Introduction: Suvarnabhumi State according to Buddhaphumi's Philosophy
๑.บทนำ
เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ์และบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า หลังจากพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานได้กว่า ๒๐๐ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงประกาศสงครามเพื่อขยายอาณาเขตของอาณาจักรโมริยะไปยังดินแดนต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียได้แก่ เนปาล อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ฯลฯ แต่ในสงครามครั้งสุดท้ายกับแคว้นกาลิงคะ (Galinga) กองทัพของพระเจ้าอโศกมหาราชต้องต่อสู้อย่างหนักกับกองทัพกาลิงคะ เพราะชาวกาลิงคะไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดาย ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นผู้เสียชีวิตหลายแสนคน พระองค์ทรงโศกเศร้าเสียพระทัยอย่างยิ่งและทรงไม่รู้สึกยินดีกับชัยชนะเหนือแคว้นกาลิงคะพระองค์ทรงตัดสินพระทัยประกาศยุติสงคราม แต่ชีวิตของพระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่กับสงครามหลายปี เพื่อขยายอาณาจักรโมริยะโดยเอาชีวิตแลกกับความตายของผู้คน อารมณ์การต่อสู้สงคราม เป็นพลังแห่งความหลงใหลที่ซ่อนอยู่ในพระทัยและมีความกระหายในชัยชนะเหนือศัตรู ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ไหลเวียนอยู่ในพระทัยของพระองค์อย่างไม่สิ้นสุด ไม่มีสงครามใดที่เมตตาต่อศัตรู แต่เป็นการสังหารอย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปราณี อารมณ์กรรมของการฆ่าศัตรูสั่งสมอยู่ในพระทัยและเป็นมโนภาพที่ตราตรึงอยู่ในพระทัยของพระองค์ ที่ได้ติดตามชีวิตของพระองค์มาถึงพระนครปัฏตาลีบุตร รบกวนพระองค์จนบยากที่พระองค์จะทรงบรรทมได้ เมื่อพระองค์ทรงได้รับความทุกข์ทรมานจากมโนภาพของสงครามเช่นนี้ พระองค์ทรงดำริถึงปุโรหิตที่พระเจ้าพินทุสารทรงอุปถัมภ์และคุ้มครองพราหมณ์ที่มีชื่อเสียงให้ทำการบูชายัญ เพื่อขอพรจากพรพรหมช่วยพระองค์หายจากความมืดมิดแห่งชีวิต แต่เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นอุปนิสัยของนักบวชที่ประพฤติมิชอบด้วยฐานะปุโรหิต เฉกเช่นผู้ปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ก็ไม่มีญาณทิพย์และความรู้ระดับอภิญญา ๖ ที่จะช่วยให้พระองค์ทรงมีปัญญาหายจากความมืดมนของชีวิต
พระองค์ทรงตัดสินพระทัยละทิ้งคำสอนของพราหมณ์ เพราะทรงเห็นว่า ปุโรหิตในรัชกาลพระเจ้าพิมทุสารเป็นที่พึ่งไม่ได้ ในปีที่ ๘ แห่งรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือพระพุทธศาสนา เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรสามเณรนิโครธไปบิณฑบาตรด้วยจริยวัตรอันงดงาม ทรงได้นิมนต์สามเณรไปบิณฑบาตในพระราชวังปัฏตาลีบุตร สามเณรนิโครธสอนพระองค์ทรงมีสติในการดำเนินพระชนม์ชีพด้วยความไม่ประมาท และปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อทรงดับทุกข์ในพระทัยและทรงบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุด้วยการถวายภัตตาหารบิณฑบาตรแด่พระสงฆ์จำนวนหลายแสนรูปในพระราชวังปัฏตาลีบุตรเป็นประจำทุกวัน ทรงรักษาศีลและทรงนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน เพื่อขจัดความทุกข์จากความมัวเมาในชีวิต จนทรงมีพระทัยที่เข้มแข็ง มีความบริสุทธิ์ มั่นคงในอุดมการณ์ของชีวิตและไม่หวั่นไหวต่อพระราชกรณียกิจของพระองค์เพื่อการพัฒนาศักยภาพชีวิตของชาวโมริยะให้ตั้งอยู่ในความประมาทในชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น
