Dharma puzzle on Ashoka pillars at Rampurva Bihar, Evidence to prove the truth in the Buddhist history
คำสำคัญ เมืองRampura Bihar เสาหิน หัวสิงโต หัววัว
๑.บทนำ เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำสงครามกับอาณาจักรต่าง ๆ เป็นเวลานานหลายปี พระองค์ต้องทรงทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ชัยชนะเหล่านี้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงต้องสูญเสียทั้งสุขภาพ และพระชนม์ชีพของพระองค์เอง การต่อสู้อันยาวนาน ทำให้พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสทางกายและพระทัยอย่างหนัก ในศึกครั้งสุดท้าย กองทัพของพระองค์ต่อสู้กับกองทัพกลิงคะอย่างดุเดือด การเสียชีวิตของทหารทั้งสองฝ่าย ทำให้พระองค์ทรงโศกเศร้าอย่างยิ่ง แม้ว่าพระองค์ทรงประกาศยกเลิกการทำสงครามเพื่อขยายอาณาเขตของจักรพรรดิโมริยะอีกต่อไป
เมื่อเสด็จกลับถึงพระนครปาฏลีบุตร พระองค์ทรงเห็นความยากจนของประชาชนอันเนื่องมาจากสงคราม ซึ่งทำให้พระองค์ทรงรู้สึกสิ้นหวังและต้องการบรรเทาความทุกข์ยากในพระทัยของพระองค์ให้หมดสิ้นไป พระองค์ทรงระลึกถึงพราหมณ์สำนักต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐแห่งราชวงศ์โมริยะ และพระเจ้าพินทุสาร พระราชบิดาทรงให้ความอุปถัมภ์พราหมณ์เหล่านี้ยาวนาน แต่นักพรตเหล่านี้ประพฤติตนไม่เหมาะสมณสารูปที่สร้างศรัทธาให้กับพระองค์ได้เพื่อบูชายัญเพื่ออ้อนวอนเทพเจ้าช่วยให้พระองค์หลุดพ้นจากความทุกข์ในใจได้อีกต่อไป เมื่อความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของพระองค์ได้อีกต่อไป
แต่เมื่อพระองค์ทรงพบสามเณรนิโครธก็ทรงมีศรัทธาและหลังจากพระองค์ทรงฟังพระธรรมเทศนาแล้ว พระองค์ก็ทรงละทิ้งความเชื่อและหันมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งจิตของพระองค์ทรงตั้งมั่นอย่างมั่นคงชำระล้างกิเลสทั้งปวงและขจัดทุกข์ทั้งปวง พระองค์ยังทรงสอนประชาชนไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต โดยถือศีลห้า เพื่อป้องกันไม่ให้จิตสั่งสมกรรมชั่วและตั้งปณิธานไว้ในพระทัยของพระองค์
เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ชาวพุทธได้พัฒนาศรัทธาในพระสงฆ์และถวายเครื่องสักการะมากมาย สิ่งนี้นำภัยคุกคามจากผู้นับถือ ศาสนาอื่นที่บวชในพระพุทธศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุ การที่พระองค์ทรงอุปถัมภ์พระสงฆ์มากถึง ๖๐๐,๐๐๐ รูปต่อวัน จนกระทั่งพระองค์เป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ส่งผลให้พระองค์เสด็จไปปฏิบัติบูชาที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นประจำ ส่งผลให้พระองค์ทรงละเลยพระนางดิษยรักษ์ พระนางจึงส่งข้าราชบริพารไปโค่นต้นพระศรีมหาโพธิ พระเจ้าอโศกมหาราช จึงทรงไม่สามารถใช้ร่มเงาของต้นพระศรีมหาโพธิ์ในการปฏิบัติบูชาของพระองค์อีกต่อไป เรื่องนี้สร้างความโศกเศร้าเสียพระทัยเป็นอย่างสุดซึ้ง ดังนั้น พระองค์จึงทรงสร้างวิหารขึ้นเพื่ออนุรักษ์สถานที่ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ ถึง ๙ แห่ง พระองค์จึงทรงสร้างวัด สถูป วิหาร เจดีย์ และเสาหินอโศกรวม ๘๔,๐๐๐ แห่งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งที่เกี่ยวข้องพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงทิ้งสถานที่ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและแสวงหาความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ในพระพุทธศาสนา

