The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของวัดถ้ำดาวเขาแก้ว

The metaphysical problems concerning   Wat Tham Dao Khao Kaew 


บทนำ ปัญหาความจริงเกี่ยวกับวัดถ้ำดาวเขาแก้ว
            เมื่อผู้เขียนศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับวัดถ้ำดาวเขา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือหลักปรัชญาแดนพุทธภูมินั้น เมื่อผู้ใดได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดว่าเป็นความจริง อย่าเชื่อทันทีควรสงสัยไว้ก่อน จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น หรือหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น  หากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานปากเดียวนั้นไม่น่าเชื่อถือ เพราะมนุษย์ชอบมีอคติต่อผู้อื่นจึงมีอารมณ์มืดมิดตลอดเวลา และอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้  นักปรัชญาไม่สามารถยอมรับได้ว่าข้อเท็จจริงนั้นจากพยานเพียงคนเดียวว่าเป็นความจริงได้ ตัวอย่างเช่นในสมัยก่อนพุทธกาลในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์อารยันสอนชาวชมพูทวีปว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์  แต่ไม่มีใครเห็นพระพรหมและอิศวร แต่อย่างใด ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะสงสัยในการมีอยู่ของเทพเจ้าเหล่านั้น แม้ปุโรหิตจะยืนยันข้อเท็จจริงว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ต่อเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เมื่อพระองค์ตรัสถามประวัติของพระพรหมและพระอิศวร ก็ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์  เป็นต้น   

        เมื่อมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเทพเจ้านั้นล้วนเป็นทั้งความรู้ทางประสาทสัมผัส และอยู่เหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์  เราสามารถแบ่งความจริงในพระพุทธศาสนาและอภิปรัชญาออกเป็น ๒ ประเภท กล่าวคือ ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์  

       ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น  มันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และเสื่อมสลายไป  แต่มนุษย์สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ผ่านอวัยวะอินทรีย์ ๖ ในร่างกายของเขาเอง เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาก็จะดึงดูดอารมณ์ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมนั้น  เพื่อรวบรวมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของพวกเขา เมื่อธรรมชาติของจิตใจมีธรรมชาติเป็นผู้คิด ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น  ๆ เมื่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และเสื่อมสลายไป ถือว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้น  ตัวอย่างเช่น เมื่อชุมชนทางการเมืองจัดสร้างวัดขึ้น  ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งอาจเป็น๑๐๐ ปีหรือน้อยกว่านั้นก็ต้องเสื่อมสลาย ไป เมื่อไม่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นวัดอีกต่อไป ย่อมเสื่อมสลายไปกลายเป็นวัดร้าง เช่นวัดเวฬุวันมหาวิหารเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา  มีอายุ๑,๐๐๐ปีก่อนเสื่อมสลายกลายเป็นวัดร้าง  แต่เมื่อมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จึงถูกยกเป็นโบราณสถานทางพุทธศาสนา   วัดจึงเป็นชุมชนทางพระพุทธศาสนาที่จัดตั้งเป็นสถานที่ทำบุญให้กับชุมชนในหมู่บ้านต่าง ๆ   ย่อมตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง  และเสื่อมสลายเมื่อไม่มีพระภิกษุมาจำพรรษา ตามหลักปรัชญาจึงถือว่าเป็นเรื่องที่สมมติขึ้น หรือความเป็นจริงที่สมมติขึ้น  

            ๒.สัจธรรม หรือความจริงขั้นปรมัตถ์  มันคือความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์   โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ถึงความจริงขั้นปรมัติถ์ หรือสัจธรรมได้ด้วยตนเอง เว้นแต่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ทรงพัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์โดยการปฏิบัติธรรมตามอริมรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้เกิดญาณทิพย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง สามารถมองเห็นดวงวิญญาณของสัตว์น้อยออกจากร่างไปชดใช้กรรมในนรกหรือทุคติภูมิ หรือไปเสวยสุขบนโลกสวรรค์  หรือกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์ได้

           การรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์   ชีวิตมนุษย์ทุกคนเชื่อมโยงกับคลื่นพลังงานของโลกอยู่เสมอ เนื่องจากมนุษย์เป็นสสารชนิดหนึ่ง  จึงมีพลังงานในตัวเองที่เรียกว่า"ไฟฟ้าสถิต" เมื่อมนุษย์มีพลังงานไฟฟ้าสถิตและแผ่พลังงานออกจากร่างกายตลอดเวลา ในยุคต่อมามนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพของชีวิตของตนเองมากขึ้น ได้ค้นพบปัญหาที่น่าสงสัยเพิ่ม เดิมคนเชื่อว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นสร้างมนุษย์  ต่อมาพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงไม่เชื่อการมีอยู่ของเทพเจ้า พระองค์ตัดสินพระทัยแสวงหาความจริงในเรื่องนี้ ค้นพบหลักปฏิบัติตามอริย มรรคมีองค์ ๘ พระองค์ตรัสรู้ (รู้รอบ) โดยชอบพระองค์เอง แท้ที่จริงของชีวิตมนุษย์นั้น เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ ด้วยญาณทิพย์เหนือมนุษย์ มนุษย์จึงไม่ได้เกิดจากเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์  พระองค์ทรงประกาศเนื้อหาวิชาพระพุทธศาสนาว่านักบวชในพระพุทธต้องทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส  หาเหตุผลของคำตอบจนได้ความรู้เชิงวิชาการในเรื่องที่สงสัยมีเนื้อหาของการให้เหตุผลของคำตอบมากยิ่งขึ้นเรื่อย ก็จะแยกเนื้อหาของความรู้เชิงวิชาการออกจากวิชาปรัชญาไปสร้างสาขาวิชาการสมัยใหม่ได้อีกหลายสาขา เช่น ปรัชญาศาสนา  วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์  เป็นต้น  ทั้งนี้เป็นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์ฉลาด สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองจนมีสมาธิสูงกว่าสัตว์ทั่วไป จนจิตบริสุทธิปราศจากอารมณ์ขุ่นมัว เศร้าหมอง  อ่อนโยนเหมาะแก่การทำงาน จึงมีสติรู้จักระลึกถึงความรู้ที่เป็นประสบการณ์ของชีวิตที่ผ่านมาว่า หากมีเจตนาจะทำอะไรไป ตนต้องรับผลของการกระทำไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม และต้องรู้จักใช้จิตคิดวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบในความรู้ที่ตนสงสัยได้    แต่คำตอบที่เกิดจากการคิดวิเคราะห์นั้นจะคิดขึ้นมาเองมิได้ เพราะเป็นคำตอบไม่แน่นอนว่าจะเป็นความจริงตลอดไปต้องเป็นข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสเท่านั้น  แต่เมื่อมนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพของชีวิตมากยิ่งขึ้น ก็รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรช่วยบันทึกความจำได้มากยิ่งขึ้น นำมาสู่การพัฒนาเป็นคัมภีร์และเอกสารตำราจากการเอกสารที่เรียกว่า  ตำราบ้าง หนังสือบ้าง ก็นำมาพัฒนาสู่การสร้างเครื่องมือทางการแพทย์ช่วยหาข้อมูลให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ออกมาวัดค่าพลังงานเหล่านั้น  แล้วนำไปวิเคราะห์หาข้อมูลของสภาพร่างกาย  เมื่อรู้สึกว่าป่วยไข้ไม่สบายมากจึงไปพบแพทย์   

