุทธศาสนา เพื่อค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณนั้น ถือเป็นการศึกษาเชิงลึกที่ต้องใช้ความรอบคอบ ความรู้ความเข้าใจในทั้งหลักธรรมของพุทธศาสนาและระบบกฎหมายสมัยใหม่ แม้ว่าหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ จะไม่บันทึกไว้ชัดเจนว่าเป็นรัฐธรรมนูญของอาณาจักรใด เฉกเช่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หรือรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรของประเทศอื่น ๆ ตามที่เราเข้าใจในปัจจุบัน แต่หากศึกษาพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็สามารถวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณได้ โดยอนุมานความรู้ เพื่อค้นหาหลักการและแนวคิดเกี่ยวข้องกับการปกครอง การบริหารและความยุติธรรมได้
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้าความจริงเรื่อง"ค้นหาความจริง : รัฐธรรมนูญลับในพระไตรปิฎมหาจุฬาลงกรณนั้น อยู่ที่ความเข้าใจปรัชญาและหลักการพื้นฐานของการปกครองที่ดี ตามหลักพุทธศาสตร์ อันจะนำไปสู่การพัฒนา และปรับปรุงระบบกฎหมายและการปกครองในปัจจุบัน ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเชื่อมโยงความรู้ทางพุทธศาสนาเข้ากับวิชาการสมัยใหม่ เปิดมุมมองใหม่ในการศึกษาพระไตรปิฎก และช่วยให้เข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์และสังคมในสมัยพุทธกาลได้ดียิ่งขึ้น การศึกษาครั้งนี้ มิใช่การแสวงหาความจริงเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเท่านั้น หากยังเป็นการค้นหาหลักกาและแนวคิดเกี่ยวกับการปกครองที่ดี ความยุติธรรมและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขที่มีความสำคัญและยังคงมีความเกี่ยวข้องกับสังคมโลกปัจจุบัน
เมื่อศึกษาอาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ชาวอารยันได้เข้ามายึดครองดินแดนต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย พวกเขาได้ก่อตั้งแคว้นหรือประเทศ(country)ของตนเองเป็นรัฐมหาอำนาจ ๒๐ ประเทศและรัฐขนาดเล็ก ๆ ๕ ประเทศ ประกาศตนเป็นประเทศอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยปกครองประเทศของตน เพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชนในการประกอบอาชีพ การศึกษา การเมือง ศาสนาและพิธีกรรมทางศาสนา ประชาชนมีหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงอัตลักษณ์ของตนต่อประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรี และได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติทั่วไปของมนุษย์ทุกคน ซึ่งประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจ โดยปกติพวกเขาจะไม่แสดงอัตลักษณ์ของตนให้ผู้อื่นเห็น เพื่อรักษามารยาททางสังคม แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาใช้ความรุนแรงทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นประจำ มักจะแสดงความไม่รู้ของตนออกมา เพราะขาดสติในการถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในและสั่งสมความรู้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ไว้ในใจเพื่อนำมไปใช้แก้ปัญหาชีวิต ส่งผลให้ขาดปัญญาในการคิดโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบต่อปัญหาที่น่าสงสัย
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะมีอำนาจอธิปไตยปกครองตนเอง มีอาณาเขตของตนเองอย่างชัดเจนโดยมีแม่น้ำโรหินีเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ระหว่างอาณาจักรสักกะกับอาณาจักรโกลิยะ เมื่อประชาชนก่อตั้งชุมชนการเมืองของตนเอง โดยมีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาประจำชาติ แม้ว่าเราจะยอมรับโดยปริยายว่าอาณาจักรสักกะมีอยู่จริง แต่เนื่องจากผู้เขียนความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะยังไม่ชัดเจน เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ ที่จะพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญา เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักจะแสดงความคิดเห็นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลหรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น แต่การใช้เหตุผลของนักตรรกะ นักปรัชญา บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นที่ถูกต้องบ้าง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ไม่ถูกต้องบ้าง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะเป็นเช่นนี้บ้าง และบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะเป็นเช่นนั้นบ้าง วิญญูชนได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นไม่แน่นอนว่ามีความเป็นมาอย่างไรแล้ว ย่อมไม่เชื่อถือเหตุผลของคำตอบนั้นและไม่ยอมรับว่าเป็นความจริงได้
ผู้เขียนจึงสงสัยว่าอาณาจักรสักกะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศหรือไม่ ? และผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญของอาณาจักรสักกะในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอก็ใช้หลักฐานนั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของกฎหมายธรรมนูญแห่งแคว้นสักกะ จากหลักฐานพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา มาอธิบายความจริงของคำตอบ เป็นต้น
บทความในบล็อคนี้ จะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมทูตต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยในการเทศนาให้แก่ผู้แสวงบุญ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ให้มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า ที่ใช้วิเคราะห์หลักฐานจะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยระดับปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนาและปรัชญา เพื่อให้นิสิตมีความรู้และความเข้าใจในการวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินความจริงของคำตอบในลักษณะที่สมเหตุสมผล เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น