Introduction: to the law of Karma according to the Buddhaphumi's philosophy
บทนำ
โดยทั่วไป ประชากรทั่วโลกเกิดมาโดยไม่รู้จักความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการฆ่ากัน การลักทรัพย์หรือฉ้อโกงทรัพย์ การผิดประเวณี การดูหมิ่นผู้อื่น การดื่มสุราและเสพยาเพื่อบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้นจากยึดติดอารมณ์ในจิตใจของตนเอง เป็นต้น โดยมีสาเหตุมาจากตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของมนุษย์ เมื่อขาดสติจึงสามารถคิดก่อนลงมือทำกรรมเหล่านี้เมื่อตัดสินใจลงมือกระทำโดยเจตนาไปแล้ว จึงไม่รู้ตัวว่ากรรมที่ตนกำลังทำอยู่นี้ เมื่อกรรมเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมสลายหายไปจากสายตาของมนุษย์ จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว มีอำนาจทางปัญญาพึ่งพาตนได้ สามารถต่อรองทางการเมืองกับประเทศมหาอำนาจของโลกได้ โดยไม่พึ่งพาต่างชาติให้เสียผลประโยชน์ทางการเมือง การศึกษา เศรฐกิจ ศาสนาและวัฒนธรรม
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะต้องส่งเสริมให้พลเมืองของตน มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการศึกษา ดำรงชีวิตอย่างพอเพียง และมีทักษะในการพึ่งพาตนเองโดยคำนึงถึงหลักศีลธรรมและกฎหมาย เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการประพฤติตนของพลเมือง ให้เหมาะสมกับการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ สามารถเข้าถึงสิทธิของตนตามกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์และยุติธรรมได้ และมีรายได้มาเสียภาษีให้ประเทศชาติได้ตามทักษะและความสามารถในการทำงาน เพื่อทำบำรุงประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองตลอดไป
ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศทั่วโลกจึงเปิดสถาบันการศึกษาในสาขาต่าง ๆ ให้ประชาชนได้ศึกษาและพัฒนาศักยภาพชีวิตของตน เพื่อสร้างองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่น่าสนใจและควรศึกษาอย่างมาก เพื่อปลูกฝังองค์ความรู้ในจิตใจไว้เป็นต้นทุนของชีวิต และผลิตเนื้อหาความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของตนเองแล้วถ่ายทอดเป็นความรู้ด้านทางปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ และได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า สมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ ถือเป็นยุคแห่ง"ความเชื่อในศาสนาพราหมณ์" คนในยุคนั้นเชื่อในคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระพรหมและพระอิศวร เป็นต้น การบูชายัญและกรรมที่มนุษย์กระทำต่อกัน ก็ไร้ผลกรรมที่ต้องชดใช้ต่อกัน แม้จะไม่เคยรับรู้เรื่องการมีอยู่เทพเจ้าจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมมาในจิตใจก็ตามก็เชื่อในเรื่องนี้ เพราะคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามวรรณะอื่นทำพิธีบูชายัญและสวดพระเวท ห้ามแต่งงานกับคนต่างวรรณะ พวกเขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้โดยตรง พิธีบูชายัญจะต้องกระทำโดยพราหมณ์เท่านั้น เพื่อขอพรเพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุความปรารถนาที่สำคัญคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับกรรมของมนุษย์ไม่มีผลต่อกัน แต่มนุษย์ทุกคนย่อมมีราคะเมื่อเขายังไม่พัฒนาศักยภาพชีวิตของตน จึงมีชีวิตที่อ่อนแอย่อมไม่สามารถระลึกถึงคำสอนของศาสนา และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะไปประยุกต์ใช้ เขาจึงขาดปัญญาที่จะนำคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณี มาประยุกต์ใช้ เพื่อพิจารณาพฤติกรรมของผู้สมสู่กับคนต่างวรรณะนั้น