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนจึงมีความสงสัยว่าหัวเสาหินอโศกที่ Rampurva Biharนั้นเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร แตกต่างไปจากเสาอโศกอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นและติดตั้งตามสถานที่ทางพระพุทธศาสนาอย่างไร ผู้เขียนวิเคราะห์หลักฐานเอกสารเช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา เป็นต้น โดยการอนุมานหรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น ๆ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้องและสมเเหตุสมผล โดยเขียนคำตอบในรูปบทความวิเคราะห์ และบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพระธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทยที่ปฏิบัติศาสนกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกในการบรรยายเนื้อหาของพระพุทธศาสนาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กระบวนการพิจารณาความจริงในพระพุทธศาสนา จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอกสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา ตั้งแต่หัวข้อวิจัยที่ตนสงสัย การตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว นักศึกษาปริญญาเอกใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล และปราศจากความสงสัยใด ๆ อีกต่อไปเกี่ยวกับความเป็นจริงของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
๒.ที่มาของความรู้ในบนหัวเสาหินอโศกที่ Rampurva Bihar
การวิเคราะห์หาเหตุผลถึงความรู้และความจริงของเสาหินอโศกที่สร้างขึ้นมาและปักไว้ในดินแดนต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปเผยแผ่หลักธรรมต่างๆ ในพระพุทธศาสนาเพื่อให้มนุษย์นั้นได้ข้ามพ้นจากมิจฉาทิฐิในความเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น นอกจากมีการค้นพยานเอกสารเช่นพระไตรปิฎกและอรรถกถา และบันทึกของสมณะชาวจีนอีก ๒ รูปก็ตาม แม้จะมีน้ำหนักรับฟังปราศจากข้อสงสัยในความจริงอีกต่อไปก็ตาม แต่ก็พยานวัตถุที่สร้างขึ้นมาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หลายพันแห่งที่สร้างขึ้นมาเป็นอนุสรณ์สถาน ล้วนแต่ทรงคุณค่าต่อประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ควรที่จะนำใช้วิเคราะห์หาเหตุผลของความรู้ที่สมเหตุสมผลรับฟังปราศจากข้อสงสัยอีกต่อไป กล่าวคือ
๒.๑ ทฤษฎีประจักษ์นิยมความรู้ทุกอย่างเป็นของมนุษย์ ที่มนุษย์ใช้ศึกษาหาความรู้นั้น ในทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์นั้นมีหลายทฤษฎีด้วยกัน ในที่นี้ขอใช้ทฤษฎีประจักษ์นิยมมีแนวคิดว่ามนุษย์คนหนึ่งคนใดรับรู้จากประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียว กล่่าวคือ ฉันรับรู้ความมีอยู่ของเสาหินอโศกนั้น จากการเดินทางไปแสวงบุญในพุทธสถานหลายแห่งในประเทศสาธารณรัฐอินเดีย โดยเฉพาะที่เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งขึ้นกับรัฐพิหาร ประเทศสาธารณรัฐอินเดีย เสาหินอโศกตั้งอยู่กุฏาคารวัดป่ามหาวัน เป็นเสาหินที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศสาธารณรัฐอินเดียหันหน้าสู่เมืองกุสินารา กับเสาหินอโศกอีกต้นหนึ่ง สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานจากรึกด้วยอักษรพราหมีตั้งอยู่ที่สวนลมพินี เมืองสิทธัตถะนคร ประเทศเนปาล เพื่อระลึกถึงการเสด็จมาเยือนของพระเจ้าอโศกมหาราชในปีที่ ๒๐ ของการครองราชย์สมบัติ หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชได้มาเยือนแล้วได้มีการสร้างเป็นวัดในพระพุทธศาสนาเพราะหลังจากนั้นประมาณอีก ๒๕๓๘ ปีต่อมา ได้มีการขุดค้นโบราณสถานมายาเทวีวิหารพบห้องทำสมาธิของพระภิกษุจำนวน ๑๔ ห้อง เป็นต้น
