The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568

ข้อสงสัยของชาวเกสปุตตะกับปัญหาอภิปรัชญา

 The Kesputt 's  Doubts and The Metaphysical  Problems

ภาพโดยก้าวตามธรรมFollow the Dharma
บทนำ. 


        เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะได้พัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์เองด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ 
พระองค์ก็ตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ว่า แก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ ก็คือจิตใจอยู่ในร่างกาย เมื่อมนุษย์ตาย จิตจะออกจากร่างไปเกิดในโลกอื่น  การตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทำให้ชาวพุทธทั่วโลกเรียกพระองค์ว่า "พระพุทธเจ้า" และทำให้มนุษย์ตระหนักว่าพระพรหมไม่ใช่ผู้สร้างมนุษย์ และวรรณะขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาเพราะพระพรหมไม่มีอยู่จริง 

            แต่โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะของชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิต แต่แก่นแท้ของชีวิตคือจิตที่แท้จริงอาศัยอยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว     อาจเป็นเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี หรือมากกว่านั้น เมื่อมนุษย์ตายไป  จิตไม่สามารถพึ่งร่างกายได้อีกต่อไป   ต้องออกจากร่างกายไปอยู่โลกอื่นต่อไป    ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จิตนั้นจะใช้อายตนะภายในร่างกายเพื่อรับรู้เรื่องราวของโลก การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทรงเป็นค้นพบกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากฎแห่งกรรมคือวิญญาณของมนุษย์ผ่านวัฏจักรวัฏจักรแห่งการเกิด และการตายอย่างไม่สิ้นสุดและไม่มีใครหนีพ้นกฎธรรมชาติได้  การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามิใช่การรู้แจ้งจากความนึกคิดขึ้นมาเองแล้ว ใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือของมือนักปรัญาทรงพัฒนาศักยภาพของชีวิตตามวิธีการของมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ เพราะฉะนั้น เมื่อแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณกับร่างกายเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และทดสอบความรู้ที่ได้จากการตรัสรู้เป็นเวลา ๔๙ วัน  พระองค์ได้นำเรื่องชีวิตมนุษย์มาอธิบายในรูปแบบของ"ขันธ์ห้า"  ซึ่งเราแยกองค์ประกอบของขันธ์ ๕ ได้ดังนี้ 

      ๑. รูปของชีวิตมนุษย์  ชีวิตมนุษย์มีเหตุปัจจัยสองอย่างรวมกันคือกายและจิต ส่วนร่างกายแสดงลักษณะรูปพรรณสัณฐานของมนุษย์ เพื่อแยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างสัตว์ด้วยกันเช่นมนุษย์เดินด้วยขา ๒ ขา เป็นต้น ส่วนสัตว์บางชนิด  เห็นว่ามีความแตกต่างระหว่างสัตว์น้อยใหญ่ได้ ร่างกายของสัตว์น้อยเป็นที่อยู่อาศัยของจิตวิญญาณอันเป็นตัวตนแท้จริงของมนุษย์   

       ๒. เวทนา เป็นอาการของจิตใจที่เกิดขึ้น เมื่อจิตใจผัสสะสิ่งหนึ่งสิ่งใดผ่านอินทรีย์ ๖ จิตใจเกิดความรู้สึกสุขทุกข์ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่คงที่แต่อย่างใด มีอาการเป็นความสุขบ้าง เป็นความทุกข์บ้าง วางอุเบกขาบ้างเป็นต้นการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณเป็นเจตสิกในแบบต่าง ๆ  ช่วยให้เราวิเคราะห์อุปนิสัยของผู้คนในลักษณะต่างได้ ตามความชอบของแต่ละคน เป็นต้น 

