The Twin Stupas according to Buddhaphumi's Philosophy
๒.สถูปพระเจ้าสุทโธทนะในยุคปัจจุบัน
๓.สถูปพระนางสิริมหามายา เทพมารดาแห่งชาวฮินดู
๑.บทนำ
ในปีพ.ศ. ๒๕๕๙ ผู้เขียนได้เดินทางไปแสวงบุญกับพุทธศาสนิกชนจำนวน ๓๐ คน เพื่อเดินตามรอยพระพุทธบาท โดยพระพุทธเจ้าทรงได้แสดงธรรมแก่พระบิดาและพระมารดาเลี้ยง ณเมืองกบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของอาณาจักรสักกะ ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอกบิลพัสดุ์ จังหวัดลุมพินี สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระพุทธเจ้าศากยมุนี ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อผู้เขียนเดินทางไปปฏิบัติบูชาที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อปฏิบัติบูชา เมื่อตายลงไป ผู้เขียนเชื่อว่าดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติถึงแม้ว่าผู้เขียนจะเดินทางมาที่นี้หลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ เมื่อผู้เขียนและพุทธศาสนิกชนจาริกจากเขตลุมพินีไปยังเขตกบิลพัสดุ์ จังหวัดลุมพินี ตลอดสองข้างทางเป็นที่พื้นที่เกษตรกรรมของชาวเขตกบิลพัสดุ์ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูรับประทานอาหารมังสวิรัติเพื่อชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อบรรลุโมกษะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
ในปัจจุบัน เหลือเพียงซากปรักหักพังของพระราชวังกบิลพัสดุ์ในเมืองโบราณกบิลพัสดุ์ (Ancient Kapilavastu)เท่านั้น ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานทางพุทธศาสนา และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมทางทิศเหนือของพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์คู่ (Twin Stupas) และสามารถเดินไปยังพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณได้ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาหิมาลัยและพระนครกบิลพัสดุ์แห่งอาณาจักรสักกะและถือเป็นสถานที่ประสูติของพระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ สถูปนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังกบิลพัสดุ์โบราณ ซึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับอยู่เป็นเวลานานหลายปี และทรงตัดสินพระทัยสละวรรณะกษัตริย์ เพื่อผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต พระองค์ทรงบิณฑบาตรจากผู้คนทุกวรรณะเพื่อให้พระองค์ทรงจะมีเวลาพัฒนาศักยภาพชีวิต และปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิตว่าพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และวรรณะนั้น ทรงสร้างมนุษย์ ให้ทำงานตามวรรณะที่เกิดมาจริงหรือไม่ มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้หรือไม่
ในปัจจุบัน ทุกประเทศทั่วโลก ได้จัดตั้งสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของประชาชนในประเทศของตน ให้มีทักษะในการทำงานด้านต่าง ๆ และนำความรู้มาพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า และทันสมัยในด้านต่าง ๆ เช่นประเทศที่เจริญแล้วในยุคปัจจุบัน แต่สถานการศึกษาเหล่านั้น มิได้มุ่งหวัง ที่จะพัฒนาศักยภาพชีวิตของประชากรให้หลุดพ้นจากวัฏแห่งการเกิดใหม่ อริยบุคคลจึงเป็นบุคคลที่ได้หายาก เพราะจะต้องดับสูญไปพร้อม ๆ กับนิพพาน
ส่วนมนุษย์ในสมัยพุทธกาล ดวงวิญญาณไปเกิดในภพอื่นตามกรรมที่สั่งสมไว้ในดวงวิญญาณ แต่การเกิดดวงวิญญาณตามกรรม ที่เป็นนามธรรมปกคลุมจิตไปสู่สุคติภูมิ หรือทุกกรรมตามกรรม ที่ตนได้กระทำไว้นั้น ทำให้ดวงวิญญาณนั้นยากที่จะกลับมาเกิดใหม่ในอาณาจักรสักกะอีก หากไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมนุษย์จะค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะได้ยาก เพราะร่องรอยของอาณาจักรสักกะเหลืออยู่น้อยมาก มีเพียงแหล่งโบราณสถานที่เป็นหลักฐาน แต่ความหมายของแหล่งโบราณคดีแทบจะตีความไม่ได้และนามสมมติของสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่เหลือให้ผู้คนได้รับรู้ผ่านอายตนะภายในอีกต่อไป
แต่เมื่อวิญญาณของมนุษย์รับรู้และเก็บเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในมีความสามารถจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง พวกเขาจึงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่มีความสามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล พวกเขาจึงไม่ความสนใจในการศึกษาประวัติศาสตร์แหล่งโบราณคดีเหล่านั้น เพราะเมื่อนึกคิดโดยใช้เหตุผลแล้ว มองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้นจะนำสิ่งที่มีอยู่นั้น ไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ให้แก่ชุมชนของตัวเองได้น้อยมากแทบจะไม่มีด้วยซ้ำจึงเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณผัสสะเพื่อรับรู้แค่รู้เท่านั้นทำให้ขาดความสนใจ แม้ว่าจะมีร่องรอยของโบราณสถาน เป็นบ่อเกิดที่มาความรู้ทางประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์เรื่องราวความเป็นมาของมูลเหตุการสร้างเป็นอนุสรณ์นั้นหลงเหลือให้เห็นน้อยมาก นอกจากคัมภีร์พระไตรปิฏกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามีหลักฐานหลงเหลือไว้ เป็นหลักฐานให้ผู้คนได้ศึกษาค้นหา เพื่อหาความรู้ด้วยเหตุผลของการอนุมานความรู้แต่หลักฐานเหล่านั้น หลงเหลือในดินแดนอันห่างไกลอยู่นอกดินแดนชมพูทวีปเช่น ศรีลังกา พม่า ไทย และลาว เป็นต้น
ขณะเดียวกันผู้อาศัยนั้นในดินแดนแห่งพุทธภูมิไม่มีความรู้ อันเกิดจากปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า เพราะแนวคิดของพวกเขาอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ และความคาดหวังจะมีชีวิตที่ดีกว่า จากความศรัทธาในเทพเจ้าที่พวกประกอบพิธีอามิสบูชาถวาย ให้เทพเจ้าในแต่ละปีกาลเวลาผ่านไปกว่า ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมชมพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่ซึ่งเหลือ แต่ซากปรักหักพังไม่ไกลจากพระราชวังมากนัก ผู้เขียนได้เดินไปไปชมสถูปพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาตั้งตระหง่านเคียงคู่กัน ตั้งอยู่ใกล้พระราชวังเก่ากบิลพัสดุ์อันเก่าแก่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้เขียนสนใจศึกษาเรื่องราวประวัติความเป็นมาของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา ทั้งสองพระองค์ทรงมีจริยวัตรอันงดงาม ทรงมีแบบอย่างของชีวิตที่น่าศึกษา ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้เขียนสนใจจึงสนใจเขียนบทความเรื่อง The Twin Stupas (เคียงคู่ฟ้าชัวนิรันดร์) โดยอาศัยที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎก อรรถกถา และบันทึกของสมณจีนอีก ๒ ท่าน เป็นที่มาของความรู้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนาให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น