Introduction: The reason why Prince Siddhartha was ordained
๑.บทนำ
ผู้เขียนเป็นชาวพุทธโดยกำเนิด เมื่อศึกษาเรื่อง "รัฐสุวรรณภูมิ" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ จึงได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังภูมิภาคต่าง ๆทั่วอนุทวีปอินเดีย พระองค์ทรงเรียกดินแดน ที่ราชอาณาจักรไทยตั้งอยู่ในปัจจุบันว่า "รัฐสุวรรณภูมิ" ซึ่งมีชื่อเสียงในหมู่พ่อค้าอินเดียในสมัยพุทธกาลว่า ดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยเครื่องเทศโดยเฉพาะพริกไทยดำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีราคาแพงเทียบเท่าทองคำ ถือเป็นยาอายุวัฒนะที่ช่วยให้มนุษย์มีสุขภาพแข็งแรง จึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยม ที่ชาวตะวันตกนิยมบริโภคพริกไทยดำเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
ในปี พ.ศ.๒๕๑ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นประธานในการสังคายนาพระพุทธศาสนา (Buddhist councils) ครั้งที่ ๓ เพื่อรวบรวมหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นหมวดหมู่ไว้ในพระไตรปิฎก พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเล็งเห็นว่า ในอนาคตพระพุทธศาสนา จะไม่มั่นคงในจิตใจของชาวโมริยะอีกต่อไป เพราะจิตใจของมนุษย์เป็นของไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตามกิเลสที่เข้ามาในชีวิตและสั่งสมอยู่ในจิตใจทุกวัน พระองค์จึงทรงได้แต่งตั้งพระโสณะและพระอุตตรให้ดำรงตำแหน่งพระธรรมทูตต่างประเทศ (foreign Dharma ambassadors ) แห่งอาณาจักรโมริยะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรสุวรรณภูมิเพื่อพัฒนาศักยภาพชาวสุวรรณภูมิ ให้มีชีวิตที่เข้มแข็งด้วยสมาธิ มีจิตใจบริสุทธิ์ ปราศจากอคติและความเศร้าโศก มีบุคลิกภาพที่อ่อนน้อมถ่อมตน สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ มีอุดมคติสูงสุดในชีวิต มีความขยันมั่นเพียรไม่ย่อท้อในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและยุติธรรม มีสติและสามารถระลึกถึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมความรู้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในใจ เพื่อให้ชาวสุวรรณภูมิได้นำความรู้เหล่านี้ไปแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเอง
ผู้เขียนสันนิษฐานว่าการเดินทางของคณะเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิของพระโสนะและพระอุตตระ ผู้นำทางได้เดินทางไปที่ดินแดนสุวรรณภูมิด้วยเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ โดยนำสินค้าประเภทอัญมณี สร้อยคอ กำไรและอัญมณีต่าง ๆ มายังดินแดนสุวรรณภูมิ เนื่องจากชาวสุวรรณภูมินิยมใช้เครื่องประดับเหล่านี้ เพื่อแสดงฐานะทางสังคมของตน คณะของพระธรรมทูตแห่งอาณาจักรโมริยะที่เดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่เมืองท่าสะเทิมแห่งอาณาจักรสุธรรมวดี เป็นแห่งแรก และใช้เวลานานหลายปีในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของชาวสุธรรมวดีด้วยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้ชาวสุธรรมาวดีมีชีวิตที่เข้มแข็ง มีความศรัทธาในตนเองว่าสามารถบรรลุสัจธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ มีความเพียรในการปฏิบัติธรรม สติระลึกถึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ มีสมาธิในการปฏิบัติธรรมอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค์ที่ขัดขวางการปฏิบัติธรรมของตนเองและมีปัญญารู้แจ้งความจริงที่เกิดขึ้นในจิตใจ มีความมั่นคงและไม่หวั่นไหวในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่น ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีสติสัมปชัญญะ สามารถจดจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในรางกายและสั่งสมไว้ในจิตใจ สามารถใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมได้ด้วยตนเอง เป็นต้น
