Introduction to The Enlightened in Natural Law according to Buddhaphumi's Philosophy
คำสำคัญ อวิชชา ตรัสรู้ กฎธรรมชาติ
๑.บทนำ
๒.ที่มาของความรู้ของการตรัสรู้
๓.การตรัสรู้ในกฎธรรมชาติ
๔.วิธีปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้แจ้งกฎธรรมชาติ
๒.ที่มาของความรู้ของการตรัสรู้
๓.การตรัสรู้ในกฎธรรมชาติ
๔.วิธีปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้แจ้งกฎธรรมชาติ
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราศึกษาเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและศาสนาพราหมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏของพระพุทธศาสนาในอนุทวีปอินเดียนั้น ช่วยให้เรามีความรู้ความเข้าใจในชีวิตคน ในยุคนั้นและมีความมืดมนของชีวิตนั้นเป็นอย่างไร? หากเราไม่ศึกษาปัญหาสังคมของแคว้นสักกะในช่วงเวลานั้น เราก็จะไม่สามารถเข้าใจความเชื่อในสังคมสักกะได้ พวกเขาก็จะไม่สามารถมองเห็นคุณค่าของการศึกษาพระพุทธศาสนาและประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ เพราะทุกสังคมเต็มไปด้วยคนที่มีอคติต่อกันซึ่งเกิดมาพร้อมความไม่รู้ ความเกลียดชัง ความกลัวและความรักและความเสน่หาส่วนตัวจึงชอบแสวงผลประโยชน์โดยเจตนาทุจริตจากคนในสังคม การศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่จะศึกษาและวิจัยเรื่องนี้ ทำให้เรามองเห็นความรู้ในศาสนาพราหมณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยหลายประการโดยเฉพาะการทำพิธีบูชายัญ เพื่อบรรลุความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ แม้ว่าพราหมณ์หลายนิกายจะมีเหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า หรือพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้าก็ตาม
เมื่อศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ แล้ว เราได้ยินข้อเท็จจริงมาว่าในยุคมืดของมนุษย์ แต่เป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ชาวโกลิยะและชาวสักกะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันว่า พระพรหมและพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่ช่วยให้พวกเขาบรรลุความฝันในชีวิตโดยพิธีถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าผ่านการทำพิธีบูชาของพราหมณ์อารยัน ส่วนพวกมิลักขะนั้นมีความเชื่อในคำสอนของพราหมณ์มิลักขะว่าเหล่าเทวดายังช่วยให้พวกเขาบรรลุความฝันในชีวิตได้เช่นกัน เมื่อผู้คนสามารถบูชาเทพเจ้าและเทวดาได้ตลอดทั้งปี พวกพราหมณ์จากนิกายต่าง ๆ ก็มีรายได้จากการบูชาเทพเจ้าเป็นจำนวนมหาศาล จึงมีฐานะร่ำรวยและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม แต่พวกพราหมณ์อารยันมีความละโมบ และต้องการผูกขาดการบูชาเทพเจ้า พวกเขาจึงพยายามรักษาศรัทธาและรายได้จากการบูชาเทพเจ้า พวกเขาจึงใช้เหตุผลในการยกย่องพระพรหมเหนือเทพเจ้าของพราหมณ์นิกายอื่น ๆโดยอ้างว่าพระพรหมเป็นเทพสูงสุดที่มนุษย์ควรบูชา เพราะพระพรหมทรงสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์เอง ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงเป็นมหาราชาผู้ปกครองอาณาจักรโกลิยะ พระองค์ทรงศรัทธาในคำสอนของพราหมณ์อารยัน และทรงแต่งตั้งพราหมณ์อารยันให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิต (priesthood) เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี พวกเขาจึงสามารถกำหนดนโยบายทางการเมือง เพื่อนำมาใช้ในการปกครองของอาณาจักรโกลิยะได้ เมื่อพวกพราหมณ์อารยันได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นแล้วเห็นว่า หากพวกพราหมณ์มิลักขะได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีบูชายัญต่อไป ก็จะเป็นที่ยอมรับของประชาชนในแคว้นโกลิยะ ในอนาคต พระเจ้าโอกกากราชจะทรงแต่งตั้งพราหมณ์มิลักขะให้เป็นปุโรหิต คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับชาวอารยันที่จะมีอิทธิพลทางการเมือง เพื่อปกครองอาณาจักรโกลิยะให้เจริญรุ่งเรืองโดยชาวอารยันเพียงผู้เดียว
เมื่อพราหมณ์อารยันทำนายอนาคตทางการเมืองในแคว้นโกลิยะ(koliya country)ก็เป็นเช่นนี้ ชาวอารยันจึงพยายามหาวิธีจำกัดสิทธิและหน้าที่ของชาวมิลักขะโดยปุโรหิต(priesthood)ที่ปรึกษากษัตริย์ จึงมีข้อเสนอแนะแก่สมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรโกลิยะว่าคำสอนของพราหมณ์อารยันควรถือเป็นคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และตราเป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของชาวโกลิยะทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสอนทางศาสนาและกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี กฎหมายจะให้อำนาจคนในสังคมในการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยไล่พวกเขาออกจากที่อยู่อาศัยและเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต มหาราชาในรัชกาลต่อมา พระองค์ทรงมีเมตตากรุณาต่อราษฎรและทรงมีพระราชดำริปฏิรูปประเทศเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันทั้งในการทำงาน การศึกษา การบูชาตามความเชื่อทางศาสนา และมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ แต่มหาราชาทรงไม่สามารถกระทำตามความปรารถนาของพระองค์ได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารประเทศ กำหนดบทบัญญัติในการปกครองประเทศ ห้ามมิให้ยกเลิกกฏหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว เพราะเป็นสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติของ"หลักราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญตามจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศในยุคอินเดียโบราณ ดังนั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่า"คนจัณฑาล" เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เนื่องจากกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีลงโทษข้อกล่าวหาที่กระทำความผิดอย่างร้ายแรง โดยการแต่งงานข้ามวรรณะโดยให้คนในสังคมมีอำนาจลงโทษพวกเขาได้ โดยพวกเขาถูกไล่ออกจากบ้านไปตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะทางสังคมเพื่อมีสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิมได้ เมื่อพระองค์ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของพราหมณ์อารยัน ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งปุโรหิต (priesthood) พวกเขายืนยันว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่พวกเขาเกิด พวกเขาได้เห็นพระพรหมและพระอิศวรในรัฐสักกะและรัฐโลิยะมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามประวัติของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีพราหมณ์คนใดตอบได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เมื่อพระองค์ทรงไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสเกี่ยวกับความจริงของพระพรหมและอิศวร แต่หลักฐานที่มีอยู่คือฐานะปุโรหิต(priesthood) ก็ไม่สามารถพิสูจน์ความมีอยู่ของพระพรหมและอิศวรได้
ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงตัดสินพระทัยเสนอกฎหมายยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาราชศากยะ เพื่อปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะ แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะได้ประชุมกัน พิจารณาลงมติว่าไม่เห็นด้วยกับกฎหมายยกเลิกวรรณะ ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอไว้ เนื่องจากเป็นสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งหลักราชอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดแห่งราชอาณาจักรสักกะในมาตรา.๓ ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้แล้ว เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะได้ตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราทำให้มนุษย์มีความรู้ว่าประชาชนจึงได้รู้ว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางกายและจิตใจ เมื่อมนุษย์ตาย จิตวิญญาณก็เกิดในครรภ์มารดา และดำเนินชีวิตตามเจตนารมย์ของตน ชีวิตมนุษย์จึงไม่ถูกสร้างขึ้นจากพระกายของพระพรหม ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันแต่อย่างใด เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทดสอบความรู้ในอภิญญา ๖ หลายครั้ง เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน ก็ได้รับผลเช่นเดียวกันคือความรู้ในระดับอภิญญา ๖ แม้ว่าผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ หรือในตำราทางพระพุทธศาสนาแล้วเราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและวิญญาณ และดวงวิญญาณเกิดในครรภ์มารดาและคลอดออกมาเป็นมนุษย์ โดยพระพรหมมิได้สร้างไว้ แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเมื่อได้ยินความคิดเห็นในเรื่องใดที่เล่าสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น จากคัมภีร์ในศาสนาหรือตำราเรียน เป็นต้น เราไม่ควรตัดสินใจเชื่อข้อเท็จจริงทันที ควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าเราจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงหรือมาอธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้น ๆ
ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น ผู้เขียนสงสัยว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร? เมื่อพระองค์ทรงนำความรู้ในเรื่องนั้น มาเผยแผ่เป็นพระพุทธศาสนาจนเกิดการปฏิรูปสังคมในสังคมชมพูทวีปด้านการเมือง การเศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของโลก สามารถช่วยให้ผู้คนจากความมืดมิดแห่งชีวิตได้ อย่างไรก็ตามผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ต่อไป โดยสืบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากแห่งความรู้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ อรรถกถา ฎีกา ความคิดเห็นของนักวิชาการ และกรณีศึกษาบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คำตอบอยู่ในรูปบทความนี้ จะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับพระวิทยากรที่จะบรรยายแก่ผู้แสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมือง เพื่อให้เนื้อหาของพระพุทธศาสนาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนวิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนานั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างองค์ความรู้ในหัวข้อการวิจัย ที่เริ่มต้นด้วยหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่น่าสงสัย จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบ ที่เป็นความรู้อันสมเหตุสมผลของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นต้น
บรรณานุกรม
๑.พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม ปกสีฟ้าเล่มที่ ๐๑ วินัยปิฎกที่ ๐๑ มหาวิภังค์ภาค๑ เวรัญชกัณฑ์ วิชชา ๓.
๒.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก (มหานิบาต) ๖. ภูทัตตชาดก. ข้อ ๙๐๖.
5 ความคิดเห็น:
วันนี้มาอ่านได้ครึ่งนึงแล้ว... พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อนะครับ... #ทบทวนความรู้วิชาประวัติพุทธศานา
สาธุ
สาธุค่ะ..
เขียนใด้ดีครับ สาธุ
จิตนี้เองเป็นผู้สั่ง เป็นผู้บงการ เช่นโดยเจตนาคือความจงใจให้ทำนั่นให้ทำนี่ต่างๆ จิตจึงเป็นส่วนสำคัญมากที่ทุกๆ คนมีอยู่
สาธุครับ
แสดงความคิดเห็น