เป็นการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรงจะต้องถูกสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากสังคมที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตยู่ตลอดชีวิต พวกเขาเป็นนักโทษที่เรียกว่า "จัณฑาล" เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นปัญหาคนจัณฑาลในแคว้นสักกะ (Sakka country) และแคว้นอื่น ๆ (Other country) ทั่วอนุทวีปอินเดีย ต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างคนไร้บ้าน แม้ในวัยชรา เจ็บป่วยและเสียชีวิตข้างทาง เป็นต้น พระองค์ทรงมีพระเมตตากรุณาต่อจัณฑาลให้พ้นจากความทุกข์ทรมานและกลับคืนสู่สังคมเดิมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างเท่าเทียมกับผู้อื่นในสังคม แม้ว่าพระองค์จะทรงได้รับการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ วิชา แต่พระองค์ทรงไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าด้วยประสาทสัมผัสของพระองค์เอง เมื่อพระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พระองค์ทรงไม่เชื่อทันทีและทรงสงสัยในการมีอยู่ของเทพเจ้าเหล่านั้น พระองค์ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และรวบรวมคำให้การของปุโรหิตซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในแคว้นสักกะเป็นหลักฐานไว้แล้ว แม้พราหมณ์ปุโรหิตก็ยืนยันข้อเท็จจริงว่า พระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์ และวรรณะให้กับมนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เขาเกิดมา นอกจากนี้พราหมณ์ในรุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามปุโรหิตว่า พระพรหมมีประวัติความเป็นมาอย่างไร? แต่ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ เมื่อคำให้การของปุโรหิตนั้น ขาดความน่าเชื่อไม่สามารถยืนยันความจริงในเรื่องนี้ได้ เมื่อไม่มีหลักฐานมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้นได้ทำให้พระองค์ทรงพิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าคำให้การของปุโรหิตขาดความน่า พระองค์ทรงไม่เชื่อการมีอยู่จริงของเทพเจ้าเหล่านั้น
ดังนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ โดยเสนอกฎหมายยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะ เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยได้ร่วมประชุม เพื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยชนชั้นวรรณะ เป็นการขัดต่อกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศ ข้อ ๓ ที่ห้ามมิให้ยกเลิกกฎกมายที่บัญญัติไว้แล้ว เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่สามารถปฏิรูปสังคมผ่านระบบรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะได้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปว่า หากพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีบูชายัญด้วยพระองค์เองแล้ว เพื่อขอพรพระพรหมให้พระองค์ทรงยกเลิกวรรณะเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่อย่างเท่าเทียมกัน แต่พระองค์ทรงกระทำมิได้ เป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เช่นนี้ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวชใช้ชีวิตแบบพระโพธิสัตว์ เพื่อค้นหาสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงศึกษาด้วยการปฏิบัติธรรมอยู่หลายปี จนกระทั่งค้นพบแนวทางปฏิบัติตามอริมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุความรู้แจ้งเห็นจริงในระดับอภิญญา ๖ และตรัสรู้ความจริงของชีวิตว่ามนุษย์มีวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง ปฏิสนธิวิญญาณอยู่ในครรภ์มารดาและคลอดออกมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่ได้ถูกสร้างมาจากพระพรหมและพระอิศวร ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันกล่าวอ้างไว้ในทางกลับกัน ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษยชาติเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นได้มากกว่าความรู้ทางปรัชญาและพระพุทธศาสนา