          ดังนั้นเมื่อหมอใช้เครื่องมือทางการแพทย์ส่งคลื่นกระแสไฟฟ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าตรวจสภาพร่างกายของมนุษย์   ผ่านคลื่นไฟฟ้าได้แล้ว   เอาค่าของกระแสไฟฟ้าเหล่านั้นมาวิเคราะห์ตีค่า  หรือหาความหมายในการวินิจฉัยโรคต่าง ๆที่เกิดขึ้นในร่างกายของมนุษย์ได้ชีวิตของมนุษย์จึงเปรียบเหมือนกับโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง   ที่เราใช้เปิดรับคลื่นโทรศัพท์ที่ส่งภาพ  และเสียงที่ถูกส่งมาจากโทรศัพท์เครื่องอื่น ๆ   เป็นประจำเมื่อรับคลื่นโทรศัพท์พร้อมกับแอพฟริเคชั่นต่าง ๆที่ถูกส่งออกมาตามคลื่นโทรศัพท์นั้นแล้ว     แอบฟริเคชั่นจำนวนหลายล้านไฟล์นั้นจะกลายเป็นไฟล์ขยะเป็นล้าน ๆไฟล์         เมื่อรับแล้วไม่ได้หายไปไหนคงอยู่ในโทรศัพท์นั้น      จนกว่ามนุษย์จะชำระล้างไฟล์ในเครื่องโทรศัพทนั้นให้หายหมดสิ้นไปมีความบริสุทธิ์ปราศจากไฟล์แอพฟริเคชั่นอีกต่อไป     เพราะกระแสไฟล์แอพพริเคชั่นที่ถูกส่งมานั้น  จะไม่เกิดประโยชน์แก่เจ้าของโทรศัพท์เลยหากไม่นำไฟล์ที่ส่งมานั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนแต่เมื่อไฟล์ถูกส่งมาสะสมไว้ในเครื่องโทรศัพท์นั้นประสิทธิภาพ    ของการเปิดใช้จะลดลง  ร้อนเกินความจำเป็นเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด  และเมื่อมีข้อมูลเกินความจำเป็นมากแล้ว  ทำให้โทรศัพท์ดาวโลดน์ข้อมูลได้ช้ากว่าปกติกว่าเดิม ยิ่งโทรศัพทเติมเงินเสียประโยชน์ในการใช้โทรศัพท์โดยไม่จำเป็น ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกับโทรศัพท์มือถือมีกลไกซับซ้อนในเครื่องนั้น   ร่างกายของชีวิตมนุษย์มีอินทรีย์ ๖ เป็นสะพานเชื่อมกับไฟล์กิเลสนับล้าน ๆเรื่องที่ผ่านมากระทบกับร่างกายส่วนอินทรีย์๖ นั้น  เมื่อรับรู้แล้ว  ประสาทสัมผัสของร่างกาย จะแปลงคลื่นพลังงานวัตถุอื่นที่กระทบกับร่างกายนั้น กลายเป็นกระแสไฟฟ้าเข้าสู่จิต  เมื่อไฟล์กิเลสผ่านเข้าสู่จิตมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณเท่าไหร่  ชีวิตมนุษย์ย่อมเครียดตามอารมณ์ไฟล์นั้นยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณเพราะยิ่งรับรู้เรื่องใดมากยิ่งคิดหาเหตุผลของคำตอบจากนั้นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น  เนื่องจากคิดวนเวียนซ้ำไปมาหลายรอบเท่าไหร่ ยิ่งมีอารมณ์เครียดมากยิ่งขึ้น เมื่อธรรมชาติของชีวิตเป็นนี้ จะเกิดผลข้างเคียงคือเกิดอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืนติดต่อกันหลายวันแล้ว ร่างกายนั้นเริ่มอ่อนแอ ต้านทานโรคได้น้อย เชื้อโรคสายพันธ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ในลำไส้ย่อมเติบโตอย่างรวดเร็ว เข้าไปบ่อนทำลายร่างกายจนเกิดอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน ในที่สุดต้องเสียชีวิตเกินกว่าจะรักษาไว้อย่างทันทวงทีหรือแม้ชีวิตจะผัสสะสิ่งอื่นที่เป็นอารมณ์ของวัตถุแห่งความสุขก็ตาม แต่ถ้าอารมณ์สุขเหล่านั้นหากรับบ่อย ๆ  จนเกินไป ก็นำมาสู่สภาวะของความนิพพิทา(เบื่อหน่าย)ในความสุขแบบนั้นได้เช่นเดียวกัน  ตัวอย่างเช่น

          -เมื่อมนุษย์เห็นภาพสิ่งสวยงาม   ที่ผ่านประสาทสัมผัสในส่วนตาของชีวิตเข้ามาแล้ว ประสาทสัมผัสนั้นจะแปรเป็นสภาพคลื่นของอารมณ์ภาพนั้น   เป็นกระแสไฟฟ้าเข้าสู่กระแสจิตตัวเองและนอนนิ่งอยู่ในจิตอย่างนั้น    ตลอดไปจนกว่ามนุษย์จะหาวิธีการชำระล้างจิตของตนหรือ
         -เมื่อหูของชีวิตมนุษย์ได้ยินได้ฟังเรื่องหนึ่งเรื่องใดเปล่งเสียงจากปากคนผู้มีจิตอคติต่อตนเอง       เมื่อคลื่นเสียงจรเข้ามาสู่หูของผู้นั้น ส่วนของประสาทหูผู้นั้น จะเปลื่ยนคลื่นไฟฟ้าที่เป็นพาหนะนำเสียงนั้น เป็นกระแสไฟฟ้าเคลื่อนไหวเข้าสู่จิต   เกิดอาการสั่งสมและกลายเป็นสัญญานอนนิ่งอยู่ในจิตอย่างนั้น  จนกว่ามนุษย์จะหาวิธีการชำระล้างสัญญาที่นอนเนื่องอยู่ในจิต  และบีบบังคับชีวิตผู้นั้นให้มีแต่ความเครียดเพราะจิตมีธรรมชาติชอบการปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆที่มาผัสสะนั้นกลับไปกลับมาต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง เรียกว่า "สังขารขันธ์" ยิ่งจิตของเราผัสสะสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเท่าใด  ยิ่งคิดจากสิ่งนั้นมากยิ่งขึ้น และคาดคิดให้ชีวิตตนเป็นไปต่าง ๆ นา ๆ มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  พอเป็นไปไม่ได้อย่างชีวิตตนคาดหวังย่อมเกิดความทุกข์ขึ้นมาอีก