       ๓. สัญญา เป็นอาการของจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มาผัสสะกับอินทรีย์ ๖ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จิตน้อมรับเก็บอารมณ์ของสิ่งนั้นที่ผ่านอินทรีย์ ๖ มาเก็บไว้ในจิตและอยู่ในจิตวิญญาณตลอดไปไม่หายไปไหนติดตามจิตวิญญาณไปทุกหนทุกแห่ง๔.สังขาร เป็นธรรมชาติอย่างของจิตวิญญาณ เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจรเข้ามาสู่ชีวิต จิตวิญญาณย่อมสงสัยในสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาผัสสะนั้น จิตวิญญาณย่อมคิดหาเหตุผลจากพยานหลักฐานต่าง ๆ จนเกิดความรู้ที่ผ่านเกณฑ์ตัดสินที่สมเหตุสมผลและปราศจากข้อสงสัยในความจริงของสิ่งนั้นอีกต่อไป
         ๕. วิญญาณ มีความหมายสองนัย แปลอีกนัยหนึ่งว่าการรับรู้ของร่างกายที่เรียกว่าความรู้สึกเมื่อถูกผัสสะสิ่งหนึ่งสิ่งใด ส่วนความหมายอีกนัยหนึ่งนั้น  คือจิตวิญญาณออกจากร่างกายไปสู่จุติจิตในภพภูมิอื่น  เป็นต้น 
         
         ผู้เขียนสนใจศึกษาค้นคว้าปัญหาเกี่ยวกับความสงสัยของชาวเกสปุตตะในพระไตรปิฎก โดยการเขียนบทความเชิงวิเคราะห์ หาคำตอบจาก ข้อมูลในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ เนื้อหาของคำตอบ จะเป็นประโยชน์ต่อพระธรรมวิทยากรใช้บรรยายให้แก่ผู้แสวงบุญชาวไทย ให้จิตเกิดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันส่วนกระบวนการวิเคราะห์ตามแนวคิดทางปรัชญา จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยของนิสิตในระดับปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนา     อาศัยเหตุผลจากการวิเคราะห์ทำให้เกิดความรู้  และความเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ปราศข้อสงสัยในความจริงอีกต่อไป ทำให้จิตวิญญาณเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความรู้ และความเข้าใจในความจริงของชีวิตตน    

๒.แนวคิดความสงสัยของชาวเกสปุตตะในพระไตรปิฎก 

          ชาวกาลามะเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วโลกที่อุบัติขึ้นมาจากปัจจัยของกาย และวิญญาณมารวมกันเพื่อสร้างชีวิตของมนุษย์คนใหม่ มนุษย์ที่เกิดขึ้นมาเป็นของไม่เที่ยงและมิใช่ตัวตนที่แท้จริง เพราะชีวิตใหม่ที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของกฎไตรลักษณ์จึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายตัวตลอดเวลา เมื่อชีวิตสูญสลายไป วิญญาณจะออกจากร่างกายของคนตายไปจุติไปสู่ภพภูมิอื่นต่อไป ในช่วงมีชีวิตนั้น ธรรมชาติของวิญญาณมนุษย์นั้นชอบปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ที่มาผัสสะจิตวิญญาณตนเองที่เรียกอย่างว่า "การปรุงแต่ง" นั้น อาจเรียกเป็นอย่างที่มีความหมายในลักษณะอย่างเดียวกัน เช่น การคิดก็มี  สงสัยก็มี วิเคราะห์ก็มี พิจารณาก็มี และเรียกว่า “ใคร่ครวญ“ ก็มี ด้วยมนุษย์ใช้จิตหาเหตุผลของคำตอบยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบจากสิ่งที่ต่าง ๆ จรเข้ามาสู่ชีวิตตลอดเวลา  เมื่อมนุษย์วิเคราะห์ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในแหล่งต่าง ๆ และพิสูจน์เพื่อหาเหตุผลของคำตอบหลายครั้ง จนเกิดความแน่ใจและปราศจากข้อสงสัยอีกต่อไปจึงถือว่า เป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น             

