Introduction to King Bimbisara, patronage of Buddhism according to Buddhaphumi Philosophy
ในบทความนี้ ผู้เขียนได้พิจารณาพระราชกรณียกิจทางพระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร" ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก เราได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระองค์ ตั้งแต่การถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุ๑,๒๕๐ รูปเพื่ออุทิศบุญกุศลแด่เปรตซึ่งเป็นพระญาติของพระองค์ และการสร้างวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งศาสนสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ชาวเมืองราชคฤห์ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาและอิทธิพลที่มีต่อศาสนาพราหมณ์และประชาชนในเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในขณะนั้น ื พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีคุณธรรม และทรงมีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่ทรงผนวชเป็นพระโพธิสัตว์อย่างแรงกล้า ดังนั้น การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระองค์ จึงไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการถวายภัตตาเช้าและถวายวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งเป็นศาสนสถานคือวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ การปลูกฝังความเชื่อมั่นในการศึกษาแสวงหาความรู้ที่เป็นความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ และการบัญญัติกฎหมายเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่และความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในยุคแรกเริ่ม
เกี่ยวกับเรื่องการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสารหลังจากศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ณ สวนป่าลุมพินีในแคว้นสักกะ ระบบการปกครองของแคว้นสักกะเป็นแบบสามัคคีธรรม ในลักษณะของรัฐทางศาสนาพราหมณ์ โดยแบ่งหน้าที่ของประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะตามคำสอนทางศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี โดยวรรณะกษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยปกครองประเทศ มีหลักบริหารประเทศที่เรียกว่า "ราชอปริหานิยธรรม" เป็นรัฐธรรมนูญสูงสุดที่ปกครองแคว้นสักกะ สาระสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "เมื่อบัญญัติกฎหมายฉบับใด" และประกาศบังคับใชแล้วไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้คำสอนของพราหมณ์อารยันยังระบุว่า พระพรหมทรงสร้างมนุษย์จากพระกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เมื่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นกฎหมายจารีตประเพณีและขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับวรรณะ จะกำหนดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ที่พลเมืองต้องปฏิบัติตามวรรณะของตนเกิดและดำหนดเงื่อนไขที่ห้ามพลเมืองปฏิบัติหน้าที่ในวรรณะอื่น และการแต่งงานข้ามวรรณะก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อประชาชนดำรงชีวิตอยู่ในมืดมน พวกเขาขาดศรัทธาที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองผ่านการศึกษา ขาดความเพียรพยายามแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต ขาดสติที่จะใคร่ครวญบทเรียนชีวิตที่ผ่านมา ขาดสมาที่จะเพียรปฏิบัติหน้าที่และขาดปัญญาที่จะเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต เพื่อควบคุมกิเลสตัณหา พวกเขาตระหนักดีว่าหากจงใจทำผิดละเมิดกฎหมายวรรณะ ขนบธรรมและจารีตประเพณี จะถูกพระพรหมลงโทษ โดยให้อำนาจคนในสังคมลงโทษพวกเขาด้วยการขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่ไปตลอดชีวิต หากไม่ยอมรับการตัดสินของสังคมแล้ว จะถูกลงโทษด้วยการถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย พวกเขาถูกบังคับให้หนีจากบ้านเรือนไปตลอดชีวิต และใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ ๆ เช่น พระนครเทวทหะ พระนครกบิลพัสดุ์, พระนครราชคฤห์ เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาชาวจัณฑาล ที่ต้องแก่ชรา ป่วยหนัก และนอนตายบนท้องถนนของพระนครกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง พระองค์ยังทรงตระหนักถึงปัญหาสังคมของอาณาจักรสักกะ ในการประกาศใช้กฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสิทธิและหน้าที่ของประชาชน ทั้งในการทำงาน การศึกษา การบูชาตามความเชื่อศาสนาตามนิกายพราหมณ์และการแต่งงานข้ามวรรณะ เป็นสาเหตุของปัญหาจัณฑาลในก่อนสมัยพุทธกาล
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาลแล้ว พระองค์ทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคม โดยเสนอกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการเลิกวรรณะต่อรัฐสภาศากยวงศ์ แต่สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์เข้าประชุมเพื่อพิจารณา และมีมติไม่อนุมัติการตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการเลิกวรรณะ เพราะขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศที่เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" เมื่อปัญหาของอาณาจักรสักกะแก้ไขยาก เจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามปุโรหิตแห่งอาณาจักรสักกะเกี่ยวกับประวัติของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีใครตอบพระองค์ได้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่จริงของเทพเจ้า และเห็นวิธีเดียวที่จะช่วยจัณฑาลจากความทุกข์ยากได้โดยพระองค์ละทิ้งวรรณะกษัตริย์ออกผนวช เพื่อค้นหาความจริงของชีวิตว่า พรหมสร้างมนุษย์และวรรณะตามคำสอนของพราหมณ์หรือไม่