ในราชอาณาจักรไทย ประชากรส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และใช้อริยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพชีวิตให้เข้มแข็งด้วยการปฏิบัติธรรม จนจิตใจบริสุทธิ์ ปราศจากอคติ และความเศร้าหมอง มีบุคลิกภาพอ่อนโยน สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ มีความมั่นคงในเป้าหมายชีวิต เพื่อปกป้องชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จึงไม่กลัวที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และยุติธรรม สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่างมีสติ โดยการอนุมานความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจ นอกจากนี้ยังสามารถนำความรู้นั้น ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาในการทำงานและสังคม จนกลายเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของราชอาณาจักรไทย ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการทำความดีเพื่อสังคม
พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยทรงเป็นพุทธมามกะ ที่ยึดถือหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิตของพระองค์เอง เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ อันเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ราษฎรทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของคณะสงฆ์ไทยได้อุทิศตนเพื่อรับใช้ชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาศักยภาพของราษฎรในราชอาณาจักรไทย โดยสั่งสอนให้ปฏิบัติธรรมตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อมีศรัทธาในประเทศของตน เชื่อว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาในชีวิตของตนและผู้อื่นได้ พยายามศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน มีสติอยู่กับปัจจุบัน ปฏิบัติธรรมให้ชีวิตมีความเข้มแข็งด้วยสมาธิ มีจิตใจที่บริสุทธิ์ปราศจากอคติและเศร้าโศก มีบุคลิกภาพอ่อนโยน เหมาะสมกับการทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคม มีอุดมการณ์มั่นคงในการปกป้องประเทศ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ และไม่ลังเลที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและยุติธรรม เพื่อความสงบสุขในสังคมตามหลักศีลธรรมและกฎหมาย
เมื่อคนไทยยังมีฐานะยากจน มีรายได้ไม่เพียงพอเลี้ยงตัวเอง ต้องประสบกับความทุกข์ ต้องต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆที่เกิดจากการทำงานหนักและสุขภาพที่ไม่ดี เราเลือกที่จะดับทุกข์ทางใจตามกฎธรรมชาติ ดำเนินชีวิตที่ดีด้วยการทำสมาธิ จนจิตใจบริสุทธิ์พ้นทุกข์ มีบุคลิกภาพที่ดี เหมาะสมกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มีอุดมการณ์แน่วแน่ในการทำความดี จิตใจที่เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แก้ไขปัญหาด้วยปัญญาของตนเอง ไม่ยอมให้ผู้อื่นช่วยเหลือตลอดเวลา
เมื่อราชอาณาจักรไทยประสบภัยธรรมชาติ โรคระบาดและสงครามจากประเทศเพื่อนบ้าน คนไทยไม่มีเหตุผลที่จะละทิ้งเพื่อนทหารชายแดนโดยไม่คิดที่จะช่วยเหลือกัน เราแสดงเจตนารมณ์ที่จะแสดงความเมตตาและความสามัคคี เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาของชาติ เมื่อคนไทยพัฒนาศักยภาพในชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ และบรรลุสัจธรรมในระดับ "อภิญญา ๖" คนไทยรู้ว่าตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ความดีที่ตนได้กระทำด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนั้น (bass of meritorious action) จะเป็นความทรงจำที่ติดตัวไปชั่วกาลนาน เมื่อชีวิตของมนุษย์มีธรรมชาติเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและวิญญาณ เมื่อทำความดีหรือความชั่วย่อมเป็นกรรมสั่งสมอยู่ในใจ เมื่อตายลงไป กรรมดีก็จะส่งผลให้ไปเกิดในสุคติภูมิหากทำกรรมชั่วไว้มากก็ไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นต้น
แต่คนสมัยนี้ยังมีนิสัยโง่เขลาเบาปัญญา จึงไม่มีศรัทธาในตนเองที่จะศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ เพื่อใช้ความรู้เป็นที่พึ่งในการแก้ไขปัญหาของตนเอง เมื่อต้องศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ก็ขาดความเพียรในการศึกษา จึงขาดสติจึงไม่มีความรู้ที่สั่งสมไว้ในใจและจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิต ไม่มีสมาธิคือความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้จิตสงบ เพื่อให้เกิดปัญญาในการคิด และเมื่อขาดปัญญาคือไม่มีความสามารถในการคิดโดยใช้เหตุผลจากความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากมายที่สั่งสมอยู่ในใจแล้วนำความรู้นั้นมาพิจารณาถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนที่จะตัดสินใจลงมือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปโดยเจตนา เป็นต้น
เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงมีกิเลสสั่งสมอยู่ในใจจึงมักมีอคติต่อผู้อื่นมักโกรธเคืองอยู่เป็นประจำ มีนิสัยหยาบกระด้างไม่เหมาะแก่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ขาดอุดมการณ์ในการปกป้องชาติ พุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ จึงไม่สามารถลปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นให้บริสุทธิ์ยุติธรรม จึงขาดสติในการนึกถึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมไว้ในใจ พวกเขาจึงขาดปัญญาพิจารณาการกระทำตามหลักศีลธรรมอันดีงามของปวงชนและกฎหมาย จึงรับผลของกรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนก็ยังไม่เคยหยุดพัฒนาศักยภาพของชีวิต จนสามารถสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ พวกเขาได้พัฒนาแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตื ให้เป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้สำหรับการทำงานกันทั่วโลก ความงดงามของอารยธรรมไทย จึงไม่เคยเลือนหายไปจากใจของคนไทย กลับถูกเก็บรักษาไว้เป็นภาพถ่าย และวีดีโอเพื่อแชร์บนอินเตอร์เน็ต และเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนรุ่นต่อไป ได้เรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นหลักฐานของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และช่วยให้เรารู้คุณค่าของหน้าที่ที่เรามีต่อกัน แสดงให้เห็นว่าเราคนไทยจะไม่ละทิ้งเพื่อนร่วมชาติให้ทำงานเพียงลำพัง แต่ทุกคนต่างตั้งใจทำความดีด้วยการช่วยเหลือกันอย่างสุดความสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั่วโลก และสร้างอารยธรรมให้กับอาณาจักรไทย เพื่อให้คนทั่วโลกได้เห็นว่าเราเป็นใคร ? เป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว ที่เราได้สืบสานประเพณีการทำตักบาตรตอนเช้าและช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเผชิญกับกรรมแห่งชีวิต ไม่มีใครบังคับเราได้เพราะความดีที่เราทำนั้น สามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเราเอง
แม้ว่าราชอาณาจักรไทยจะไม่ใช่แหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนา แต่ราชอาณาจักรไทยก็เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด โดยได้นำเอาพระปัญญาของพระพุทธเจ้า มาสร้างศาสนสถานนับหมื่นแห่งทั่วราชอาณาจักรไทย เพื่อส่งเสริมให้คนทั่วโลกเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ซึ่งมีแหล่งความรู้จากความคิดของบรรพบุรุษของเรา ผู้สร้างศาสนสถานอันงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะในราชอาณาจักรไทย โดยไม่มีกฎหมายใด ๆ ที่จะบังคับให้ผู้คนมีความศรัทธาและปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ในปัจจุบัน แม้ชาวอินเดียจะไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ก็ได้บัญญัติคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เพื่อสร้างสังคมสันติสุขบนพื้นฐานของศีลธรรมและกฏหมาย ถือเป็นแนวทางในการกำหนดพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เพื่อป้องกันการละเมิดชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นหลักสากลและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในช่วง ๕ พรรษาแรก พระภิกษุสงฆ์รูปใหม่ที่จำพรรษาอยู่ในวัดทั่วราชอาณาจักรไทย มีหน้าที่ศึกษาพระพุทธศาสนา ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากประวัติพระพุทธเจ้าว่า เหตุผลที่เจ้าชายสิทธัตถะผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพราะทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และภิกษุทั้งหลาย พระองค์จึงทรงสงสัยใคร่รู้ความจริงของชีวิตว่า ทำไมมนุษย์ต้องแก่ เจ็บป่วย และตาย เป็นต้น จึงทรงตัดสินพระทัยผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต
เมื่อผู้เขียนมีโอกาสศึกษาที่มหาวิทยาลัยบานาราฮินดู สาธารณรัฐอินเดีย จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านปรัชญา การศึกษาของผู้เขียนจึงมิใช่การศึกษา เพื่อแสดงระดับความรู้จากปริญญาบัตรอีกต่อไป เราควรจะศึกษาเพื่อนำความรู้ที่ได้รับมานั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำได้ทุกสาขาวิชาวิชาชีพให้คุ้มค่าที่ได้ลงมือศึกษาค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี เมื่อผู้เขียนศึกษาวิชาปรัชญาจากหลักฐานเอกสารในตำราหลายเล่ม เราได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าปรัชญาเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง กล่าวคือ โดยทั่วไป ปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ที่เราเรียกว่า "นักปรัชญา"
ได้สืบเสาะข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความจริงของเหตุผลที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะและได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นบุคคลที่มีความศรัทธาอย่างลึกซึ้งในศาสนาพราหมณ์ และสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา พระองค์ทรงประสูติในวรรณะกษัตริย์ ซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองแคว้นสักกะ ตามกฎหมายวรรณะที่พระองค์ประสูติมา เพื่อพระองค์จะทรงปกครองอาณาจักรสักกะซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่ติดกับเทือกเขาหิมาลัย อันอุดมสมบรูณ์ ถือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เพราะผลิตข้าวได้เพียงพอให้ประชาชนบริโภคภายในประเทศ และสามารถส่งออกข้าวไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของอนุทวีปอินเดีย พระองค์ประทับอยู่ในปราสาท ๓ หลังในเขตพระราชวังกบิลพัสด์ุ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ ฉลองพระองค์ของเจ้าชายสิทธัตถะตัดเย็บจากผ้าไหมกาสีอันเลืองชื่อ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และผลิตโดยตรงจากพระนครพาราณสีเป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสี และมีข้าราชบริพาร ๔๐,๐๐๐ คน ประจำการในปราสาท ๓ แห่ง เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในยุคนั้น

โดยทั่วไป ชาวพุทธทั่วโลกได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกมาเป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว ได้ยินเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของคนแก่ คนป่วย คนตาย และภิกษุ เป็นต้น พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยผนวชเพื่อศึกษาความจริงแห่งชีวิต เป็นข้อเท็จจริงที่ชาวพุทธทั่วโลก ได้ยินสืบทอดกันมาตั้งสมัยพุทธกาลจน ถึงปัจจุบันและยอมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริง โดยไม่จำเป็นต้องสงสัยข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในเรื่องนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความเห็นขัดแย้งในข้อเท็จจริงว่า ความแก่ชรา ความเจ็บไข้ และความตายของมนุษย์ ซึ่งเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวตผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมไว้ในจิตใจของมนุษย์มาช้านาน จนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคม และเป็นความจริงเชิงประจักษ์ที่สามารถมองเห็นความจริงได้ง่ายในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นทฤษฎีธรรมชาติเกี่ยวกับความจริงของชีวิตมนุษย์ ที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ง่ายว่า "ทุกคนเกิดมาต้องตาย" ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงดำริในเรื่องนี้
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ และได้ฟังข้อเท็จจริงว่า อาณาจักรสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ มี "หลักราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีใช้ในการปกครองอาณาจักรสักกะ คำสอนของพราหมณ์ได้ถูกบัญญัติขึ้นเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยอ้างว่า เมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้วพระองค์ทางสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นนั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา เมื่อตรากฎหมายวรรณะแล้ว ก็ย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายให้ประชาชนในแคว้นสักกะ ต้องปฏิบัติต้องตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมา กล่าวคือ ห้ามประชาชนสมสู่กับคนต่างวรรณะ และห้ามมิให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายจะถูกสังคมลงโทษ โดยอ้างว่าเป็นการลงโทษของพระพรหม โดยขับไล่บุคคลนั้นออกจากชุมชน เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปเยี่ยมราษฏร พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ อย่างไรก็ตาม พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณไม่ได้กล่าวถึงประวัติของคนชรา คนป่วย คนตาย และนักบวชไว้อย่างชัดเจน เจ้าชายสิทธัตถะประสูติในวรรณะกษัตริย์ พระองค์ทรงมีสิทธิ และหน้าที่ในการปกครองประเทศตามวรรณะที่พระองค์ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงสามารถช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ด้วยหลักการแห่งความเมตตา ดังนั้น พระองค์จึงไม่จำเป็นต้องผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อจะค้นพบความจริงของชีวิต อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ก็ทรงแสดงเจตนาที่จะละทิ้งวรรณะกษัตริย์ในราชวงศ์ศากยะ พระองค์ก็ทรงสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ และไม่สามารถกลับสู่สถานเดิมในสังคมได้
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงนี้ ก็สงสัยว่าสัจธรรมของชีวิตคืออะไร ? ในเวลานั้น ผู้คนทั่วอนุทวีปอินเดียเชื่อในสัจธรรมของชีวิตตามคำสอนของพราหมณ์ที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระพรหมและพระอิศวร และยังสร้างวรรณะให้ผู้คนปฏิบัติตามวรรณะที่ตนเกิดมาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการศึกษาวิศวามิตรและสถาบันอื่น ๆ ที่เปิดสอนหลักสูตรศิลปศาสตร์ที่สอนความจริงนี้ และสอนพิธีบูชายัญเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่จริงของเทพเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อพราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญา มักแสดงทัศนะตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริง แต่นักตรรกะ นักปรัชญาเหล่านั้น มักใช้เหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนั้น บางครั้งก็ใช้เหตุผลถูกบ้าง ใช้เหตุผลผิดบ้าง เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง เมื่อความจริงของคำตอบไม่ชัดเจนแน่นอนจะเป็นอย่างไร วิญญูชน (The wise man)ผู้รู้ผิดรู้ถูกตามปกติ ก็ไม่ยอมรับเหตุผลของคำตอบนั้นว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น เป็นต้น
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าต่อ ๆ กันมา เราไม่ควรเชื่อในทันที่ว่าเป็นความจริง เราควรสงสัยเสียก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานได้ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราจะใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช (The cause of Prince Siddhartha's ordination) โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้
ดังนั้น เมื่อผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป โดยจะสืบค้นข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เช่น พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ อรรถกถา และเอกสารโบราณที่พระภิกษุชาวจีนสองรูปบันทึกไว้ สถานที่ประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แผนที่โลกของกูเกิล และเอกสารอื่น ๆ เป็นต้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้เขียนจะนำหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ และการคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องนี้ โดยจะเขียนคำตอบในรูปแบบของบทความวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพระธรรมทูตต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ไปปฏิบัติศาสนกิจในอินเดียเนปาล และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในการบรรยายเรื่องราวต่าง ๆของพระพุทธศาสนา ให้ผู้แสวงบุญได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้าได้อย่างชัดแจ้ง ไร้ความสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไป ส่วนกระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตปริญญาเอกทางพระพุทธศาสนาและปรัชญานำไปใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เช่น พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ให้สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาได้อย่างสมเหตุสมผลและไม่ข้อสงสัยใด ๆ ต่องานวิจัย อีกต่อไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น