๒.๒ แผนที่โลก Google Map เมื่อเราตรวจสอบแผนที่โลกแล้วเราค้นพบว่าสถานที่ตั้งเสาหินอโศกนั้น ตั้งอยู่กลางทุ่งนาในเขตเมือง Rampurva เป็นเมืองพื้นที่การเกษตรกรรมปลูกข้าวเป็นพืชหลักในช่วงฤดูฝนของทุก ๆ ปี และปลูกพืชไร่ตลอดทั้งปี เพราะประเทศสาธารณรัฐอินเดีย เป็นอาหารประเภทผักหรืออาหารเจเป็นส่วนใหญ่ ด้านทิศตะวันออกของเมืองนั้นจดคลองส่งน้ำมีชื่อ Tirhut Canal เพื่อส่งน้ำจากแม่น้ำคันดักไปสู่พื้นที่ทำการเกษตรกรรมอันกว้างใหญ่ของชาวเมือง Rampurva ที่ทำการเพาะปลูกตลอดทั้งปี เมื่อวิเคราะห์จากแผนที่โลกของกูเกิลในประเทศสาธารณรัฐอินเดียนั้น เราค้นพบว่าเมือง Rampurva อยู่ใกล้กับแม่น้ำ Gandak River ใกล้กับชายแดนประเทศเนปาล สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำการเกษตรกรรมและระยะทางจากเมืองRampurwa ตั้งอยู่ในรัฐ Bihar ไปสู่เมือง Gorakhpur ในรัฐ U.P. ประมาณ ๑๑๓ กิโลเมตรและห่างจากเมืองกุสินาราประมาณ ๗๑.๓ กิโลเมตร เป็นต้น
๓. มูลเหตุการสร้างเสาหินอโศกเดิมพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิพาเหียรปาสัณฑะ มีแนวคิดว่าสัตว์น้อยใหญ่มีตัณหาและทิฐ เป็นบ่วงมัดสัตว์ไว้ให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่มีวันสิ้นสุดต่อมาพระองค์ได้สติพิจารณาเห็นว่าสมณะเหล่านั้นไม่บริโภคอาหารปราศจากความสงบระงับไม่สำรวมอินทรีย์ ไม่ฝึกกิริยามารยาทให้น่าเลื่อมใสน่าศรัทธา เมื่อนิมนต์มาเข้าฉันเพลในพระราชวังแล้ว ทรงเห็นกิริยาไม่สำรวมระวังในวัตรปฏิบัติของสมณะเหล่านั้นแล้วทำให้พระองค์ทรงหมดพระราชศรัทธาเพราะไม่อาจเป็นที่พึ่งของพระองค์ได้ในยามทุกข์ยากของชีวิต เมื่อทรงพบสามเณรนิโครธที่สำรวมระวังในออกบิณฑบาตรผ่านหน้าพระราชวังของพระองค์ ทรงมีพระราชศรัทธาในคำสอนความไม่ประมาทของสามเณรนิโครธ หลังจากนั้นพระองค์ทรงมีพระราชจิตศรัทธาถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ รูปในพระราชนิเวศน์หลังจากนั้นพระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์จำนวน ๙๘ โกฏิ สร้างวัด สถูป และวิหารจำนวน๘๔,๐๐๐ แห่งไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นต้นดังปรากฎพยานหลักฐานในอรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค เวรัญชกัณฑ์ [1]
๓.มูลเหตุของการสร้างเสาหินอโศก ๒ ต้นนี้
กล่าวคือพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว ทรงถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุในพระราชนิเวศน์จำนวนหลายแสนครูปทุกวัน ทรงเสด็จมาปฏิบัติธรรมที่ใต้พระศรีมหาโพธิ์เป็นประจำ ต่อมาเมื่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ถูกทำลายด้วยพระนางดิษยรักษ์สั่งให้คนมาตัดจนหมดสภาพจะเป็นร่มเงาในพระพุทธศาสนาใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติบูชาอีกต่อไป ทรงพระราชทานทรัพย์สร้างวิหารตรงสถานที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้แจ้งใต้พระศรีมหาโพธิ์นั้นและทรงพิจารณาต่อไปอีกว่า ในกาลข้างหน้าความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับพุทธสถานจะหมดไปตามกาลเวลาทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างศาสนสถานขึ้นมาและค้นหาสังเวนียสถานในช่วงปีพ.ศ.๒๗๒ - ๓๑๒ เพื่อให้ผู้คนที่เวียนว่ายตายเกิดในยุคหลังได้มาปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าในสังเวชนียสถานต่อไป.