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทูลขอพระเจ้าสุทธโทธนะและพระนางปชาบดีโคตมี เพื่อออกผนวชแต่ทั้งสองพระองค์ทรงไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัย เพื่อสละวรรณะกษัตริย์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยหนีจากพระราชวังกบิลพัสดุ์และทรงผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาในสมัยปัจจุบันเรียกว่า "แม่น้ำอามี่" ตั้งอยู่ในจังหวัดโครักขปูร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย
พระโพธิสัตว์สิทธัตถะเสด็จไปศึกษาค้นคว้าวิธีปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุธรรมแห่งชีวิตกับพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงแห่งพระนครราชคฤห์ เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะออกบิณฑบาตแล้ว พระองค์ทรงประทับนั่ง ณ เชิงเขาปัณฑวะ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว จึงเสด็จมาเฝ้าและทรงซักถามถึงสาเหตุที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ เสด็จออกผนวช พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะยกดินแดนของแคว้นกลิงคะ ให้พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงปกครอง แต่พระองค์ไม่ทรงรับอาณาจักรนั้น เพราะพระองค์ทรงสละราชสมบัติ เพื่อจะแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต พระองค์ทรงเพียรปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆ ด้วยสติสัมปชัญญะว่าชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน โดยคิดว่าชีวิตมนุษย์สูญสิ้นเมื่อตายไปแล้ว กรรมดีและกรรมชั่วที่ได้ทำไว้กับผูอื่นไม่มีผลต่อกัน เพื่อให้ชาวโลกพ้นจากความมืดมน พระองค์ทรงปฏิญาณต่อพระเจ้าพิมพิสารว่า หากพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จะเสด็จกลับมาสู่แคว้นมคธ
ต่อมาเมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้กฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์แล้ว ชาวพุทธจึงเรียกพระองค์ว่า "พระพุทธเจ้า" และเสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาพร้อมด้วยชฏิล ๓ พี่น้อง และสาวก ๑,๐๐๐ รูปในเมืองราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารทรงฟังพระธรรมเทศนา ที่ลัฏฐิวันซึ่งเป็นสวนตาลในแคว้นมคธ พระองค์ทรงบรรลุโสดาบันกับชาวมคธ ๑๑๐,๐๐๐ คน และทรงถวายอุทยานหลวงเวฬุวัน เป็นวัดพุทธแห่งแรก หลังจากนั้นชีวิตของพระเจ้าพิมพิสารก็เปลี่ยนไป เพราะพระเจ้าอชาตศัตรูทรงจับกุม และจองจำไว้จนพระองค์จนสวรรคตในพระราชวังราชคฤห์
เมื่อธรรมชาติของนักตรรกะและนักปรัชญาเป็นมนุษย์ทีมีอายตนะภายในจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต และมีคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่อาจใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่อง "การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสารได้" ที่ได้รับการทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างสมเหตุสมผล หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นเรื่อง "การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร" โดยใช้ปฏิภาณของตนเอง หรือคาดคะเนความจริงตามที่ได้ยินมาแล้ว โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงเรื่อง"การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร" นักปรัชญา นักตรรกะ ก็อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนี้ บางครั้งอาจอธิบายเรื่องนี้ถูกต้องได้ แต่บ้างครั้งอาจอธิบายผิดได้ บางครั้งอาจอธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งผู้เขียนอาจอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในความเป็นมาของเรื่องนี้ไม่ชัดเจน วิญญูชนย่อมไม่เชือข้อเท็จจริงของคำตอบนั้นเป็นความรู้ที่แท้จริงได้
เมื่อความคิดเห็นของนักปรัชญาและนักตรรกะไม่น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมา หรือตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนา เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง ควรสงสัยว่ายังไม่ใช่ความจริง จนกว่าจะได้สอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ แล้วก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนี้
ดังนั้น เมื่อผู้เขียนชอบศึกษาความจริงในเรื่องนี้ต่อไป จึงตัดสินใจตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาหลักฐานเพิ่มเติมเช่นพระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ ฯลฯ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่อง การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสารข้อมูลได้จากบทความนี้ น่าจะเป็นประโยชน์กับพระธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทย ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ผู้แสวงบุญในแดนพุทธภูมิ ให้มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน และกระบวนการคิดวิเคราะห์จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาระดับปริญญาเอก ในการเขียนวิทยานิพนธ์สารนิพนธ์ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการศึกษาพระพุทธศาสนาทุกประการ

1 ความคิดเห็น:
เพิ่มความรู้เสริมสติปัญญา สาธุ
แสดงความคิดเห็น