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เพื่อให้ข้อมูล วิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ เช่น การมีอยู่ของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และหลุมดำ เพื่ออธิบายความรู้ที่นอกขอบเขตระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ ที่ไม่สามารถรับรู้ได้โดยตรง แต่ต้องอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงวัตถุที่อยู่ห่างไกล เช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาวอังคาร ฯลฯ ต่อมาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ก่อตั้งสถาบันพัฒนามนุษย์ เพื่อผลิตนักวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น และสามารถสืบค้นหลักฐานได้มากขึ้น จัดหาข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับโลกและจักรวาล ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ออกเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ได้หลายสาขา โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต มีนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า "แพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต"เพื่อเป็นสถานที่แบ่งปันความรู้ในระดับต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความอยากรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที เมื่อนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์หลักฐานของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ พวกเขาค้นพบว่าโลกและดวงอาทิตย์ เป็นสสารที่มีพลังงานในตัวเองและส่งพลังงานที่ดึงดูดกันไม่ว่า โลกจะถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์เหวี่ยงไปไกลแค่ไหนโลกก็ไม่มีวันหลุดพ้นจากระบบสุริยะได้ นอกจากนี้มนุษย์ยังเป็นสารที่มีพลังงานในตัวเอง เมื่อมนุษย์และโลกส่งพลังงานมาดึงดูดกันไม่ว่าโลกจะหมุนรอบตัวเองแรงแค่ไหนก็ไม่ส่งผลให้มนุษย์หลุดพ้นจากแผ่นดินโลก เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดมนุษย์ไว้เมื่อโลกกลม แม้ว่ามนุษย์จะอาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ เขาก็ยังไม่หลุดพ้นจากโลกเพราะแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดพวกเขาไว้
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงมีญาณทิพย์เหนือมนุษย์ ทรงเห็นดวงวิญญาณออกจากร่างของมนุษย์ที่ตายลง ไปเกิดอีกภพหนึ่งในสังสารวัฏไม่จบสิ้น เมื่อผู้คนทำชั่ว จิตใจของเขาจะดึงดูดอารมณ์ชั่วร้ายมาสั่งสมอยู่ในจิตใจ เมื่อพวกเขาตายวิญญาณที่ชั่วร้าย จะถูกดึงดูดไปสู่ทุคติภูมิเพื่อชดใช้กรรมชั่วที่อบาย นรก เป็นกฎธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นต้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงนำความรู้ในพระพุทธศาสนานี้ มาเผยแผ่สู่มนุษย์ในดินแดนต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดีย เพื่อให้คนทุกวรรณะสามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพชีวิตโดยปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ไม่ขุ่นมัว อ่อนโยน มีจิตใจมั่นคงและไม่หวั่นไหวกับปัญหาที่เข้ามาในชีวิตและบรรลุความรู้ในระดับ "อภิญญา๖" แต่เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างสุขสบายตามปัจจัย ๔ พวกเขาละเลยที่จะใช้ชีวิตโดยประมาทจึงไม่พัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเองพวกเขาจึงหมกมุ่นอยู่กับกามตัณหา ๕ ประการเพื่อสนองสิ่งที่เรียกว่า "ภวตัณหา" หรือความทะเยอทะยานที่จะรักษาสภาพดั้งเดิมของตัวตนที่สมมติขึ้น เช่น ตำแหน่งงาน หรือ ความทะเยอทะยานที่จะออกจากสถานเดิม เมื่อมนุษย์มีพลังจิต มันจะดึงดูดสิ่งต่าง ๆ มาสนองความต้องการของตัวมันเอง แต่มนุษย์มีจิตใจสูงส่ง ดังนั้น พลังจิตอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "สติ" พวกเขารู้วิธีคิดเกี่ยวกับอารมณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต และตัดสินใจเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้น ส่วนอะไรไม่ชอบ ก็จะมองข้ามไป นอกจากนี้ พวกเขายังมีพลังแห่งความทะเยอทะยานซ่อนอยู่ในจิตใจ ในยามขาดสติซึ่งก็คือการขาดความยับยั้งช่างใจ เขาจึงตัดสินใจปฏิบัติตามอำนาจของกิเลสนั้น จิตจะดึงดูดอารมณ์กิเลสมาสู่ตนเอง เมื่อถูกครอบงำและหมกมุ่นกับมันอยู่ตลอดเวลา หากสิ่งนั้นไม่ตอบสนองต่ออารมณ์ของเขาอีกต่อไป พวกเขาก็จะคว้าสิ่งใหม่ ๆ มาตอบสนองอารมณ์ของตน มีปัญหาที่ผู้เขียนสงสัย และค้นคว้าหลักฐานเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลว่าเหตุใด มนุษย์จึงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาทั้งนี้เพราะมนุษย์มีจิตใจเป็นปัจจัยแห่งชีวิต และอาศัยอยู่ในร่างกายเพื่อรับรู้วัตถุและนามธรรม เป็นต้น เมื่อสัมผัสกับอารมณ์เหล่านั้น จิตใจจะมีความปรารถนา มนุษย์ตัดสินใจแสดงเจตนาของตนแสวงหาสิ่งนั้นเพื่อสนองกิเลสของตนเอง เมื่อได้รับสิ่งนั้นแล้ว ก็จะแสดงอาการของจิตใจออกมาว่าเขาพอใจหรือไม่พอใจต่อกิเลสนั้น
กรรมวาจา เมื่อร่างกายมนุษย์เชื่อมต่อกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์สังคมที่เกิดขึ้นตรงหน้าเรา จิตใจจะรับรู้และเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้เป็นข้อมูลในใจ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น และแสดงเจตนาด้วยคำพูดเพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงความต้องการของตนเอง เช่น ตำรวจทราบว่ามีเหตุการณ์คนคนหนึ่งกำลังจะกระโดดลงจากตึกไปสู่ความตาย ตำรวจต้องรู้จักใช้ถ้อยคำปลอบใจให้เขาฟื้นจากความผิดหวังในชีวิตและยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ต่อไป มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบพบปะผู้คนเสมอและคนไหนที่ตนพอใจก็จะพูดจาไพเราะเสมอบางคนไม่พอใจ และแสดงความรังเกียจอย่างชัดเจน ส่วนคนที่มีจิตใจโลภอยากได้เงินคนอื่นโดยหลอกคนอื่นให้สงสารและส่งเงินมาช่วย หรือเปิดโฟร์ไฟล์บนเฟสบุคเพื่อหลอกลวงผู้อื่นโดยใช้ภาพใบหน้าของคนอื่นแทนของตัวเอง ใช้คำพูดโน้มน้าวผู้อื่นให้เชื่อว่าตนซื่อสัตย์ต่อพวกเขาแล้วใช้คำพูดโน้มน้าวผู้อื่นมอบเงินให้ตนเช่นนี้ เป็นการกระทำเรียกว่า "อกุศลกรรม" เพราะเป็นการแสดงเจตนาปกปิดความจริงไว้บนหน้าในยุคสมัยก่อน โลกยังไม่เจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตนั้น กรรมที่คนแสดงเจตนา เป็นปรากฏการณ์แห่งการกระทำที่คงอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วดับไป ไม่มีหลักฐานชัดเจนถึงเจตนาของผู้กระทำผิดจึงเป็นเรื่องยาก เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่จะต้องสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลในการพิสูจน์ความจริงที่จะลงโทษบุคคลนั้นเพราะไม่มีใครยอมรับง่าย ๆ ว่าเขาคือ ผู้กระทำผิด