-ความมีอยู่ของเสาหินทั้งสองต้นค้นพบชาวอังกฤษโดยอาศัยที่มาของความรู้จากหลักฐานของการบันทึกของสมณฟาเหียนและพระซัมกัมจังที่เก็บรักษาไว้ในประเทศจีนและแปลต้นฉบับจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษนำมาเป็นหลักฐานลายแทงค้นหาเสาหินทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดียในเวลาปัจจุบัน เสาหิน ๒ ต้นตั้งตระหง่านมาหลายพันปีก่อนที่เสื่อมสลายลงไปตามกาลเวลา บนยอดเสาหินต้นหนึ่งประดับด้วยรูปสิงโตส่วนเสาหินอีกต้นหนึ่งประดับด้วยประติมากรรมรูปวัว.
-ความมีอยู่ของเสาหินทั้งสองต้น การศึกษาพระพุทธศาสนาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพุทธสถานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้านั้น สิ่งที่เราควรกระทำอันดับแรกคือ เราต้องศึกษารากเหง้าทางพระพุทธศาสนาที่บันทึกเป็นหลักฐานที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกฉบับเถรวาทเพราะในพระไตรปิฎกจะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไว้ในตั้งอดีตจนถึงปัจจุบันเกือบสมบูรณ์ที่สุดเป็นหลักฐานช่วยวิเคราะห์ของการตีความหมายและวิเคราะห์ได้เป็นอย่างดีเมื่อเจ้าหน้าที่กองโบราณคดีของอินเดียค้นพบว่า มีเสาหินสองต้นอยู่กลางทุ่งนาอันกว้างใหญ่ของเมืองรามปุรวา (Rampurva Bihar) นอนกลิ้งอยู่กับพื้น บนยอดเสาหินหนึ่งต้นบนยอดเสาหินมีรูปสิงโตตั้งอยู่ ส่วนเสาหินอีกต้นหนึ่งนั้นมีรูปวัวตั้งอยู่ ลักษณะของเสาหินอโศกที่พบนี้ สร้างขึ้นมามีลักษณะเดียวกับเสาหินหลายต้น ที่ปักไว้ทั่วชมพูทวีป โดยเฉพาะสังเวชนียสถานทั้ง ๔ และมีการสลักอักษรพราหมีไว้บนเสาหินแสดงให้เห็นว่าเสาหินนี้สร้างขึ้นไว้ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ส่วนจุดประสงค์ของการสร้างเสาหินนี้เพื่อเป็นพุทธสถานเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาหาความรู้ให้ได้ความจริง.

เราวิเคราะห์ได้ว่าพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ทรงเสด็จไปปฏิบัติบูชาที่ใต้ต้นพระศรีมหา โพธิ์อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นประจำ และทรงปรารถนาเสด็จไปสู่โลกสวรรค์หลังจากสวรรคตแล้ว ขณะเดียวกันพระองค์ทรงไม่รู้ว่าสังเวชนียสถานนั้นตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง ทรงตัดสินพระทัยออกเดินทางเพื่อแสวงบุญในแดนพุทธภูมิ (Buddhist Yatra) เพื่อค้นหาสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพพานของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า "สังเวชนียสถานทั้ง ๔" ทรงโปรดให้สร้างเสาหินปักไว้เป็นหลักฐานพร้อมกับจารึกอักษรพราหมีบนเสาหินอโศกไว้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ ไว้ หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือสถานที่แสดงธรรมครั้งแรกเรียกว่าปฐมเทศนามีการจารึกอักษรพราหมีไว้และสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธ้ตถะ เป็นต้น ทรงไว้เวลาไม่น้อยกว่า ๒๒ ปีในการค้นหาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ส่วนมูลเหตุที่ทำให้พระเจ้อโศกมหาราชนั้นค้นหาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ นั้น ก็เป็นประเด็นของเรื่องราวที่น่าศึกษาไม่น้อยเพราะเราต้องการจากทราบเหตุผลด้วยการอนุมานความรู้จากเอกสารในพระไตรปิฎกบันทึกของสมณฟาเหียนและสมณะถัมซั่มจัง เป็นต้น สมณะชาวจีนทั้งสองรูปที่เดินทางมาสู่ประเทศอินเดียในช่วงปี พ.ศ. ๙๐๐ และปี พ.ศ. ๑๑๗๐ หรือประมาณ ๑๕๐๐ ปีที่ผ่านมา.
๔. ปริศนาธรรมบนหัวเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช

ผู้เขียนรับรู้เรื่องของเสาหินอโศกแห่งเมือง Rampurva จากภาพถ่ายที่คณะพระภิกษุสงฆ์จากประเทศไทยจำนวน ๑๒๐ รูปเดินธุดงค์ของคณะธรรมญาตตราในแดนพุทธภูมิเป็นเวลา ๓ เดือนเสาอโศกแห่ง Rampurva นั้น มีลักษณะไม่แตกต่างไปกว่าเสาหินอโศกกว่าที่อื่นแต่ที่แตกต่างออกไปจากเสาอโศกนั้นเสาหินต้นที่ ๑ หัวเสานั้น แกะสลักเป็นรูปสิงโต ส่วนอีกต้นหนึ่งนั้น เป็นรูปวัวกระทิง (Bull) นั้นผู้เขียนได้ผัสสะเรื่องของเสาหินอโศกที่Rampurwa แล้วเกิดความสงสัยว่า เสาหินอโศกที่มีรูปแกะสลักสิงโตและรูปวัวบนยอดเสานั้นมีความหมายว่าอย่างไร เป็นประเด็นที่เราต้องวิเคราะห์ตีความหมายจากปริศนาธรรมจากรูปแกะสลักสิงโตและรูปแกะสลักวัวกระทิงเหล่านี้ พยานหลักฐานชิ้นแรกที่เราควรนำมาวิเคราะห์ กล่าวคือ
๓.๑ พระไตรปิฎกฉบับออนไลน์ เมื่อเราศึกษามูลเหตุของการสร้างวัดในพระพุทธศาสนา เสาหินอโศกที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานไว้โดยทั่วไปจะแกะสลักอักษรพราหมีไว้เป็นเครื่องระลึกการเสด็จมาเยือนของพระเจ้าอโศกมหาราช หรือหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา ที่สำคัญมีความเกี่ยวพันในเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น แต่เรื่องราวเหล่านั้นถูกรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดเกล้า ฯ สร้างอนุสรณ์ วัด สถูป เสาอโศก แสดงหลักฐานไว้ให้ผู้แสวงบุญได้ตั้งพุทธานุสสติระลึกถึงเรื่องของพระพุทธเจ้าในสถานที่นั้น ๆ ในการปฏิบัติบูชา
ในประเด็นที่ ๑ เสาหินอโศกมีหัวเสาเป็นรูปสิงโตมีความหมายว่าอย่างไร เมื่อวิเคราะห์พยานหลักฐานในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ (ฉบับมหาจุฬาฯ) อังคุตตรนิการ ปัญจก-ฉักกนิบาต บทที่ ๙ สีหสูตรว่าด้วยพญาราชสี [๙๙ ] พระภิกษุทั้งหลายเวลาเย็น พญาราชสีออกจากที่อาศัยแล้วบิดกายชำเลืองดูรอบ ๆ ทั้ง ๔ ทิศ บรรลือสีหนาท ๓ ครั้งแล้วก็หลีกไปหากินพญาราชสีห์นั้น ถ้าแม้จะจับช้าง ก็จับได้แม่นยำ ไม่พลาด ถ้าแม้จะจับกระบือ ก็จับได้แม่นยำ ไม่พลาด ถ้าแม้จะเสือเหลือง ก็จับได้แม่นยำ ไม่พลาดที่เดียวข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะพญาราชสีห์นั้นคิดว่า"ช่องทางหากินของเราอย่าเสียไป" ภิกษุทั้งหลาย คำว่าสีหะ นี้เป็นชื่อตถาคตอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอาการที่ตถาคตแสดงแก่บริษัทเป็นสีหนารถ ของตถาคตของแท้คือตถาคต
๓. แม้จะแสดงธรรมแก่อุบาสถทั้งหลาย ก็แสดงโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ
๔. แม้จะแสดงธรรมแก่อุบาสิกาทั้งหลาย ก็แสดงโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ
๕. แม้จะแสดงธรรมแก่ปุถุชนทั้งหลาย ก็แสดงโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ โดยที่สุดแม้จะแก่คนขอทานและพรานนก ก็แสดงโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพข้อนั้นเพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลาย เพราะถตาคตเป็นผู้หนักแน่นในธรรม เคารพธรรม.
