Introduction to Angkor Wat in Hinduism (Pengantar Angkor Wat dalam agama Hindu)
吴哥窟简介印度教中的圣殿
๑.บทนำ Angkor Wat
๒.แนวคิดปรัชญพราหมณ์-ฮินดู
๓.ปราสาทหินนครวัด
๑.บทนำ ในยุคก่อนพุทธศาสนา ชาวอารยันและดราวิเดียนในอนุทวีปอินเดียเชื่อในคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ ที่สามารถช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อในเทพเจ้าเหล่านั้น ชาวดราวิเดียนถือว่าน้ำเป็นเทวดา ในขณะที่ชาวอารยันถือว่าพระอิศวรและพระพรหมศักดิ์สิทธิ์กว่าเทวดา (deva) ของชาวดราวิเดียน เพราะพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม การบูชาเทพเจ้าด้วยวัตถุมีค่าต่าง ๆ นำความมั่งคั่งมาสู่พราหมณ์ทั้งปวง ช่วยให้พวกเขารักษาศรัทธาและผูกขาดการบูชาเทพเจ้าของตน
เมื่อพราหมณ์ชาวอารยันได้รับการแต่งตั้งเป็นปุโรหิต (priesthood) ที่ปรึกษาฝายหนักบวชของมหาราชาแห่งแคว้นสักกะ พวกเขาเสนอให้บัญญัติกฎหมายวรรณะ โดยโต้แย้งว่าเมื่อพระพรหมได้สร้างมนุษย์ขึ้น และจึงสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เพื่อกำหนดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่สำหรับมนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นตามวรรณะที่ตนเกิดมา กฎหมายวรรณะจึงมีสภาพบังคับแก่ชาวสักกะต้องปฏิบัติตาม คือ การห้ามการแต่งงานข้ามวรรณะ และปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ๆ รวมถึงการศึกษา การปกครองและประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์ การฝ่าฝืนกฎหมายวรรณะส่งผลให้ประชาชนได้รับโทษทางกฎหมาย ด้วยถูกลงพรหมทัณฑ์จากคนในสังคม พวกเขาสูญเสียสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ภายใต้กฎหมายวรรณะและไม่อาจกลับคืนสู่สถานะเดิมทางสังคมได้ เป็นต้น
เมื่อพระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นมาและพระพุทธเจ้าทรงได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังภูมิต่าง ๆ ระบบวรรณะในศาสนาพราหมณ์ได้ถูกทำลายไปโดยปริยาย เมื่อผู้คนในอนุทวีปอินเดีย ละทิ้งวรรณะทั้ง ๔ และพวกตระกูลต่ำทั้งหลายพากันออกบวชในพระพุทธศาสนา พระภิกษุเหล่านั้นพากันบรรลุธรรมเป็นอันมาก พระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองต่อมาเป็นเวลาเกือบ ๑,๕๐๐ ปี เมื่อพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาปรินิพพาน ไปหมดสิ้นตามกฎธรรมชาติแล้ว ส่วนพุทธศาสนิกชนก็ตั้งอยู่ในประมาท ไม่ศึกษาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้เห็นสัจธรรมแห่งชีวิตของตนเอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตสายต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรโมริยะ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตชาวสุวรรณภูมิให้มีชีวิตที่เข้มแข็ง ชำระล้างกิเลสตัณหาจนจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มัวหมอง มีบุคคลิกที่อ่อนโยนเหมาะแก่การอยู่ร่วมกับผู้อื่น มีจิตใจมั่นคงในอุดมการณ์ และไม่หวั่นไหวต่อการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นให้บริสุทธิ์ยุติธรรมได้ มีสติปัญญาสามารถนำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจนำมาใช้แก้ไขปัญหาชีวิตได้ด้วยตนเอง
ในยุคหลัง ชาวพุทธดำเนินชีวิตอย่างประมาท ไม่ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น จึงไม่เป็นศรัทธาของชาวบ้านอีกต่อไป นับเป็นโอกาสอันดัสำหรับพราหมณ์จะได้ปฏิรูปตนเอง โดยนำคำสอนของพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้กับศาสนาพราหมณ์ และนักวิชาการสมัยใหม่จึงเรียกศาสนาพราหมณ์ใหม่ว่า"ศาสนาฮินดู" และเลิกการบูชายัญสัตว์และหันมารับประทานมังสวิรัติ เพื่อชำระร่างกายและจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ เมื่อนักวิชาการสมัยใหม่เรียกศาสนาพราหมณ์ใหม่ว่า "ศาสนาฮินดู" พวกพราหมณ์ได้เผยแผ่ศาสนาฮินดูไปยังดินแดนต่างๆ ตามเส้นทางการค้าโบราณ และเดินทางไปเผยแผ่คำสอนศาสนาฮินดูในอาณาจักรขอมโบราณ จนกลายเป็นความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้นและมีการสร้างวัดฮินดู เช่น ปราสาทหินนครวัดและปราสาทอื่น ๆ เป็นที่ประทับของเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์
