The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

บทนำ: รัฐสุวรรณภูมิตามหลักปรัชญาแดนพุทธภูมิ

 Introduction: Suvarnabhumi State according to Buddhaphumi Philosophy
๑.บทนำ

                โดยทั่วไป    ผู้เขียนได้ศึกษาอาณาจักรสุวรรณภูมิ  หรือ สุวรรณภูมิรัฐ  จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  อรรถกถา และบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า      กว่า๒๐๐ปี หลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงประกาศสงคราม  และแผ่ขยายอิทธิพลของอาณาจักรโมริยะไปยังดินแดนต่าง   ๆ   ในอนุทวีปอินเดีย รวมถึงเนปาล     ปากีสถาน  อัฟกานิสถาน และอื่น ๆ    อย่างไรก็ตาม ในสงครามครั้งล่าสุดกับแคว้นกลิงคะ (Kalinga)  กองทัพของพระเจ้าอโศกมหาราชทรงได้ต่อสู้กับกองทัพกลิงคะอย่างดุเดือด     เนื่องจากกองทัพกลิงคะไม่ยอมจำนนอย่างง่ายดาย   ส่งผลให้ทหารทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก  

               พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นประชาชนหลายแสนคนล้มตาย     พระองค์ทรงโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งและทรงไม่พอพระทัยรู้ในชัยชนะเหนือแคว้นกาลิงคะ   พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศยุติสงคราม อย่างไรก็ตาม  เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทางใช้พระวรกายของพระองค์ออกรบในสงครามนานหลายปี เพื่อขยายอาณาจักรโมริยะทรงเสี่ยงพระชนม์ชีพ เพื่อแลกกับความตายของประชาชนในรัฐต่าง ๆ  อย่างไรก็ตาม แม้สงครามจะสิ้นสุดลง แต่อารมณ์แห่งการต่อสู้กับศัตรูนั้น   คือพลังของจิตวิญญาณแห่งนักสู้     ผู้ยิ่งใหญ่และชัยชนะเหนือศัตรูของพระองค์       ความรู้สึกโหดร้ายนี้ฝังรากลึกอยู่ในพระทัยของพระองค์ตลอดกาล เพราะในสงครามใด   จิตวิญญาณของนักสู้ย่อมไม่ปราณีต่อศัตรู      มีเพียงการสังหารศัตรูอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณีเท่านั้น   

         เมื่ออารมณ์แห่งการฆ่าศัตรูสั่งสมไว้ในพระทัยของพระเจ้าอโศกมหาราช  กลายเป็นภาพที่ปรากฏอยู่ในพระทัยและติดตามพระทัยของพระองค์ไปยังที่ต่าง ๆ จนกระทั่งถึงพระนครปัฏตาลีบุตร    พระองค์ทรงยึดติดในภาพโหดร้ายเหล่านั้นและผุดขึ้นมารบกวนพระทัยของพระองค์ จนไม่สามารถบรรทมได้ต่อเนื่องกันมายาวนาน เมื่อพระองค์ทรงมีความทุกข์ทรมาน จากอารมณ์บาดแผลแห่งสงครามนั้น พระองค์ทรงนึกถึงนักบวชโดยหวังว่าจะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของพระองค์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบวชในนิกายต่าง ๆ  ที่พระเจ้าพินทุสาร พระบิดาทรงอุปถัมภ์และทรงบัญญัติกฎหมายวรรณะ เพื่อคุ้มครองสิทธิ  เสรีภาพและหน้าที่ทำพิธีบูชายัญด้วยเครื่องบูชา เพื่อขอพรจากพระพรหม เพื่อช่วยให้พระองค์ทรงหลุดพ้นจากชีวิตมืดมนชีวิต   

        แต่เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นพวกพราหมณ์ประพฤติตนไม่เหมาะกับความเป็นสมณะ พระองค์ทรงไม่ศรัทธาในนักบวชเหล่านั้น   ที่สอนให้พระองค์ทรงมีศรัทธาในการปฏิบัติธรรม มีความวิริยะในการปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในพระทัย  พระองค์ทรงสติที่จะระลึกถึงวิธีปฏิบัติธรรม เพื่อขจัดความทุกข์ที่สั่งสมอยูในพระทัยของพระองค์ได้    ทรงมีสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติธรรมไม่ย่อท้อต่อนิวรณ์เป็นอุปสรรค์ต่อการปฏิบัติ และเกิดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัติ สามารถแก้ไขความทุกข์ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดในพระทัยของพระองค์ได้   

      เมื่อความจริงเกี่ยวกับพราหมณ์เหล่านั้นนั้นถูกเปิดเผยต่อพระองค์แล้ว พระองค์จึงทรงละทิ้งความเชื่อในคำสอนของพราหมณ์ เพราะทรงเห็นว่าพราหมณ์ในรัชสมัยของพระเจ้าพิมทุสารนั้น ไม่สามารถเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของพระองค์ได้ 