ความหมายในเชิงอรรถ ๑. สีหนารถ หมายถึงคำพูดที่ตรัสด้วยท่าทางอาจอง ไม่ทรงหวั่นเกรงผู้ใด เพราะทรงมั่นพระทัยในศีล สมาธิ และปัญญาของพระองค์ (ทิ.สิ.ฏีกา ๔๐๓/๔๓๒) จากหลักฐานที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกและในความหมายเชิงอรรถคำว่าสิงโต หมายถึงพระพุทธเจ้า ผู้มีความสง่างามองอาจ พระองค์ทรงไม่เกรงกลัวผู้ใด เพราะทรงมั่นพระทัยในหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษยชาติทุกคน เป็นไปตามกฎแห่งกรรมกันทุกคน ไม่มีใครหลีกพ้นจากผลของกรรมตัวเองได้และวิธีปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระองค์ การแสดงธรรมของพระองค์ทรงให้เกียรติแก่ชนทุกชนชั้นวรรณะไม่ยกเว้นแม้คนขอทาน
ในประเด็นที่ ๒. เสาหินอโศกมีหัวเสาเป็นรูปวัวกระทิง มีความหมายว่าอย่างไร คำว่าโดยเคารพแปลมาจากคำว่า "สกฺกจฺจํ" ในที่นี้หมายถึงความตั้งใจจริงเอาจริงเอาจังถือเป็นเรื่องสำคัญดุจในประโยคว่า"วจฺฉกํ สกฺกจฺจํ อุปนิชฺฌายติ แปลว่าจ้องดูลูกวัวอย่างสนใจจริงจัง"(วิ.ม.๕/๒๕๕/๑๙) และเทียบทีป.ปา.อ.๒๖๗/๑๔๗ องฺปญฺจก.อ.๓/๑๕๔/๕๙ และตามนัยองฺปญฺจก.อ. ๓/๙๙/๔๕
จากข้อความดังกล่าวข้างต้นเราวิเคราะห์ได้ว่า รูปวัวกระทิงบนเสาหินอโศกนั้นมีปริศนาธรรมหมายถึงพุทธสาวกของพระพุทธเจ้าประกอบด้วยพุทธบริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น พระองค์ทรงเทศน์สั่งสอนพุทธสาวกให้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (มรรคมีองค์๘) ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแต่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อพระองค์ดำรงอยู่เบญจศีลเบญจธรรมแล้ว
ผลจากการวิเคราะห์เกี่ยวกับเสาหินอโศกทั้ง ๒ ต้น ตั้งอยู่ในเมือง Rampurva Bihar ผู้เขียนวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ยอดเสาหินอโศกต้นหนึ่งเป็นรูปสิงโตที่แกะสลักตั้งอยู่บนยอดเสาหินอโศกเมื่อตีความหมายในพระไตรปิฎกว่าด้วยสีหสูตรนั้น พญาราชสีห์หมายถึง "พระพุทธเจ้า ส่วนที่ตั้งบนยอดเสาหินอโศกอีกต้นหนึ่งนั้นคือ รูปวัวกระทิงหมายถึงพุทธสาวกของพระองค์ ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎในพระบาลีที่กล่าวไว้ว่า "วจฺฉกํ สกฺกจฺจํ อุปนิชฺฌายติ แปลว่า จ้องดูลูกวัวอย่างสนใจจริงจัง"
ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยต่อไปอีกว่าสถานที่ตั้งเสาหินอโศกมีความสำคัญอย่างไร น่าหมายถึงสถานที่แสดงธรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่พุทธสาวก ก่อนเสด็จสู่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อเราวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า รูปวัวเป็นวัวกระทิงซึ่งเป็นสัตว์ป่าพระพุทธเจ้าทรงปกป้องสัตวโลกทุกชนิดมิใช่แต่มนุษย์เท่านั้น ดังนั้น พระราชวินิจฉัยของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ทรงปกป้องคุ้มครองสัตว์ป่าโดยเฉพาะวัวกระทิง ด้วยทรงสร้างเสาหินเป็นเขตอภัยทานแก่สัตว์ มิให้มีการล่าสัตว์วัวกระทิงไปบูชายัน เป็นต้น (ยังมีต่อ)
บรรณานุกรม
[1] http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=01.0&i=1&p=3
(๑). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม: ๒๒ หน้า : ๑๖๙


1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจากผู้อ่านทุกท่าน
แสดงความคิดเห็น