เมื่อผู้คนหมดศรัทธาในศาสนาอื่น พวกเขาจึงหมดหนทางชีวิตในการประกอบพิธีบูชายัญเพื่อเลี้ยงชีวิตได้อีกต่อไป และเห็นลาภสักการะในพระพุทธศาสนาพวกเขาจึงปลอมตัวบวชเป็นพระภิกษุกัน เป็นจำนวนมาก และคงประกอบพิธีบูชายัญเช่นเดิม นำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาในพระภิกษุในพุทธศาสนา เพราะขาดการสำรวมอินทรีย์เป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นประธานจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกในพระพุทธศาสนาเป็นที่ครั้งที่ ๓ และเป็นครั้งที่ ๒ ในแผ่นดินแคว้นมคธ เป็นต้นการจัดสังคายนาครั้งที่ ๓ ของพระเจ้าอโศกมหาราชทรงระลึกถึงว่าจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า ทรงตัดสินพระทัยทรงงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อปฏิรูปสังคมในชมพูทวีปด้วยความเมตตาให้มนุษย์ทุกวรรณะ ได้เรียนรู้กฎธรรมชาติและพัฒนาศักยภาพชีวิตเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตว่า มนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณเป็นบุคคลที่แท้จริง ทุกชีวิตดำเนินไปตามตัณหาของตัวเองและเจตนาออกมาโดยการกระทำของตัวเองทรงสอนคนเหล่านั้นรู้จักใช้วิธีการมรรคมีองค์๘ เพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตให้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่เรียกว่า อริยบุคคล เมื่อทรงสติได้เช่นนี้ทรงตัดสินพระทัยมาปฏิบัติธรรมใต้ พระศรีมหาโพธิ์จนเป็นเหตุให้นางดิษยรักษ์พระมเหสีทรงไม่พอพระทัย พระนางได้ส่งข้าราชบริพารมาตัดต้นพระมหาโพธิ์ เมื่อต้นมหาโพธิ์นั้นตายลงไปเป็นมูลเหตุให้พระองค์ ตัดสินพระทัยเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปแดนต่าง ๆ ทั่วโลก และเริ่มเข้าสู่ยุคทองของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากทรงเป็นศาสนูปถัมภ์ของการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ เสร็จสิ้นแล้วทรงตัดสินพระทัยไปแสวงบุญและค้นหาสังเวชนียสถานทั้ง๔ ทรงใช้เวลาไปทั้งหมด ๒๒ ปีและส่งพระธรรมทูตสายต่างประเทศไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งหมด ๙ สายด้วยกัน ส่วนพระธรรมทูตสายที่ ๘ นั้นมีพระโสนะเถระและพระอุตตระเถระเป็นประธานของคณะธรรมทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชาชนในรัฐสุวรรณภูมิด้วยเหตุผลในสภาพปัญหาที่กล่าวมาแล้วทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยว่าสนใจว่า "รัฐสุวรรณภูมิ" เป็นรัฐอิสระมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองนั้นตั้งอยู่ที่ไหน
ผู้เขียนจึงเกิดความสนใจศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ "รัฐสุวรรณภูมิ" โดยอาศัยการวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎก อรรถกถา เอกสารอื่น ๆ ในทางพระพุทธศาสนา บันทึกของนักเดินทาง เป็นต้นการวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบจากที่มาของความรู้นั้น จะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมวิทยากรในแดนพุทธภูมิใช้บรรยายแก่ผู้แสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ประเทศอินเดียและเนปาลให้มีเนื้อเป็นไปในแนวทางเดียวกันส่วนกระบวนการวิเคราะห์ที่มาของความรู้ จะเป็นประโยชน์ในการวิจัยของนิสิตระดับปริญญาเอก ในการวิเคราะห์หาเหตุผลของความรู้และความจริงของชีวิตตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นความรู้ผ่านเกณฑ์การตัดสินความรู้อย่างสมเหตุสมผลปราศจาก ข้อสงสัยในเหตุผลของความจริงอีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น