        ในปีที่ ๘ แห่งรัชกาลของพระเจ้าอโศกมหาราช      พระองค์ทรงมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรสามเณรนิโครธไปบิณฑบาตรด้วยกิริยามารยาทอันงดงาม   พระองค์ก็ทรงนิมนต์สามเณรไปบิณฑบาตที่ปราสาทปัฏตาลีบุตร สามเณรนิโครธสอนให้รู้จักมีสติในการดำเนินชีพด้วยความไม่ประมาท และหมั่นเพียรปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘   เพื่อดับทุกข์ในใจและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยการทำบุญใส่บาตร แด่พระภิกษุจำนวนหลายแสนรูปในปราสาทปัฏลีบุตรทุกวัน   ทรงรักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนาทุกวันเพื่อดับทุกข์จากอารมณ์ยึดติดในการทำสงคราม จนพระองค์ทรงมีพระทัยที่เข้มแข็ง บริสุทธิ์และมั่นคงในอุดมคติในชีวิต  และพระองค์ทรงไม่หวั่นไหวต่อพระราชกรณียกิจที่ต้องพัฒนาศักยภาพชีวิตของชาวโมริยะ  ด้วยการเจริญสติในการดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘      เป็นต้น

        เมื่อประชาชนหมดศรัทธาในศาสนาพราหมณ์   พวกพราหมณ์ก็ไม่มีหนทางที่จะประกอบพิธีบูชายัญ เพื่อหาเลี้ยงชีพให้อยู่รอดต่อไป เพราะพระเจ้าอโศกมหาราชทรงได้อุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์ ด้วยการให้ทานเป็นประจำ พราหมณ์จำนวนมากปลอมตัวเป็นพระภิกษุและทำพิธีบูชายัญเช่นเดิม      ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในพระภิกษุสงฆ์ เพราะพระภิกษุประพฤติไม่สมควรเหมาะสมณสารูป   พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นประธานในการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๒ ในแคว้นมคธ ในการประชุมสังคายนาครั้งที่ ๓ ของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น  พระองค์ทรงระลึกถึงว่าจุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่พุทธศาสนาคือ การปฏิรูปสังคมในอนุทวีปอินเดียด้วยความเมตตาของพระพุทธเจ้า    เพื่อให้ผู้คนทุกวรรณะได้เรียนรู้กฎธรรมชาติและพัฒนาศักยภาพชีวิตของตน เพื่อให้บรรลุถึงแก่นแท้ของชีวิตซึ่งก็คือ มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง   
            การดำเนินชีวิตของทุกคน       ล้วนมีพื้นฐานมาจากกิเลสตัณหาและเจตนาของการกระทำของตนเอง    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์  ๘   เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ที่เรียกว่า"อริยบุคคล"เมื่อพระเจ้าอโศกมหาาชทรงมีความความศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า   มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘    สติในการระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า   เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ    และทรงทำสมาธิแน่วแน่มีความสามารถในการคิดได้เช่นนี้  พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยปฏิบัติธรรมใต้พระศรีมหาโพธิ์    ทำให้นางดิษยรักษ์พระมเหสีทรงไม่พอพระทัย พระนางจึงส่งข้าราชบริพารมาตัดต้นพระมหาโพธิ์    เมื่อต้นมหาโพธิ์ตายลง   เป็นมูลเหตุให้พระองค์ตัดสินพระทัยเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังแดนต่างๆ ทั่วโลก       
  
              ยุคทองของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นประธานในการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓    เสร็จสิ้น โดยทรงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จไปแสวงบุญและค้นหาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ พระองค์ทรงใช้เวลารวม ๒๒ ปี           และทรงส่งพระธรรมทูตสายต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรโมริยะ ๙ คณะเพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา    คณะที่ ๘ นำโดยพระโสนะเถระและพระอุตตระเถระ   ซึ่งนำมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวสุวรรณภูมิ 

             เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่าพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรโมริยะ       ไปเผยแผ่คำสอนและหลักปฏิบัติตามรรคมีองค์ ๘       ของพระพุุทธเจ้าไปยัง
"รัฐสุวรรณภูมิ"   ซึ่งเป็นรัฐอิสระมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองนั้นจากคำบรรยายของครูในโรงเรียนและอาจารย์ในเรื่องนี้ ก็ยอมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริง        แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใด  ที่เล่าสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน      อย่าเพิ่งเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ  มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ต่อไป    

            เมื่อยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์แล้วถือว่าข้อเท็จจริงในเรื่องรัฐสุวรรณภูมิ ยังเป็นปัญหาความจริงที่น่าสงสัย   ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในสนใจศึกษาเกี่ยวกับ "รัฐสุวรรณภูมิ"         โดยจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ        เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้วก็ใช้เป็นข้อมูล      วิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากพยานเอกสารพระไตรปิฎก            อรรถกถา เอกสารอื่น ๆ ในทางพระพุทธศาสนา บันทึกของนักเดินทาง    เป็นต้น     เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล     จะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมวิทยากรในแดนพุทธภูมิ    เพื่อใช้บรรยายแก่ผู้แสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ประเทศอินเดียและเนปาลให้มีเนื้อเป็นไปในแนวทางเดียวกัน        ส่วนกระบวนการวิเคราะห์ความจริงของคำตอบจะเป็นประโยชน์ในการวิจัยของนิสิตระดับปริญญาเอกในการวิเคราะห์หาเหตุผลของความรู้และความจริงของชีวิตตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นความรู้ผ่านเกณฑ์การตัดสินความรู้อย่างสมเหตุสมผลปราศจาก ข้อสงสัยในเหตุผลของความจริงอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