Buddhist Stupa Kesariy
                   ในสมัยพุทธกาลนั้น การเผยแผ่หลักคำสอนของศาสนาไม่เพียงแต่พระพุทธเจ้า  และพระสาวกเท่านั้น           การจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นต่าง ๆ ของชมพูทวี  แต่ยังมีนักบวชในศาสนาพราหมณ์        หรือผู้นำในศาสนาอื่น        ยังเดินทางไปเผยแผ่คำสอนของศาสนาตนในแคว้นต่าง ๆ อีกด้วย           เมื่อเจ้าลัทธิอื่น ๆได้เดินทางมาเผยแผ่ลัทธิความเชื่อของตนในตำบลเกสปุตตะนิคม    ซึ่งเป็นถิ่นพำนักอาศัยของชาวกาลามะ           แต่พวกกาลามะได้ฟังการคำประกาศของคำสอนต่าง ๆ ของเจ้าลัทธิเหล่านั้นแล้ว  เมื่อได้รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของชาวกาลามะเพียงอย่างเดียว        จึงเกิดความสงสัยในหลักคำสอนเหล่านั้นว่า       หลักคำสอนของสำนักใดเป็นความรู้ที่เป็นความจริงของชีวิตหรือหลักคำสอนใดเป็นความรู้ และเป็นความเท็จของชีวิตเพราะว่า เมื่อเจ้าลัทธิเหล่านั้น ได้ประกาศหลักคำสอนตามเชื่อในลัทธิศาสนาตนแล้วยังกล่าวโจมตีหลักธรรมในศาสนาอื่นว่า เป็นความรู้ที่เป็นความเท็จอีกด้วย 

               ดั่งปรากฎพยานหลักฐานที่เขียนเป็นข้อความในพระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ)อังคุตตรนิกายเอกทุกติกนิบาต ๒. มหาวรรค๕.เกสปุตติสูตรว่าด้วยกาลามะ ชาวเกสปุตตนิคม ข้อ.๖๖ ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้    "สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ได้เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศลพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงตำบลพวกกาลามะชื่อว่า “เกสปุตตนิคม”  พวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคมได้ทราบว่า "ข่าวว่า ท่านพระสมณโคดมศากยบุตรออกผนวชจากศากยตระกูล   เสด็จถึงเกสสปุตตนิคมโดยลำดับแล้ว   ท่านพระสมณโคดมนั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า   "แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก     เป็นสารถีผู้ที่ควรฝึกได้ยอดเยี่ยม  เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ด้วยพระองค์เอง  จึงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก           พรหมโลกและหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา      และมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงประกาศให้ผู้อื่นให้รู้   ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง       และมีความงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ     และพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนการได้พบพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นนี้เป็นความดีอย่างแท้จริง       ลำดับนั้น  พวกกาลามะ ชาวเกสปุตตนิคมได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ       บางพวกถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณที่อันควร   บางพวกสนทนาปราศัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงแก่กัน     ณ ที่สมควร  บางพวกประนมมือไหว้ไป ทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้วนั่ง ณ ที่สมควร     บางพวกประกาศชื่อและโตรแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่สมควรพวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคมผู้นั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

            
         ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณะพราหมณ์พวกหนึ่ง มายังเกสปุตตนิคมแสดงประกาศวาทะของตนเท่านั้น แต่กระทบกระเทียบ ดูหมิ่น กล่าวข่มวาทะผู้อื่นทำให้ไม่น่าเชื่อถือ 
       ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความสงสัยลังเลใจในสมณพรหามณ์เหล่านั้นว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ"  
     
พระผู้มีพระภาคตรัสว่ากาลามชนทั้งหลาย ก็สมควรที่ท่านทั้งหลายจะสงสัย สมควรที่จะลังเลใจ ท่านทั้งหลายเกิดความสงสัยลังเลในฐานะที่ควรสงสัยอย่างแท้จริง มาเถิดกาลามะทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย 
     ๑. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
     ๒. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบๆ กันมา
     ๓. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
     ๔. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
     ๕. อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ(การคิดเอาเอง)
     ๖. อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน 
     ๗. อย่าปลงใจเชื่อเพราะการคิดตรองตามแนวเหตุผล 
     ๘. อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
     ๙. อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
     ๑๐.อย่าปลงใจเชื่อถือเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา            
          กาลามะทั้งหลายเมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่าธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล    ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้บุคคลถือปฏิบัติบริบรูณ์แล้ว      ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์    เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละ (ธรรมเหล่านั้น) เสีย     