นครวัดสร้างขึ้นโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ แห่งอาณาจักรขอมโบราณ เพื่อเป็นเทวสถานสำหรับเทพเจ้าฮินดู พระองค์ทรงอุทิศความดีความชอบให้แก่พระวิษณุ โดยเชื่อว่าพระวิษณุช่วยพระองค์เอาชนะอาณาจักรเจนละ และประกาศให้อาณาจักรขอมโบราณเป็นรัฐอิสระจากอาณาจักรชวา พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ทรงนับถือศาสนาฮินดูนิกายไวษณพ ที่เชื่อตามคำสอนของพราหมณ์ว่า พระวิษณุ พระอิศวร และพระพรหมเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง พราหมณ์ใช้คำสอนของพระพุทธศาสนา ในเรื่องวัฏจักรแห่งความตาย และกลับชาติมาเกิด ในสังสารวัฏซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ เพื่อนำพัฒนาแนวคิดที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพเจ้า ที่อวตารมาในโลกมนุษย์ เพื่อดูแลความสุขและความทุกข์ของประชาชน ดังนั้นเมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ทรงทำสงครามนี้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕๐ ปี พระองค์จึงทรงได้รับชัยชนะโดยเชื่อว่าเทพเจ้า ช่วยให้พระองค์ทรงได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรเจนละได้ เมื่อพระองค์ทรงเอาชัยชนะในสงครามและทรงอุทิศคุณงามและความดีให้กับพระวิษณุ ก็เป็นเพราะพระองค์เชื่อว่าพระวิษณุอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการเอาชนะผู้ปกครองอาณาจักรเจนละ
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องการมีอยู่ของนครวัดแล้วและผู้เขียนยอมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริงก็ตาม แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ทันที ควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงนั้นอย่างสมเหตุสมผล เมื่อหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าวางกระบวนพิจารณาความจริงของสิ่งต่าง ๆ เป็นเช่นนี้ ผู้เขียนถือว่าความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของนครวัดยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชอบศึกษานครวัด เทวสถานในศาสนาฮินดูต่อไปก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้และรวบรวมหลักฐานต่างๆ จากที่มาของความรู้เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา เอกสารวิชาการด้านศาสนาต่าง ๆ และบทความบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนี้
บทความที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาปรัชญาศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดู พระธรรมทูตสายต่างประเทศใช้บรรยายให้ชาวพุทธทั่วโลกได้ฟังในทิศทางเดียวกัน เป็นแนวทางในการศึกษาเชิงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เช่นพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานเอกสารดิจิทัล เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับ โบราณสถานของนครวัดที่ยังหลงเหลืออยู่ในยุคปัจจุบัน กระบวนพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนาและปรัชญาจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกด้านปรัชญาและพระพุทธศาสนา ใช้เป็นแนวทางตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อนักศึกษามีหลักฐานเพียงพอ ก็ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องวิจัยนั้น เป็นต้น
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น