มโนกรรม เจตนาที่จะกระทำโดยไม่สำนึกถึงการกระทำในขณะเดียวกัน หวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือเจตนาในผลของการกระทำตน เมื่อเขาแสดงเจตจำนงที่จะกระทำการอันก่อให้เกิดเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นว่า เขาก็ลำบากกว่าตัวเองทำงานหนักกว่าเขาจะได้เงินแต่ละบาท ไม่รู้สึกเสียใจที่ฆ่าผู้อื่นคิดว่าเป็นนกเป็นปลาต้องถูกฆ่าถูกล่าให้ตายอยู่แล้ว เป็นคนไร้ศีลธรรมใช้ชีวิตตามอำเภอใจ เมื่อตนอยากได้ทรัพย์สินเงิน ทอง และอาหารที่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ก็เข้าไปปล้นสะดมภ์แย่งชิงของเขามาไม่พอก็แสดงพฤติกรรมโหดเหี้ยมทารุณกับเจ้าของทรัพย์จนตายก็มี แต่ในยุคปัจจุบันนี้ มนุษย์มีการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ต มนุษย์ชอบแสดงเจตนาของกรรมของตนออกมาอย่างชัดแจ้ง มีการแชร์ภาพและตัวอักษร วีดีโอไว้ในอินเตอร์เน็ต เพื่อประจานพฤติกรรมไม่ดีของผู้อื่น ให้ได้รับความอับอายจากกรรมไม่ดีของคนนั้นเป็นกรรม ที่ถูกรักษาไว้ในโลกออนไลน์เป็นอย่างถูกแชร์ไปอย่างรวดเร็ว ด้วยมนุษย์ดุจไวรัสโควิคที่แผ่เชื้อระบาดไปสู่มนุษย์อย่างรวดเร็วเป็นต้น จึงไม่มีเหตุที่ต้องสงสัยว่า "กรรมที่ทำไปแล้วนั้นจะสูญหายไปไหม ตัวอย่างเช่น กรรมชั่วที่ฆ่าคนอื่นตายนั้นด้วยสาเหตุข้อพิพาทเรื่องที่ดินนั้น จะสูญหายไปไหมถ้าไม่มีคนเห็น ลักเล็กขโมยน้อยในยามเจ้าของบ้านไม่อยู่ไปที่อื่น และไม่มีใครเห็นนั้นกรรมนั้นสูญหายไปไหม แอบพึงพอใจในแฟน คู่ครองของคนอื่นและแอบนัดแนะเจอกันโดยไม่มีใครรู้ แต่ตนเห็นรู้ว่าเป็นการผิดศีลธรรมอันดีโดยไม่มีความละอายแก่ใจในการกระทำของตน ที่ไม่มีความซื่อสัตย์จริงที่มีต่อกันสิ่งเหล่านี้ เกิดจากเจตนาที่อยู่ในใจของมนุษย์ต้องการกระทำทั้งสิ้นกรรม ที่ทำไปสูญหายไปไหนนอกจากนี้ในยามที่คนอื่นทำกรรมไม่ดีกับตนเอง แต่พวกเขายังทำตัวเหมือนมิได้มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทำให้ผู้ถูกกระทำหลายคนรู้สึกว่าทำดีต่อผู้อื่นไม่ได้รับผลดีตอบแทน เป็นต้น
แต่เมื่อกรรมของผู้กระทำผิดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา และประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่น ๆ แม้ว่ากรรมจะยังไม่เกิดผลแก่ผู้กระทำผิดและอารมณ์กรรมสั่งสมอยู่ในจิตใจของผู้กระทำผิด เมื่อตายไป วิญญาณจะชดใช้กรรมในทุคติภูมิ แต่เมื่อบุุคคลนั้นยังไม่ตายและยังไม่ได้รับโทษจำคุกหรือประหารชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากผู้กระทำผิดหลบหนีการจับกุม ของพนักงานสืบสวนไปหมดอายุความ เขาจึงกลับมายังถิ่นกำเนิดของตน โดยไม่ถูกลงโทษตามกฎหมายนั้น
ดังนั้น เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงว่าบรรดาผู้ฝ่าฝืนหลักศีลธรรมและกฎหมายโดยไม่ต้องรับโทษ ทำให้เรื่องอารมณ์กรรมปรากฏอยู่ในจิตใจคนทั่วโลกยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่า ชีวิตมนุษย์ทุกคนเป็นไปตามกฎแห่งกรรมจริงหรือไม่ ?
ผู้เขียนสงสัยกฎแห่งกรรมนี้และชอบค้นคว้าหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมในพระไตรปิฎกต่อไป เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบว่าชีวิตมนุษย์เป็นไปตามกฎแห่งกรรมตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และมีวิธีการตรวจสอบกรรมที่ถูกต้องด้วยเหตุผลข้างต้น ผู้เขียนตัดสินใจศึกษา"กฏแห่งกรรมในพระไตรปิฎก" โดยรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ อรรถกถา ข้อความคิดเห็นและงานวิจัยอื่น ๆ เป็นต้น เมื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องกฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎกนี้ บทวิเคราะห์นี้จะเป็นประโยชน์แก่พระวิทยากร บรรยายธรรมแก่ผู้แสวงบุญในถิ่นกำเนิดแห่งพุทธศาสนาเพื่อให้เนื้อหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนกระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนานั้น เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา สามารถนำไปใช้ในการวิจัยและเป็นความรู้โดยใช้วิจารณญาณอย่างมีเหตุผล โดยไม่ต้องสงสัยในการวิจัยของนักศึกษาอีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น