            สิ่งเหล่าเป็นการกระทำที่เรียกว่า"กรรม" ส่วนคำว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของตนเอง เมื่อระลึกถึงเหตุผลของคำตอบเช่นนี้เพราะการเคลื่อนไหวของชีวิตมนุษย์ในของร่างกายนั้น   ล้วนแต่เกิดจากเจตนาที่อยู่ในใจตนเอง   เจตนานั้นเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ได้ผัสสะ  (รับรู้) สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ย่อมคิดหาเหตุผลของคำตอบแล้วเกิดตัณหาแล้วในความอยากมี อยากเป็นและอยากได้ แล้วแสดงเจตนาความต้องการของตนออกไปจากจิต   แสดงในลักษณะของการกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจ เป็นต้น    แต่เมื่อกระทำไปแล้วกรรมนั้นมิได้สูญหายไปไหน   เมื่อจิตของผัสสะกรรมของตนแล้วก็เก็บผัสสะนั้นไว้ในจิตของตนนั้นอีก หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  ตัวอย่างเช่น อาการของจิตในลักษณะมีความต้องการเรียกว่า "ตัณหา" ในความอยากเป็น อยากได้ อยากมี  จิตเกิดความอยากนั้นก็แสดงเจตนาออกมา แต่สิ่งที่อยากได้นั้น แต่ทุกสิ่งที่จิตมนุษย์มีตัณหานั้นเป็นสิ่งได้มาโดยยากเช่นในความอยากเป็นตำรวจ ทหาร ผู้พิพากษา   อัยการ  นักธรกิจ    ต้องอาศัยความเพียรในการศึกษาเล่าเรียนในระดับต่าง ๆ   เป็นหลายปีกว่าจะสำเร็จการศึกษา เมื่อจบการศึกษาต้องสอบเข้าแข่งขันในการทำงานกับผู้อื่นอีกหลายหมื่นคน เป็นต้น    แต่เมื่อได้สิทธิหน้าที่การงานตามกฎหมายเป็นไปตามฝันแล้ว     มีเงินเดือนเป็นข้อแลกเปลี่ยนแล้วแต่รายได้ไม่พอกับรายจ่ายของตน    เมื่อระลึกถึงปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตตนได้ดังนี้ มนุษย์จึงคิดหาวิธีการให้ได้เงินมาจนต้องทำงานแลกสุขภาพหรือครั้งต้องแลกกับอิสระภาพของชีวิตจึงเกิดความเครียดและกลายเป็นความทุกข์ประจำสังขารกันทุกคน    ด้วยเหตุผลของคำตอบของการดำเนินชีวิตเป็นเช่นนี้ มนุษย์จำเป็นต้องปฏิบัติบูชาเพื่อชำระล้างกิเลสอันเป็นเหตุของความทุกข์ที่บีบคั้นจิตวิญญาณของเรา ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง  ตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะการคิดปรุงแต่งในอกุศลกรรมนั้น  จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่กำลังจิตอ่อนแอ  ไม่มีสมาธิ  พลังจิตอ่อนย่อมมีความฟุ้งซ่านในความอยากมาก   เมื่อจิตยังไม่บริสุทธิ์และไม่ปราศจากสิ่งเศร้าหมองในจิต ผู้นั้นย่อมไม่มั่นคงและเกิดความหวั่นไหวในอารมณ์ต่าง ๆ มากระทบตนตลอดเวลา    เมื่อจิตมนุษย์แต่ละคนอ่อนแอมาก  ย่อมขาดสติความรู้ตัวให้รู้จักยับยั้งช่างใจ ในอารมณ์ของโลกที่มากระทบนั้นตลอดเวลา จิตย่อมแสดงอาการของจิตอย่างรุนแรง ด้วยการเข้าไปทำร้ายร่างกายและฆ่าชีวิตผู้อื่นจนถึงแก่ความตายของชีวิต และเสียหายต่อทรัพย์สินตัวเองและผู้อื่นได้เพราะผู้อื่นสนองตัณหาของตัวเองมิได้ก็จะแสดงออกทางวาจา  ด่าทอผู้อื่นให้ได้รับความอับอายเกิดความเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงถูกลงพรหมทัณฑ์ด้วยการเลือกปฏิบัติต่อผู้อื่นส่วนทางจิตวิญญาณย่อมสั่งสมอาการของจิตที่ตนไม่พอใจในผัสสะ ที่มากระทบชีวิตของตัวเองจนกลายเป็นความพยาบาทสั่งสมไว้ในกระแสจิตตัวเองและยึดติดในความพยาบาทนั้น  ย่อมเบียดเบียนจิตวิญญาณของตนเอง ให้จมปลักกับความทุกข์ตลอดไป   เพราะฉะนั้นเมื่อมีกิเลสที่มากระทบอินทรีย์ ๖ ของมนุษย์และมนุษย์สั่งสมอารมณ์เหล่านี้ให้มีอยู่ในจิตของตนเองมายาวนานแล้วท เป็นเวลาไม่รู้กี่อสงไขยไม่รู้แสนกัปป์ จึงเป็นกรรมติดตามดุจเงาติดตามชีวิตของมนุษย์กรรมเหล่านี้ บีบบังคับจิตของมนุษย์ให้ชีวิตมีแต่ความทุกข์จากความเครียด  จนมีความรู้สึกว่าชีวิตมีบางอย่างขาดหายไป   แม้ว่าตนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน  มีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่ในท่ามกลางกัลยาณมิตรของตัวเองก็ตาม แต่ก็เลือกใช้ชีวิตของตนเองแยกตัวเองออกไปอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังคนเดียว จิตมีความรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวเพราะจิตของตัวเองไม่มีสติระลึกถึงความรู้ใดว่าทุกอย่างที่เกิดกับตัวเองจะแก้ไขอย่างไร  เมื่อตนเองไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งตนปรารถนา  เพราะไม่รู้จักเอาความผิดพลาดของชีวิตตนนั้น มาวิเคราะห์เพื่อหาทางแก้ไขให้ตนเองจะประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิต อย่างน้อยก็ให้หลุดพ้นจากปัญหาของการทำธุระกิจของด้วยเองหรือว่าในยามที่จิตเกิดชอบคิดความทะยาน อยากมีสิ่งนั้นไว้ในครอบครองของตัวเอง อยากเป็นในตำแหน่งที่สังคมสมมติขึ้นมาเมื่อไม่ได้สมปรารถนาก็รู้สึกเสียหน้ากลัว คนอื่นดูถูกตัวเอง กลัวไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนสังคมของตัวเองเป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากกิเลสมาบีบคั้นให้เกิดความทุกข์ทุรนทุรายในจิตของตนทำให้กลายเป็นคนไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตเพราะการไม่รู้จักปล่อยวางในที่ตนปรารถนาและได้มายากยิ่ง แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปเป็นเวลาหลายวันจนกลายเป็นอดีตไปแล้ว    สิ่งเหล่านี้เป็นมูลเหตุทำให้เกิดความทุกข์กับชีวิต  เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว  เราจะหาวิธีการใดจะขจัดความทุกข์เราได้ เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบ ในความจำเป็นของชีวิตในการปฏิบัติกรรมฐานผู้เขียนวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบได้ว่าพระพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาแห่งชีวิต  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า (ทรงค้นพบว่า) ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริงเมื่อสิ้นชีวิตลงไปจิตวิญญาณนั้นออกจากร่างกายที่ตายนั้น ไปเวียนว่ายตายเกิดในภพอื่น ๆ ต่อไป  ตามการกระทำของตนเอง  การเดินทางไปสู่ภพภูมิต่างๆในสังสารวัฏนั้น  จิตวิญญาณของมนุษย์ต้องเผชิญกับภัยทำให้ชีวิตตน  เป็นทุกข์ทั้งภายในร่างกายของตนและภัยจากจากภายนอกที่จรเข้ามาสู่ชีวิตตลอดเวลา พระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาถึงวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั้นเอง เพื่อให้ชีวิตตนนั้นเข็มแข็งมีพลังด้วยการปฏิบัติสมาธิเพื่อชำระล้างกิเลสให้จิตวิญญาณมีความบริสุทธิ์ ปราศจากความซึ่มเศร้าหมองมมีความอ่อนโยนและมีความมั่นคงไม่หวั่นไหวในเรื่องร้าย ๆ ที่จรเข้ามาสู่ชีวิตตลอดเวลา โดยจิตวิญญาณบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้ เป็นผู้มีชีวิตของผู้รู้ ผู้ตื่น และเบิกบานในชีวิตได้ 


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