The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทนำ: การตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ตามหลักปรัชญาแดนพุทธภูมิ

 Introduction to The Enlightened in Natural Law according to Buddhaphumi's Philosophy
คำสำคัญ อวิชชา ตรัสรู้ กฎธรรมชาติ 
๑.บทนำ    
๒.ที่มาของความรู้ของการตรัสรู้ 
๓.การตรัสรู้ในกฎธรรมชาติ
๔.วิธีปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้แจ้งกฎธรรมชาติ

๑.บทนำ สภาพปัญหาในสังคม


   โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราศึกษาเหตุการณ์ทางสังคม  เศรษฐกิจ การเมืองและศาสนาพราหมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏของพระพุทธศาสนาในอนุทวีปอินเดียนั้น มันช่วยให้เราเข้าใจความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้นและเข้าใจความมืดมนของชีวิตได้ หากเราไม่ศึกษาปัญหาสังคมของแคว้นสักกะในสมัยนั้น เราก็จะไม่สามารถเข้าใจความเชื่อในสังคมของแคว้นสักกะได้ ผู้คนทั่วโลกก็จะไม่สามารถมองเห็นคุณค่าของการศึกษาพระพุทธศาสนา และประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเรา ให้เห็นความจริงของชีวิตสำหรับตนเองและสังคมได้ เพราะสังคมทุกสังคมเต็มไปด้วยผู้คนที่มีอคติต่อกัน ซึ่งเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ความเกลียดชัง ความกลัว และความรักใคร่ชอบพอคนอื่น ชอบแสวงหาผลประโยชน์โดยเจตนาทุจริตกับผู้คนในสังคม 

       การศึกษาประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่จะศึกษาค้นคว้าในหัวข้อนี้ ทำให้เรามองเห็นความรู้ในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยในหลาย ๆ แง่มุมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น   โดยเฉพาะพิธีบูชายัญเพื่อเข้าถึงความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์แม้ว่านิกายต่าง ๆของพราหมณ์ จะใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า หรือพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้าก็ตาม 

  เมื่อศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณแล้ว  พุทธศาสนิกชนจะได้ยินข้อเท็จจริงว่ายุคมืดของมนุษย์คือยุคทองของศาสนาพราหมณ์ ชาวแคว้นโกลิยะและชาวแคว้นสักกะ เชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นเทพ ที่ช่วยให้พวกเขาบรรลุความฝันในชีวิต โดยการบูชาเทพเจ้าผ่านการทำพิธีบูชาของพราหมณ์อารยัน ส่วนชาวสักกะเชื้อสายมิลักขะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์มิลักขะว่าเทวดาทั้งหลายก็ช่วยให้พวกเขาบรรลุความฝันในชีวิตเช่นกัน 
    
       เมื่อผู้คนสามารถบูชาเทพเจ้าและเทวดาได้ตลอดทั้งปี พวกพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ก็มีรายได้มหาศาลจากการบูชาเทพเจ้าดังนั้น พวกเขาจึงร่ำรวยและเป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคม แต่พวกพราหมณ์อารยันโลภมากและต้องการผูกขาดการบูชาเทพเจ้า พวกเขาพยายามรักษาศรัทธาและรายได้จากการบูชาเทพเจ้า พวกเขาจึงใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือขอองตนเองในการสรรเสริญคุณของพระพรหมมากกว่าเทพเจ้าของนิกายพราหมณ์อื่น ๆ โดยอ้างว่าพระพรหมเป็นเทพสูงสุดที่มนุษย์ควรบูชา เพราะพระพรหมทรงสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง 

    ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ปกครองอาณาจักรโกลิยะ พระองค์ทรงเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยัน และทรงแต่งตั้งพวกพราหมณ์อารยันให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิต (priesthood) ในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ประเพณีและขนบธรรมเนียยม จากนั้นพวกเขาจึงสามารถกำหนดนโยบายทางการเมืองที่จะใช้ในการปกครองของอาณาจักรโกลิยะได้เมื่อพวกพราหมณ์อารยันตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น  และพยานหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ต่อพวกเขาแล้วเห็นว่า พวกเขาก็พบว่าหากปล่อยให้พราหมณ์มิลักขะทำการบูชายัญต่อไป ก็จะเป็นที่ยอมรับของประชาชนในแคว้นโกลิยะ ในอนาคตพระเจ้าโอกกากราชจะทรงแต่งตั้งพราหมณ์มิลักขะในฐานะปุโรหิตที่ปรึกษาของพระองค์ เป็นเรื่องยากที่ชาวอารยันที่จะมีอิทธิพลทางการเมือง เพื่อปกครองอาณาจักรโกลิยะให้เจริญรุ่งเรืองได้โดยชาวอารยันเพียงผู้เดียว 

  เมื่อพราหมณ์อารยันทำนายอนาคตทางการเมืองในแคว้นโกลิยะ(koliya country)ก็เป็นเช่นนี้ ชาวอารยันพยายามหาทางจำกัดสิทธิและหน้าที่ของพวกมิลักขะ โดยอาศัยพวกปุโรหิตที่ปรึกษาของกษัตริย์ จึงไได้เสนอแนะต่อบรรดาสมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรโกลิยะว่า ควรนำคำสอนของพราหมณ์อารยันมาเป็นคำสอนในศาสนาพราหมณ์และบัญญัติเป็นกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของชาวโกลิยะทุกคน ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตน หากใครฝ่าฝืนคำสอนทางศาสนาและกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะกฎหมายจะให้อำนาจแก่ประชาชนในสังคมในการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ด้วยการขับไล่พวกเขาออกจากบ้านเรือน  

     เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตพระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อมา  พระองค์ทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อประชาชนและทรงมีพระดำริที่จะปฏิรูปประเทศเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิ และหน้าที่เท่าเทียมกันในการทำงาน การศึกษา ปฏิบัติบูชาตามความเชื่อทางศาสนาและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ แต่มหาราชาทรงไม่สามารถทำตามที่พระองค์ปรารถนาได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารประเทศ ได้กำหนดบทบัญญัติในการปกครองประเทศ ห้ามมิให้ยกเลิกกฏหมายที่บังคับใช้อยู่แล้วเพราะถูกห้ามตามบทบัญญัติของ"หลักราชอปริหานิยธรรม"ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศในยุคอินเดียโบราณ 

      ดังนั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่า"คนจัณฑาล" เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เนื่องจากกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีได้ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง ด้วยการแต่งงานข้ามวรรณะโดยให้อำนาจแก่คนในสังคมในการลงโทษพวกเขาได้ พวกเขาถูกขับไล่ออกจากบ้านไปตลอดชีวิต และไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะทางสังคมที่มีสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิมได้ เมื่อพระองค์ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของพราหมณ์อารยัน ในฐานะปุโรหิต (priesthood) พวกเขาได้ยืนยันว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมาพวกเขาได้เห็นพระพรหมและพระอิศวรในรัฐสักกะและรัฐโลิยะมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามถึงประวัติของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีพราหมณ์คนใดตอบได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เมื่อพระองค์ทรงไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสเกี่ยวกับความจริงของพระพรหมและพระอิศวร แต่หลักฐานที่มีอยู่คือฐานะปุโรหิต(priesthood) ไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของพระพรหมและอิศวรได้     
      
    ด้งนั้น เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงตัดสินพระทัย ที่จะเสนอกฎหมายยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ เพื่อปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะ แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะได้ประชุมกันเพื่อพิจารณา และลงมติว่าไม่เห็นชอบด้วยกับกฎหมายยกเลิกวรรณะ ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าว ถูกต้องห้ามตามบทบัญญัติของหลักราชอปริหานิยธรรมซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดแห่งอาณาจักรสักกะในมาตรา.๓ ซึงห้ามการยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติใช้ไปแล้ว   เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทำให้ผู้คนตระหนักว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางกายและจิตใจ เมื่อบุคคลใดตาย จิตวิญญาณก็จะไปเกิดในครรภ์มารดา และดำรงชีวิตตามเจตนาของตน ดังนั้น ชีวิตมนุษย์จึงไม่ถูกสร้างขึ้นจากพระกายของพระพรหม ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันแต่อย่างใด เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทดสอบความรู้ในอภิญญา ๖ หลายครั้งติดต่อกันเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน พระองค์ก็ทรงได้รับผลเช่นเดียวกันคือ ความรู้ในระดับอภิญญา ๖ แม้ว่าผู้เขียนจะได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ หรือคัมภี์ทางพระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม  เราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและวิญญาณ เมืองดวงวิญญาณเกิดในครรภ์มารดา และคลอดออกมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระพรหมเป็นสร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเมื่อได้ยินความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จากคัมภีร์ศาสนาหรือตำราเรียน เป็นต้น  เราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงนั้นทันที เราควรสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะสืบเสาะหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ  เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงหรืออธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้น
     
     ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงสงสัยว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร? เมื่อพระองค์ทรงได้นำความรู้ในเรื่องนั้น มาเผยแผ่เป็นพระพุทธศาสนาจนมีการปฏิรูปสังคมในสังคมอนุทวีปอินเดียทั้งในด้านการเมือง การเศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมโลก ก็สามารถช่วยผู้คนให้หลุดพ้นจากความมืดมนในชีวิตได้ อย่างไรก็ตามผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ต่อไป  โดยสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากความรู้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ อรรถกถา  ฎีกา ความเห็นทางวิชาการ และกรณีศึกษาในเว็บไซต์ต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คำตอบอยู่ในรูปแบบของบทความนี้ จะเป็นข้อมูล ที่เป็นประโยชน์สำหรับพระวิทยากรที่จะไปบรรยายให้ผู้แสวงบุญใน ๔ เมืองสังเวชนียสถาน เพื่อให้เนื้อหาของพระพุทธศาสนาไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนวิธีการพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนานั้น จะเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของนิสิตปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างองค์ความรู้ในหัวข้อวิจัย โดยเริ่มจากหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ยังน่าสงสัย จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบ ซึ่งเป็นความรู้ที่สมเหตุสมผลของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย  เป็นต้น

บรรณานุกรม
๑.พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม ปกสีฟ้าเล่มที่ ๐๑ วินัยปิฎกที่ ๐๑ มหาวิภังค์ภาค๑ เวรัญชกัณฑ์ วิชชา ๓. 
๒.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก (มหานิบาต) ๖. ภูทัตตชาดก. ข้อ ๙๐๖.

5 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

วันนี้มาอ่านได้ครึ่งนึงแล้ว... พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อนะครับ... #ทบทวนความรู้วิชาประวัติพุทธศานา

Yuthana Pulperm กล่าวว่า...

สาธุ

Unknown กล่าวว่า...

สาธุค่ะ..

Unknown กล่าวว่า...

เขียนใด้ดีครับ สาธุ

Unknown กล่าวว่า...

จิตนี้เองเป็นผู้สั่ง เป็นผู้บงการ เช่นโดยเจตนาคือความจงใจให้ทำนั่นให้ทำนี่ต่างๆ จิตจึงเป็นส่วนสำคัญมากที่ทุกๆ คนมีอยู่
สาธุครับ

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