          จากข้อความในพระไตรปิฎกนั้นผู้เขียนตีความได้ว่าเมื่อมนุษย์ผัสสะคำสอนของเจ้าลัทธิใดลัทธิหนึ่งนั้น พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เกิดความสงสัยไว้ก่อน       ไม่ว่าความรู้นั้นจะได้รับรู้มาโดยวิธีใดก็ตามก่อนผู้นั้นจะเชื่อว่าเป็นความรู้และความจริงนั้น ตามแนวคิดทางปรัชญานั้น ใช้หลักสงสัยไว้ก่อน   ตามแนวคิดของปรัชญาวิมัติของพวกกรีก สอดคล้องกับข้อความในพระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) อังคุตตรนิกายเอกทุกติกนิบาต ๒. มหาวรรค๕.เกสปุตติสูตรว่าด้วยกาลามะ ชาวเกสปุตตนิคมข้อ.๖๖เป็นแนวคิดปรัชญาวิมัตินิยมในพุทธปรัชญาเถรวาท  

         นั่นคือ เมื่อชาวกาลามะได้รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของพวกเขาเอง โดยการฟังคำประกาศทางศาสนาของพราหมณ์ ที่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในท่ามกลางหมู่ชนกาลามะที่ตำบลเกสปุตตะนิคม แคว้นโกศลนั้น นอกจากพวกเขายังได้ยินถ้อยคำสรรเสริญหลักคำสอนในลัทธิตนแล้วพวกสมณะพราหมณ์ยังกล่าวโจมตีหลักคำสอนของลัทธิศาสนาอื่นด้วยการใช้ถ้อยคำ กระทบกระเทียบ ดูหมิ่นคำสอนของศาสนาอื่น ใช้ถ้อยคำข่มคำสอนของศาสนาอื่นเพื่อให้ผู้ฟังนั้น ไม่เกิดศรัทธานับถือในศาสนาที่ตนเคยนับถืออีกต่อไป    เมื่อสมณะพราหมณ์เหล่านั้นประกาศคำสอนของความเชื่อตนเองเสร็จแล้วทำให้ชาวเกสปุตตะเกิดความสงสัย (คิด)จากสิ่งที่ได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวว่าใครพูดจริง และใครพูดเท็จ เป็นต้น  ถึงพากันมาทูลถามพระพุทธเจ้า 

         ทรงตรัสว่า เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น อย่าปลงใจเชื่อสิ่งใดเพราะฟังตามกันมา    อย่าปลงใจ เชื่อสิ่งใดการเล่าลือ (ในสภากาแฟ)  อย่าปลงใจ เชื่อสิ่งใดตำราหรือคัมภีร์ (หรือข้อความออนไลน์)  อย่าปลงใจ เชื่อสิ่งใดตรรกะเหตุผลที่คิดเอาเอง (จากการอ่านหรือศึกษาเอง)  อย่าปลงใจ เชื่อสิ่งใดการอนุมานความรู้ อย่าปลงใจ เชื่อสิ่งใดคิดตรองตามแนวเหตุผล อย่าปลงใจ เชื่อสิ่งใดเข้าได้กับทฤษฎีที่คิดพิจารณาไว้แล้ว ลักษณะที่เป็นไปได้ และเพราะเป็นสมณะครูของเรา เป็นต้น ตัวอย่างเช่น มนุษย์คิดว่าชีวิตตายแล้วสูญหลายคนเชื่อเพราะคนเล่ากันสืบต่อกันมา
การเล่าลือ ตำราหรือคัมภีร์ ตรรกะเหตุผลที่คิดเอาเอง  การอนุมานความรู้ คิดตรองตามแนวเหตุผล เข้าได้กับทฤษฎีที่คิดพิจารณาไว้แล้ว ลักษณะที่เป็นไปได้และเพราะเป็นสมณะครูของเรา จนกว่าจะลงมือปฏิบัติด้วยวิธีการตามมรรคมีองค์ ๘ ของคำสอนของพระพุทธเจ้าจนกว่าบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา๖แล้ว อันเป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ทุกคน   เป็นต้น  

บรรณานุกรม
-พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ ) อังคุตตรนิกาย เอก ทุก ติกนิบาต ๒. มหาวรรค๕. เกสปุตติสูตร

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